เคล็ดวิชาจอมเขมือบคือสิ่งที่เขาชิงมาจากสำนักชั่วร้ายแห่งหนึ่งเมื่อพันปีก่อนในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร
สำนักชั่วร้ายนั้นสร้างแผ่นป้ายเรียกิญญา เข่นฆ่าสิ่งมีชีวิตอย่างโเี้ บรรพบุรุษจาวหุนของประมุขสำนักนั้นก็คือเซียนพเนจรที่ฝ่าด่านเคราะห์ล้มเหลว เชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาเรียกิญญา ทำให้ผู้คนในยมโลกทำอะไรไม่ถูก ในตอนนั้นเสิ่นเสวียนร่างแหลกสลายไปไม่นาน ร่างจิติญญายังไม่มั่นคง ได้เจอกับบรรพบุรุษจาวหุนมาก่อน
เนื่องจากการควบคุมของอีกฝ่าย รวมกับพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าเสิ่นเสวียนมาก ทำให้เสิ่นเสวียนเกือบแตกสลายด้วยน้ำมือของเขา
สุดท้ายแล้วเขาสามารถเอาตัวรอดมาได้ด้วยทักษะของตนเอง
ต่อมา หลังจากที่เขาฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จ เขาจึงไปหาบรรพบุรุษจาวหุนด้วยตนเอง
เขาทำลายล้างสำนัก สังหารบรรพบุรุษ กำจัดสำนักชั่วร้ายทั้งหมดจนสิ้น เหลือไว้เพียงเคล็ดวิชาจอมเขมือบเท่านั้น
เนื่องจากเคล็ดวิชาจอมเขมือบนี้ไม่ธรรมดา และยังเป็เคล็ดวิชาขั้นเซียนอีกด้วย บรรพบุรุษจาวหุนใช้เคล็ดวิชาจอมเขมือบนี้ฝึกฝนได้จนถึงขั้นเซียนพเนจร ก่อนหน้านี้เสิ่นเสวียนไม่ใส่ใจของสิ่งนี้เลย
แต่ตอนนี้เขาคลายผนึกจนได้เคล็ดวิชาส่วนนี้มา ซึ่งค่อนข้างมีประโยชน์ต่อเขา
เขายื่นมือออกไป เคล็ดวิชาโบราณเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นใจกลางฝ่ามือ เขาไม่ได้เปิดอ่านแต่ส่งพลังจิติญญาเข้าไปเพื่อดูดเอาเกร็ดสำคัญของเคล็ดวิชาออกมาอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานเคล็ดวิชาก็เลือนหายไป เสิ่นเสวียนหลับตาลงพลางพยักหน้า
เขาในตอนนี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาจอมเขมือบอย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยการเรียนรู้ของเขาสามารถฝึกฝนได้รวดเร็วมาก
“บรรพบุรุษจาวหุน ไม่แปลกใจเลยที่เ้าฝึกฝนได้รวดเร็วเช่นนี้ เ้าตายไปอย่างเที่ยงธรรม เคล็ดวิชาจอมเขมือบนี้ไม่กลืนกินเ้าจนตายก็ไม่เลวแล้ว”
เสิ่นเสวียนลืมตาขึ้นพลางส่ายหัว
เคล็ดวิชาจอมเขมือบนี้สามารถกลืนกินได้ทุกสรรพสิ่ง
แม้ประโยคนี้จะค่อนข้างเกินจริง แต่กลับสามารถกลืนกินได้หลายอย่าง โดยเฉพาะผู้ฝึกฝน หากว่ากลืนกินเข้าไปแล้วจะสามารถแปรเปลี่ยนพลังของอีกฝ่ายมาเป็ของตนเองได้ และแน่นอน มันกลืนกินได้ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี ซึ่งอาจโดนพลังสะท้อนกลับได้ง่าย
แต่สำหรับเสิ่นเสวียนในตอนนี้ สิ่งนี้นับว่าสามารถปกป้องชีวิตตนเองได้! จากการคิดคำนวณพลังของเขาในตอนนี้ หากต้องเผชิญกับสถานการณ์เป็ตายเข้าจริงๆ เขาสามารถกลืนกินผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิระดับต้นคนหนึ่งได้เลยทีเดียว
เสิ่นเสวียนลงจากเตียงแล้วยืนอยู่ในเรือน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปทางเก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วพลังกลืนกินก็พลุ่งขึ้นจากใจกลางฝ่ามือของเขา ก่อให้เกิดเป็วังวนพุ่งเข้าปกคลุมเก้าอี้ตัวนั้น
เดิมทีเก้าอี้ไม้วางตั้งอยู่ กลับแหลกละเอียดไปเนื่องจากพลังกลืนกินที่พุ่งเข้าใส่ ทำให้มันกลายสภาพเป็ผุพังลงไปอย่างรวดเร็ว และมีไอพลังสีครามล่องลอยจากเก้าอี้พุ่งตรงไปหาเสิ่นเสวียน และเมื่อสูญสิ้นพลังสีครามเหล่านี้ไป เก้าอี้ตัวนั้นก็กลายเป็ผุยผงร่วงโรยลงไปที่พื้นทันที
เก้าอี้ตัวนี้ถูกสร้างขึ้นจากไม้สาลี่เนื้อดี ภายในนั้นผสมผสานไปด้วยองค์ประกอบพลังธาตุไม้อยู่เต็มเปี่ยม และยังเป็พลังธาตุไม้ที่ค่อนข้างบริสุทธิ์ ไม่มีสิ่งใดเจือปน
“หากเข้าไปดูดซับพลังในป่าเขา อาจเลื่อนขั้นได้ในเวลาไม่นาน!”
