“ฮ่าๆ ดี พวกเรามีความดีทั้งหมด” หวังซื่อหัวเราะจนดวงตาหยี
หลังผ่านไปสักครู่จึงจัดการสีหน้าให้เป็ปกติ “เจินจูเอ๋ย เงินเหล่านี้น่ะ เอาให้ท่านแม่ของเ้าเก็บไว้ให้ดีทั้งหมดนั่นแหละ รอให้ฉลองปีใหม่ไปแล้ว พวกเราค่อยหารือกันอีกที ดูให้ละเอียดว่าจะทำอะไรได้บ้าง เ้าว่าเป็อย่างไร?”
“ท่านย่า เอาไว้ที่ท่านแม่ทั้งหมดคงไม่ดีกระมัง พวกเราวางไว้คนละครึ่ง เช่นนี้ปลอดภัยหน่อย ท่านว่าใช่หรือไม่เ้าคะ” เจินจูยิ้มบางๆ แล้วกล่าว
“ไม่ได้ๆ” หวังซื่อส่ายหน้าอย่างไม่ลังเลทันที “เดิมทีตอนทำอาหารหมักแบ่งกำไรของพวกเ้ามาครึ่งหนึ่งแล้ว ย่ารู้สึกไม่สบายใจมากนัก แม้ท่านพ่อเ้ากับท่านลุงเ้าจะเป็พี่น้องร่วมสายเืกัน แต่ก็ไม่สามารถไร้ยางอายครึ่งหนึ่งของพวกเ้าได้ทุกเื่ สูตรพะโล้นี้เป็เ้าคิดออกมา แน่นอนว่าเป็ของครอบครัวพวกเ้า ไม่เกี่ยวกับท่านลุงของเ้า”
ในใจหวังซื่อชัดเจนอยู่มาก ขายเห็ดขายกระต่ายขายอาหารหมักก่อนหน้านี้ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำงานด้วยกัน ช่วยเหลือกันและกัน ถือเงินไว้คนละครึ่งยังฝืนใจพอถูไถไปได้ แต่สูตรพะโล้นี้เป็เจินจูคิดออกมาเอง แม้หวังซื่อจะช่วยเล็กน้อย แต่สรุปได้ว่ายังเป็การอาศัยความคิดของเจินจูถึงมีผลสำเร็จในท้ายที่สุด
“ดูท่านกล่าวเข้า ในระหว่างนี้มิใช่ว่ายังมีความดีของท่านย่าหรือ เช่นนั้นไม่นับท่านลุงก็ต้องนับท่านย่านะเ้าคะ ไม่เช่นนั้นครึ่งหนึ่งนี้ท่านถือเอาไว้เอง?” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“เช่นนั้นไม่ได้ ย่าแค่ลงมือตามความเห็นของเ้า จะนับเป็ความดีอะไรกัน” หวังซื่อโบกไม้โบกมือ
“ไม่นับได้อย่างไร หากมิใช่ประสบการณ์บนเตามากมายของท่าน เช่นนั้นรสพะโล้พลิกไปมาในมือข้า ยังไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปจนเป็อย่างไรได้นะเ้าคะ” เจินจูกล่าวต่อ
“อ่า... เอ่อ… ก็… นับเช่นนี้ไม่ได้” หวังซื่อหมดคำพูดเล็กน้อย
ย่าหลานสองคนต่างฝ่ายต่างโน้มน้าวใจปะทะกันไปมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดเจินจูก็ตบโต๊ะตัดสินใจ หวังซื่อถือไว้หนึ่งร้อยเหลียงถือเป็ของตอบแทนที่มีส่วนร่วมในการจัดทำพะโล้
