อวิ๋นเหนียงรีบสั่งคนงานบัญชีไปเอาตั๋วเงินและทองคำมาตามที่อวิ๋นเจียว้า อวิ๋นเจียวส่งสายตาให้ชุนเหมยรับมาด้วยท่าทางสง่างามเป็ธรรมชาติ
อวิ๋นเหนียงแอบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองอวิ๋นเจียวด้วยความชื่นชม เด็กสาวชนบทโดยทั่วไป แม้จะเป็คุณหนูจากครอบครัวที่มีฐานะมั่งคั่งปานกลาง เมื่ออยู่ต่อหน้าเงินหนึ่งพันสองร้อยตำลึงก็คงยากที่จะรักษาท่าทีสงบนิ่งดุจสายน้ำไหลเช่นนี้ได้
กิริยามารยาทของนางช่างแตกต่างจากเด็กสาวที่เติบโตมาจากครอบครัวชาวบ้านโดยสิ้นเชิง ความสง่างามเช่นนี้ มีเพียงคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเท่านั้น
ความสงสัยใคร่รู้ที่อวิ๋นเหนียงมีต่ออวิ๋นเจียว ก็ยิ่งทวีขึ้นไปอีก “เจียวเอ๋อร์ ขอบใจเ้ามากที่นำของดีๆ เช่นนี้มาขายที่ร้านของข้า ทำให้ข้ามีโอกาสได้กำไร”
“ข้ามีของบางอย่างที่คนอื่นมอบให้เป็ของกำนัล แต่ข้าไม่ได้ใช้ เดี๋ยวข้าให้เ้านำกลับไปด้วย ถือเสียว่าเป็ของขวัญขอบคุณจากข้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นเจียวก็เบิกตากว้างมองเขา เ้าคนผู้นี้เหตุใดถึงมาทำตัวสนิทสนมง่ายๆ เช่นนี้! กล้าเรียกนางว่า 'เจียวเอ๋อร์' เชียวหรือ!
ฉู่อี้ปล่อยให้อวิ๋นเจียวจ้องมองอย่างไม่ถือสา พร้อมทั้งเผยรอยยิ้มที่มุมปาก
“ไม่ว่าที่บ้านของเ้าจะขายสูตรให้ฝูหรงเซวียนหรือไม่ ข้าก็หวังว่าพวกเ้าจะขายสบู่ผลึกแก้วให้กับร้านของพวกเราเพียงร้านเดียว”
เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนั้น อวิ๋นเจียวก็เข้าใจทันที ที่แท้ชายคนนี้ก็กลัวว่านางจะเอาสบู่ผลึกแก้วไปขายร้านอื่น ถึงมาเอาใจนางเช่นนี้นี่เอง
ในเมื่อเป็เช่นนี้ หากนางยังคงปฏิเสธก็คงดูไม่น่ารัก “ตกลง ข้าสัญญากับท่าน สบู่ผลึกแก้วของพวกข้าจะขายให้กับร้านของท่านเพียงร้านเดียว แต่ว่าวันนี้พี่ใหญ่ของข้าไม่อยู่ คงยังไม่สามารถทำสัญญาได้”
ฉู่อี้ยิ้มๆ พลางโบกมือปฏิเสธ “ไม่ต้องทำสัญญาหรอก ข้าเชื่อใจเ้า! เพียงแต่ในภายภาคหน้า หากมีของดีๆ อะไร ไม่จำเป็ต้องเป็ประเภทเครื่องหอมหรือเครื่องประทินผิว เ้าพอจะนำมาที่ร้านฝูหรงเซวียนให้หลงจู๊ซุนดูก่อนได้หรือไม่?”
แน่นอนว่าอวิ๋นเจียวรู้ดีว่าเขาหมายความว่าอย่างไร โดยปกติแล้วตระกูลขุนนางใหญ่โตมักจะมีธุรกิจส่วนตัวมากมาย “ตกลง หากว่ามี ข้าจะให้คนนำมาให้หลงจู๊ซุนดูก่อน”
ฉู่อี้พยักหน้าขอบคุณ พร้อมกับสั่งอวิ๋นเหนียง “ไปจัดการของพวกนั้นที่ข้านำมา แบ่งมาครึ่งหนึ่งแล้วบรรทุกใส่รถม้า ประเดี๋ยวจะได้ตามเจียวเอ๋อร์กลับไปที่ตระกูลอวิ๋น”
อวิ๋นเจียวได้แต่คิดในใจว่า เด็กหนุ่มคนนี้เรียก 'เจียวเอ๋อร์' จนติดปากไปแล้ว อวิ๋นเหนียงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ในใจรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก ซื่อจื่อนี่ท่าน...