หลังสองคนคุยกันไปครึ่งค่อนวัน เจินจูจึงเรียกหูฉางกุ้ยกับหลี่ซื่อเข้ามาภายในห้องแล้วปิดประตู ให้หวังซื่อพูดคุยกับทั้งสองคนตามที่พวกนางได้คุยกันไว้
ยามนี้สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดแล้ว เจินจูกวาดสายตาไปทั่วลานบ้านหนึ่งรอบไม่พบผิงอันกับหลัวจิ่ง คาดว่ายังคงอยู่ด้วยกันในกระท่อมกระต่าย
เงยหน้ามองสีท้องฟ้า เจินจูจึงม้วนชายแขนเสื้อขึ้นและยกเท้าเตรียมจะเข้าห้องครัว
“…พี่สาวเจินจู”
เสียงเล็กเบาและขี้ขลาดแว่วมาจากหน้าประตู หากไม่ใช่ว่า่นี้เจินจูหูตาว่องไวปราดเปรียว นางคงไม่ได้ยินเสียงเบาบางเช่นนี้แน่
มองหาไปตามเสียง หนึ่งคนรูปร่างผอมลีบใบหน้าเล็กสกปรกกำลังยื่นศีรษะเข้ามาทางลานบ้านอย่างระมัดระวัง
“…ถู่วั่ง? มานี่ เป็อะไร” เจินจูกวักมือไปทางเขา
ถู่วั่งที่ผอมเล็กเสื้อผ้ามีรอยปะชุนทั่วกายยืนอยู่หน้าประตู ลังเลเล็กน้อย ก้มศีรษะหิ้วตะกร้าเปล่าเดินเข้ามา
ถู่วั่งเป็เด็กชายอายุแปดขวบ แซ่หวง นามเต็มว่าหวงถู่วั่ง ครอบครัวเขาเป็ครอบครัวที่ยากจนอย่างมากในหมู่บ้านวั้งหลิน บิดามารดาทั้งสองคนจากไปเพราะโรคภัยไข้เจ็บนานแล้ว ที่นาของบ้านขายไปรักษาอาการป่วยจนหมด ปัจจุบันนี้ไร้ที่ไร้นา มีเพียงท่านย่าที่ตาบอดหนึ่งคนได้ใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยอยู่กับเขา อาศัยความช่วยเหลืออย่างเสียไม่ได้ของแต่ละครอบครัวในหมู่บ้านให้ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวัน ทานไม่อิ่มใช้ชีวิตลำเค็ญ ไม่มีอาหารบำรุงร่างกายที่ดีพอทำให้ถู่วั่งรูปร่างเตี้ยกว่าผิงอันไปครึ่งหนึ่ง
“พี่สาวเจินจู นี่เป็ตะกร้าของบ้านท่าน ท่านย่าให้ข้าเอามาคืนให้พวกท่าน” ถู่วั่งยื่นตะกร้าว่างเปล่าด้วยความระมัดระวัง บนใบหน้าเล็กสกปรกมีเพียงดวงตาโตหนึ่งคู่เท่านั้นที่ใสสะอาด
บ้านถู่วั่งห่างจากบ้านครอบครัวหูไม่ไกล อยู่ข้างทางถนนเส้นเล็กตรงทางออกหมู่บ้าน ทุกครั้งที่หูฉางกุ้ยเดินออกจากหมู่บ้านด้วยเส้นทางเล็กๆ มักจะผ่านบ้านของถู่วั่ง
เมื่อหลายปีก่อนเพราะการป่วยตายก่อนวัยอันควรของบุตรชายและลูกสะใภ้ทำให้ท่านย่าของถู่วั่งร้องไห้จนดวงตาทั้งสองข้างมืดบอด ทั้งยังไม่มีเงินรักษา ปัจจุบันนี้ทำได้เพียงฝืนมองจนเห็นเงาได้ลางๆ เวลาเดินก็ทำได้เพียงใช้มือคลำหาทาง งานต่างๆ โดยทั่วไปทำไม่ได้แล้ว
หูฉางกุ้ยมีจิตใจเมตตา ไม่ใจแข็งพอที่จะมองผ่านไปได้ ตอนเดินทางผ่าน มักช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องใช้แรง อย่างหาบน้ำผ่าฟืนถากถางสวนผัก เมื่อก่อนครอบครัวสกุลหูก็ยากลำบากเช่นกัน เสบียงอาหารครอบครัวตนเองล้วนไม่พอให้ทาน หูฉางกุ้ยทำได้เพียงช่วยทำงานเล็กน้อยนี้ ตอนนี้สภาพแวดล้อมที่บ้านเปลี่ยนไปแล้ว ทั้งยังเกือบจะเข้าฤดูใบไม้ผลิด้วย สองวันก่อนหูฉางกุ้ยจึงใช้ตะกร้าใส่อาหารอย่างข้าวสารและแป้งหมี่ไปส่งให้เล็กน้อย เพื่อให้ครอบครัวถู่วั่งสามารถฉลองปีใหม่ที่ดีได้
แน่นอนเื่ราวเหล่านี้หลี่ซื่อรับรู้มาโดยตลอด แม้หลี่ซื่อจะออกจากบ้านน้อยครั้ง แต่การกระทำของหูฉางกุ้ยนางให้การสนับสนุนอยู่มาก ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะหูฉางกุ้ยอดใจเมตตานางไม่ได้ หลี่ซื่อที่อยู่ในสภาพอับจนหนทางอาจจะกลายดินเหลืองหนึ่งโกยมือ [1] ไปแล้ว
เจินจูรับตะกร้าว่างเปล่าไว้ แล้วฉวยโอกาสจูงมือเล็กของถู่วั่งที่สกปรกเข้ามา พาเขาไปหน้าโอ่งน้ำ ตักน้ำสองกระบวยให้เขาล้างมือ
ดวงตาท่านย่าของถู่วั่งไม่ดี ดูแลปัญหาสุขอนามัยส่วนตัวของถู่วั่งไม่ได้
“ถู่วั่ง เสบียงอาหารในบ้านยังพอทานหรือไม่?” เด็กชายที่ผอมเล็กและระมัดระวังตัวเกินไปจนไม่เป็ธรรมชาติตรงหน้า เส้นผมยุ่งเหยิงสกปรก สีหน้าเหลืองเหมือนเทียนไข อาหารการกินไม่ดีพออย่างเห็นได้ชัด เจินจูมองจนจมูกแสบเล็กน้อย อดพูดเสียงอ่อนโยนขึ้นมาไม่ได้
“พอ… พอแล้ว เดิมทีที่บ้านยังมีธัญพืชอยู่เล็กน้อย ต่อมาท่านอารองหูก็มอบข้าวสารและแป้งหมี่สิบชั่งกับเนื้อหมูสองสามชิ้นให้อีก ท่านย่าบอกว่าหากทานประหยัดหน่อยก็สามารถทานได้ถึงเข้าฤดูใบไม้ผลิ” บนใบหน้าเล็กสกปรกของถู่วั่งกระจายรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นมา ฉลองปีใหม่ปีนี้มีเนื้อทานได้ มีความสุขมากจริงๆ เขายิ้มอย่างคนซื่อ “พี่สาวเจินจู ท่านย่าบอกว่าขอบคุณพวกท่าน ครอบครัวพวกท่านล้วนเป็คนดีมาก”