ของพวกนั้นเป็ของที่คนอื่นมอบให้เป็ของกำนัล ล้วนแต่เป็ของชั้นดีที่ซื่อจื่อรวบรวมมาจากที่ต่างๆ เพื่อเตรียมไปมอบให้เป็น้ำใจให้พวกคนในเมืองหลวงแท้ๆ
ตอนนี้กลับให้นางเอาไปมอบให้เด็กสาวตระกูลอวิ๋นตั้งครึ่งหนึ่ง! ยิ่งไปกว่านั้น ซื่อจื่อของพวกนางยังเรียกเด็กสาวคนนี้อย่างสนิทสนมว่า 'เจียวเอ๋อร์'
อวิ๋นเหนียงพลันรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่า ที่ซื่อจื่อของพวกนางเอ็นดูคุณหนูน้อยผู้นี้ ไม่ใช่เพียงเพราะบุญคุณที่ช่วยชีวิตอย่างที่ซื่อจื่อกล่าวเอาไว้ เมื่อเห็นอวิ๋นเหนียงนิ่งเฉย ฉู่อี้ก็ส่งสายตาเ็าไปให้ อวิ๋นเหนียงสะดุ้งใ รีบยิ้มเจื่อนๆ แล้วขอตัวออกไป
“าแของท่านหายดีแล้วหรือ?” หลังจากอวิ๋นเหนียงออกไป ฉู่อี้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะลากลับ ดังนั้นอวิ๋นเจียวจึงเป็ฝ่ายเริ่มเปิดบทสนทนา
มิเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคนที่ไม่สนิทกัน นั่งอยู่เฉยๆ ก็คงจะรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนบิดาของนางจะยังไม่เสร็จธุระ จึงไม่มีใครมารับนาง
“ดีขึ้นมากแล้ว ต้องขอบคุณยาของเจียวเอ๋อร์ ข้าถึงรอดชีวิตมาจากยมโลกได้” สิ่งที่ฉู่อี้พูดเป็ความจริง วันนั้นอันตรายเพียงใด ตัวเขาที่ประสบมันมาเองย่อมรู้ดี
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงเื่ยา อวิ๋นเจียวจึงได้แต่กุเื่ต่อ “ตอนนั้นท่านนักพรตบอกข้าว่า ยาที่ให้ข้ามาห้ามเก็บไว้ใช้คนเดียว ยาของเขามีวันหมดอายุ หากพบเจอคนที่้าใช้ ก็ให้มอบยาให้กับคนผู้นั้น มิเช่นนั้น หากเก็บไว้กับตัวจนหมดอายุ ก็คงต้องทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์”
ความหมายในคำพูดนั้นก็คือบอกให้ฉู่อี้ไม่ต้องใส่ใจอะไรมากนัก เพราะต่อให้ไม่ใช้สุดท้ายก็ต้องทิ้งอยู่ดี ฉู่อี้กลับไม่คิดว่าอวิ๋นเจียวจะพูดเช่นนี้ ความรู้สึกดีๆ ที่เขามีต่อนางจึงเพิ่มมากขึ้นหลายส่วน
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ฉู่อี้ก็รู้ดีว่า หากเป็คนอื่น แม้ว่ายาเม็ดนั้นจะหมดอายุในไม่ช้า พวกเขาก็คงไม่ยอมมอบให้คนอื่นง่ายๆ เพราะไม่มีใครรู้ว่าต่อไปตนเองจะต้องใช้ยาช่วยชีวิตนี้หรือไม่!
หรือบางที ในอนาคตยาเม็ดนี้อาจจะขายได้ในราคาสูงลิ่ว ใครจะยอมมอบให้คนอื่นไปเปล่าๆ... คนที่มีจิตใจดีงามเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก
มนุษย์เรานั้น มีความโลภและเห็นแก่ตัวมากเพียงใด ฉู่อี้ได้ประจักษ์มาไม่ใช่น้อย
“อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้หากไม่มีท่านอากับเจียวเอ๋อร์ ข้าคงกลายเป็กองโครงกระดูก หรือไม่ก็กลายเป็อาหารของสัตว์ร้ายในป่าไปแล้ว หลังจากข้าจัดการเื่ต่างๆ แล้วเสร็จ ไว้ข้าจะไปคารวะขอบคุณท่านอาอย่างเป็ทางการ”
“ฝากเจียวเอ๋อร์บอกท่านอาแทนข้าด้วยว่า ขออภัยที่ลาจากโดยมิได้บอกกล่าว หนึ่งคำนับจากผู้น้อย” กล่าวจบ ฉู่อี้ก็ลุกขึ้นยืนคำนับอวิ๋นเจียวอย่างนอบน้อมตามแบบฉบับบัณฑิต
“เ้าค่ะ ข้าจะบอกท่านพ่อให้” อวิ๋นเจียวไม่ใช่คนโง่ ดูจากกิริยาท่าทางของฉู่อี้แล้ว เขาย่อมไม่ใช่คนธรรมดาที่เติบโตมาจากครอบครัวร่ำรวยทั่วไป ในเมื่อเขา้าตอบแทนบุญคุณ ก็ปล่อยเขาไปเถิด มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะปฏิเสธ
คำว่ามนุษยสัมพันธ์ล้วนสำคัญมากในทุกยุคทุกสมัย ดังนั้นก็นับว่าสร้างวาสนาอันดีต่อกันก็แล้วกัน ขณะที่ทั้งสองคนกำลังสนทนากัน อวิ๋นเหนียงก็เตรียมของขวัญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ของขวัญเ่าั้บรรจุเต็มรถม้าถึงสองคันเต็ม
อวิ๋นเจียวเบิกตากว้างด้วยความใ เด็กชายผู้นี้กลัวว่านางจะเอาของพวกนี้ไปขายที่อื่นมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ถึงกับมอบของขวัญมากมายขนาดนี้!