“ไม่ต้องขอบคุณ พวกเราคนหมู่บ้านเดียวกันถิ่นเดียวกัน มีเื่ลำบากช่วยเหลือกันและกันเป็เื่ที่สมควรแล้ว” มองดูถู่วั่งที่ร่างกายสวมเสื้อหนาวบุนวมผ้าฝ้ายที่ทั้งสั้นทั้งชำรุด ไส้ปุยฝ้ายข้างในล้วนปรากฏออกมาเป็สีดำและแข็ง เจินจูอดถอนหายใจข้างในไม่ได้ “ถู่วั่งเอ๋ย เ้ารออยู่ตรงนี้สักเดี๋ยว ข้าจะไปหาเสื้อหนาวตัวเก่าของผิงอันให้เ้า รูปร่างพวกเ้าสองคนใกล้เคียงกัน เ้าทนถูไถสวมของเขาไปก่อนนะ”
หมุนกายไป ตั้งใจเข้าไปหาเสื้อผ้าสักตัวให้ถู่วั่ง สภาพความเป็อยู่ครอบครัวชาวไร่ชาวนาไม่ดีนัก สิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ล้วนล้ำค่ามาก เหมือนกับเสื้อผ้าที่เก่าไปแล้วมากกว่าครึ่ง หากที่บ้านมีพี่น้องชายหญิงจำนวนมาก ล้วนผลัดกันสวมใส่หรือไม่ก็ส่งต่อกันเป็ทอดๆ จนสวมไม่ได้แล้วจริงๆ ก็ยังสามารถเอาไปตัดทำพื้นรองเท้าได้ สรุปแล้วต้องใช้ประโยชน์ของมันให้ถึงที่สุดจึงจะหยุดใช้
“แอ๊ด” หลี่ซื่อเปิดประตูในห้องออกมา ดวงตาแดงบวมเล็กน้อย ยังเหลือสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้นและดีใจอยู่
หวังซื่อเดินตามออกมาอยู่ด้านหลัง ความสบายใจเต็มทั่วใบหน้าและยิ้มอย่างมีความสุข
หูฉางกุ้ยเดินมาอยู่ท้ายสุด บนใบหน้าของคนซื่อยังคงแสดงอารมณ์คิดไม่ถึงอยู่หนึ่งสาย
“ท่านแม่” เจินจูะโหนึ่งเสียง
“อ้าว! เจินจู มีอะไรหรือ?” หลี่ซื่อเช็ดคราบน้ำตาที่หางตา บนใบหน้ามีรอยยิ้มอันอบอุ่นกระจายขึ้นและมองไปทางบุตรสาวด้วยความอ่อนโยน
“ถู่วั่งมา เสื้อหนาวบนกายเขาเก่าเกินไปแล้ว ข้าคิดจะหาเสื้อกันหนาวเก่าๆ ของผิงอันให้เขาเปลี่ยน ท่านแม่ ท่านว่าดีหรือไม่เ้าคะ?” เจินจูถาม
สายตาของหลี่ซื่อมองไปทางถู่วั่งที่ยืนกลัวหัวหดเล็กน้อยอยู่ด้านหลังของเจินจู ทั้งกายเป็เสื้อกันหนาวที่มีรอยปะชุนมองสีเดิมไม่ออกอยู่นานแล้ว หน้าหนาวเดือนสิบสองเช่นนี้ บนขายังสวมรองเท้าเก่าที่มีนิ้วเท้าโผล่ออกมา ทำให้คนเ็ปใจจริงๆ
ถู่วั่งเห็นหลี่ซื่อมองมาทางเขาจึงหดลำคอลง และกลืนน้ำลายด้วยความกังวล ทักทายเสียงเบา “อาสะใภ้รองสกุลหู”
หวังซื่อที่ตามมาอยู่ด้านหลังเดินเข้าไปใกล้ สังเกตถู่วั่งอย่างละเอียด เด็กชายหดศีรษะด้วยความกลัวและเขินอาย นางลูบศีรษะของเขาอย่างสงสาร เด็กที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ใช้ชีวิตได้ไม่ง่ายเลย “ถู่วั่งเอ๋ย ่นี้ย่าของเ้าร่างกายเป็อย่างไรบ้าง?”