เมื่อเห็นท่าทางใของอวิ๋นเจียว ฉู่อี้กลัวว่านางจะปฏิเสธจึงรีบพูดว่า “ดูเหมือนจะกินที่เยอะ แต่จริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรมากหรอก อีกไม่กี่วันข้าต้องกลับเมืองหลวงแล้ว การขนย้ายของพวกนี้กลับไปคงลำบากแย่ เจียวเอ๋อร์ช่วยข้าเสียหน่อยเถิด”
อวิ๋นเหนียงได้ยินดังนั้นก็รีบค้อมศีรษะต่ำ มุมปากกระตุกไม่หยุด ซื่อจื่อของพวกนางช่างเพียรพยายามในการมอบของขวัญให้คนอื่นเสียจริง
อวิ๋นเจียวคิดว่าอนาคตยังต้องทำการค้ากับพวกเขาอยู่ จึงไม่ได้ปฏิเสธ รับของขวัญทั้งหมดด้วยท่าทางใจกว้าง เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ปฏิเสธ ใบหน้าหล่อเหลาของฉู่อี้ก็ยิ่งดูสดใสมากขึ้น
อวิ๋นเจียวมองจนตาค้าง นี่แหละถึงจะเรียกว่าหนุ่มน้อยรูปงาม! หล่อกว่าพวกดาาายในโทรทัศน์หลายเท่าตัวนัก!
จนกระทั่งชุนเหมยสะกิดแขนเสื้อของนาง นางถึงได้รู้สึกตัว แอบกระแอมสองทีในใจ ดูเหมือนนางจะต้องแก้ไขนิสัยชอบมองคนหน้าตาดีเสียแล้ว
แต่ว่า... การได้มองคนที่หน้าตาดี ก็ถือเป็การบำรุงสายตาอย่างหนึ่ง ปลอบประโลมจิตใจ ทั้งยังช่วยเสริมสร้างรสนิยมทางศิลปะและสุนทรียะอย่างแท้จริง...
ท่าทางของอวิ๋นเจียวสะท้อนเข้าไปในดวงตาของฉู่อี้ ใบหน้าอ่อนนุ่มราวกับก้อนแป้งของเด็กสาวแดงระเรื่อดุจกลีบดอกท้อ แววตาส่องประกายตกตะลึงแวบหนึ่งนั้นราวกับขนนกไล้ผ่านหัวใจของเขาเบาๆ ทำให้เขาอยากจะกอดนาง อยากจะบีบแก้มป่องๆ ของนางสักครั้ง
บังเอิญตอนนั้นเอง อากุ้ยก็ขับรถม้ามาถึงพอดี “คุณหนูขอรับ ท่านนายให้บ่าวมารับท่านก่อน พอพวกเรากลับไป ท่านนายคงจัดการธุระเสร็จพอดี” อากุ้ยจอดรถม้าเสร็จก็รีบลงมาคำนับอวิ๋นเจียว
“อืม งั้นพวกเรากลับกันเถอะ หลงจู๊ซุน คุณชายฉู่ ลาก่อนเ้าค่ะ”
“เจียวเอ๋อร์ ต่อไปเรียกข้าว่าพี่อี้เถิด จะได้ฟังดูสนิทสนมกว่า”
อวิ๋นเหนียงรีบค้อมศีรษะต่ำลงไปอีก เหตุใดนางถึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าซื่อจื่อของพวกนางหน้าหนาได้ถึงเพียงนี้?
อวิ๋นเจียวเองก็อดที่จะบ่นในใจไม่ได้ แต่ฉู่อี้กลับยิ้มอย่างจริงใจ นางจึงไม่อาจปฏิเสธได้อย่างเด็ดขาด จึงได้แต่พูดว่า “เอาไว้เจอกันคราวหน้าค่อยว่ากันอีกทีนะเ้าคะ” กล่าวจบ ก็ให้ชุนเหมยอุ้มขึ้นรถม้า
ส่วนอวิ๋นเหนียงก็รีบสั่งสารถีของตนให้ขับรถม้าตามรถม้าของอากุ้ยไป จนกระทั่งรถม้าของอวิ๋นเจียวเลี้ยวออกจากตรอก หายลับไปตรงหัวมุมถนน รอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่อี้ถึงได้ค่อยๆ จางหายไป ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในร้านฝูหรงเซวียน