“ท่าน… ท่านย่าสกุลหู ท่านย่าของข้ายังเหมือนเดิม” ถู่วั่งตอบด้วยความระมัดระวังและกลัวจนหัวหด
“เช่นนั้น เสบียงอาหารของที่บ้านเพียงพอทานหรือไม่?” หวังซื่อถาม
“พอทานไปสักพักหนึ่ง สองวันก่อนท่านอารองสกุลหูเอาข้าวและแป้งหมี่มาให้ครอบครัวข้าสิบชั่ง ขอบคุณท่านย่าสกุลหู ขอบคุณท่านอารองสกุลหู” ถู่วั่งกล่าวเสียงเบา หันไปโค้งกายคำนับหูฉางกุ้ยที่อยู่ด้านหลัง
“อ่า ไม่… ไม่ต้องขอบคุณ ถู่วั่ง” หูฉางกุ้ยรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน
หวังซื่อจูงถู่วั่งไว้แล้วพูดคุยเื่ชีวิตประจำวันของที่บ้าน ส่วนเจินจูจูงหลี่ซื่อเข้าในบ้าน จัดเก็บเสื้อผ้าตัวเก่าของผิงอันสองสามชุดมาซ้อนกันไว้ให้เรียบร้อย
นึกขึ้นได้ว่ารองเท้าเก่าของถู่วั่งปรากฏนิ้วเท้าออกมา หลี่ซื่อจึงหยิบรองเท้าผ้าฝ้ายที่ทำขึ้นใหม่หนึ่งคู่ข้างหัวเตียงออกมา นี่เป็รองเท้าผ้าฝ้ายที่นางทำให้ผิงอัน ขนาดเท้าของถู่วั่งไม่ต่างกับผิงอันมากนัก ก็ให้ถู่วั่งไปใช้ก่อนแล้วกัน
จัดเก็บเสื้อผ้าของใช้เรียบร้อยจึงวางไว้ในตะกร้าไผ่สาน หลี่ซื่อหยิบเนื้อตากแห้งสองชิ้นและขนมสองห่อจากในครัวให้ถู่วั่งเอากลับไป
ถู่วั่งกล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจจนน้ำตาคลอ อุ้มสิ่งของที่เต็มตะกร้าไว้แล้วกลับไปด้วยความระมัดระวัง
“เฮ้อ… ถู่วั่งก็เป็เด็กที่น่าสงสาร อายุน้อยนิดก็ไม่มีพ่อแม่ ย่าของเขาผู้นั้นก็ร้องไห้จนตาบอด อะไรก็ดูแลไม่ได้ ถ้าพวกเราสามารถช่วยได้มากหน่อยก็ช่วยไปเถิด” หวังซื่อมองเงาร่างเล็กๆ ของถู่วั่งที่ไกลออกไป อดกล่าวปลงออกมาไม่ได้
“ใช่แล้ว ท่านแม่ พวกเขาก็ใช้ชีวิตไม่ง่ายเลย หากฉางกุ้ยมีเวลาก็ล้วนไปช่วยหาบน้ำแบกฟืน” หลี่ซื่อพยักหน้าคล้อยตาม
“อื้ม ฉางกุ้ยจิตใจมีเมตตา มองคนได้รับความทุกข์ไม่ได้” หวังซื่อมองบุตรชายคนเล็กที่เอาแต่ยิ้มซื่อๆ ั์ตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
“ท่านย่าก็มีจิตใจเมตตา นี่เรียกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนะเ้าคะ” เจินจูหัวเราะ
“ฮ่าๆ เอาล่ะ ข้ากลับก่อน ที่บ้านยังมีเื่มากมายให้ทำ หรงเหนียง เงินเ่าั้ต้องเก็บระมัดระวังให้ดีนะ รอเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วพวกเราก็ซ่อมแซมบ้านใหม่ดีๆ สักรอบ และค่อยสร้างห้องเพิ่มสักสองสามห้อง ถึงเวลานั้นพื้นที่ก็กว้างขวางขึ้นแล้ว” หวังซื่อกล่าวไปกล่าวมาก็ยิ้มจนหุบไม่ลงเล็กน้อย
“เข้าใจแล้ว ท่านแม่” หลี่ซื่อก็ดีใจ ตอนนี้ที่บ้านมีเงินเพิ่มมากมายเช่นนี้ ต่อไปในระยะยาวก็ไม่ต้องกังวลเื่รายได้ในแต่ละปีแล้วว่าจะพอเลี้ยงชีพหรือไม่
“ท่านย่า ข้ากลับมาแล้ว!” ถู่วั่งกอดตะกร้าไผ่มาตลอดทาง อุ้มกลับมาถึงหน้าบ้านที่ทำด้วยฟางทั้งเก่าทั้งชำรุดของตัวเอง
ท่านย่าของตนนั่งอยู่หน้าบ้านใช้มือคลำพื้นรองเท้า
“กลับมาแล้ว… คืนตะกร้าให้ครอบครัวท่านอารองสกุลหูแล้วหรือ?” เสียงหยาบและแหบแห้งอย่างคนที่ผ่านโลกมามาก เส้นผมสีดอกเลาทั้งศีรษะรวมกับริ้วรอยย่นลึกทั่วใบหน้า มองไปแวบแรกบอกว่าอายุเจ็ดสิบหรือแปดสิบก็ไม่เกินจริง
แต่… ท่านย่าของถู่วั่งปีนี้หกสิบยังไม่ถึงเลย…
การจากไปของญาติสนิท ความทรมานจากความทุกข์โศกเศร้า และความทุกข์ยากของชีวิตได้บีบให้นางต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้
“เอ่อ… เดิมทีก็คืนไปแล้ว ต่อมาก็ถือกลับมาอีก” ถู่วั่งอุ้มตะกร้าเดินเข้ามาใกล้นางด้วยความระมัดระวัง
“หา? ทำไมหรือ? บ้านเขาไม่มีคนอยู่หรือ?” ดวงตาท่านย่าของถู่วั่งราวกับมีม่านหมอกสีขาวปกคลุมอยู่ สิ่งของที่มองเห็นล้วนเห็นได้เลือนลาง
“มิใช่ พวกเขาอยู่บ้าน ตอนข้าไปคืนตะกร้าได้พบกับพี่สาวเจินจู นางเห็นเสื้อผ้าของข้าเก่าเกินไปแล้ว เลยหาเสื้อกันหนาวตัวเก่าของผิงอันให้ข้า นี่… เป็ตัวนี้ ยังใหม่มากอยู่เลย รอยปะสักรอยก็ไม่มี…” ถู่วั่งหยิบเสื้อกันหนาวออกมาวางบนมือของนาง ดีใจจนหัวเราะตาหยี เสื้อหนาวที่เขาสวมอยู่บนกายก็เป็ของคนในหมู่บ้านให้มา ใส่มาสองปีจนเก่ารูปร่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
มือที่หยาบกร้านของท่านย่าลูบเสื้อกันหนาวที่อ่อนนุ่มในมืออย่างอ่อนโยน บนใบหน้าเผยให้เห็นสีหน้าของความทุกข์ใจออกมา ล้วนต้องโทษนางที่ไม่ดี เอาแต่จมปลักอยู่ในความโศกเศร้าที่ทุกข์ทรมานต่อการจากไปของบุตรชายและลูกสะใภ้ ดึงดันร้องให้จนดวงตามืดบอดไปเกินครึ่ง กลับลืมไปว่าถู่วั่งยังเล็ก จำเป็ต้องให้ตนเองดูแล
ตอนนี้สลับกัน อายุน้อยอย่างถู่วั่งกลับต้องดูแลตนเองที่มองไม่เห็น ในใจนางเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมแต่ต้องเข้มแข็งไว้ หากร้องไห้ต่อไปอีกเกรงว่าดวงตาจะบอดสนิทจริงๆ
“ครอบครัวท่านอารองสกุลหูมีจิตใจดีนัก ล้วนเป็คนดีทั้งหมด… ต่อไปเ้าโตแล้วต้องจดจำบุญคุณของครอบครัวเขาไว้ให้ดี…” เสื้อหนาวบุนวมที่อบอุ่นในมือ มีกลิ่นอายหลังตากแดดโชยออกมา หัวคิ้วท่านย่าของถู่วั่งที่เศร้าโศกอาดูรก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“อื้ม! ท่านย่า ข้าเข้าใจแล้ว…”
เชิงอรรถ
[1] ดินเหลืองหนึ่งโกยมือ เป็การกล่าวอ้างถึงหลุมศพ หมายถึง เป็เศษเถ้าหลอมรวมเป็เศษดิน