เสิ่นเสวียนดึงมือกลับมาพลางกล่าวด้วยอารมณ์หลากหลาย ทว่า หากเขาต้องแลกด้วยบางอย่างเพื่อการดูดซับพลังจากธรรมชาติ เขาคงทนไม่ได้เช่นกัน พลังที่เขา้าทั้งหมดในตอนนี้ ต่อให้ดูดซับพลังจากเขาทั้งลูกก็คงไม่เพียงพอ
เสิ่นเสวียนเดินไปยังเก้าอี้ที่กลายเป็ผุยผงแล้ว และใช้มือหยิบเศษผงเ่าั้ขึ้นมาพลางยิ้มน้อยๆ จากนั้นเขาก็เดินออกไปจากเรือน
่เที่ยงคืน ทั่วทั้งเมืองชางฉงยังคงเงียบสงบ ผู้คนกำลังอยู่ในห้วงนิทรา
ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า
เสิ่นเสวียนเดินออกจากเรือนไปอย่างเชื่องช้า ปีนข้ามกำแพงออกไปอย่างเงียบงัน
เขาตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้จะออกจากที่นี่มุ่งหน้าไปยังสถาบันิญญา ก่อนออกเดินทาง เขาต้องไปยังหอคอยเฟิงเหลยก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าน้องสาวของเว่ยเฉิงเย่ยังปลอดภัยดีหรือไม่ นี่คือความ้าเพียงหนึ่งเดียวของเว่ยเฉิงเย่ ซึ่งช่วยเขาสักหน่อยคงไม่เป็อะไร
สามวันที่ผ่านมา มีคนจับตามองเขาอยู่ตลอดที่ด้านนอกสวน เขาจึงเก็บตัวตลอดสามวัน หลังจากสังเกตมาสามวัน เขาพบว่าอีกฝ่ายจะกลับไปใน่เที่ยงคืน และกลับมาใหม่ใน่รุ่งสาง
เขามีเวลาสองชั่วยาม ซึ่งสองชั่วยามนี้เพียงพอแล้วสำหรับเขา
เมื่อออกจากสวน เสิ่นเสวียนเดินไปบนถนนตามลำพัง สายลมหนาวพัดผ่าน เมื่อเทียบกับตอนกลางวันที่คนพลุกพล่านแล้ว ถนนตอนกลางคืนค่อนข้างหดหู่
“หลังจากนี้พวกเราต้องไปทางไหนต่อ”
เสิ่นเสวียนส่งกระแสจิตถามเว่ยเฉิงเย่
เว่ยเฉิงเย่ในตอนนี้ยังคงอยู่ในมิติรอบนอกผังเมืองซานเหอ แต่เสิ่นเสวียนคลายผนึกออกทำให้เขามองเห็นภายนอกได้จากในนั้น
ซึ่งคนภายนอกไม่อาจสังเกตเห็นเขาได้
เว่ยเฉิงเย่มองถนนภายนอกอยู่นาน เห็นได้ชัดว่าเขาตื่นเต้นมาก
“ขอบคุณผู้าุโ”
ในน้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเสิ่นเสวียนจะทำตามความ้าของเขา ยอมออกมาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้จริงๆ
อันตรายที่หอคอยเฟิงเหลยไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา แม้เสิ่นเสวียนจะมีฝีมือ แต่คงเป็เหมือนมดตัวหนึ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าหอคอยเฟิงเหลย
“นำทางเถอะ เวลาค่อนข้างจำกัด”
เสิ่นเสวียนกล่าว เนื่องจากเวลามีจำกัดจริงๆ ขั้นจักรพรรดิห้าคนที่เฝ้าดูอยู่รอบๆ สวนยังไม่ใช่พลังที่เขาจะต้านทานได้จริงๆ
“ได้ เดินหน้าไปราวสี่ลี้ จากนั้นเลี้ยวซ้ายแล้วเดินไปอีกหกลี้”
เว่ยเฉิงเย่บอกทางเสิ่นเสวียน ส่วนเสิ่นเสวียนก็มุ่งหน้าไปตามทางนั้นอย่างรวดเร็ว
ตอนที่เขาเดินทาง เขาระวังตัวเป็อย่างมาก ไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาใดๆ ใช้เพียงพลังร่างกายเท่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของร่างกายเขา ระยะทางสี่ลี้เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น
เพียงไม่นานเขาก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา และมุ่งหน้าต่อไป กระทั่งมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นอยู่ด้านหน้า
“สิ่งก่อสร้างคล้ายโดมเบื้องหน้าใช้เพื่อทำพิธีกรรมของแคว้นเฟิงเหลย หอคอยเฟิงเหลยอยู่ทางนั้นด้วย”
เสิ่นเสวียนมองตามไป เพียงไม่นานเขาก็เดินเข้าไปถึงสิ่งก่อสร้างคล้ายโดมแห่งนั้น
สิ่งก่อสร้างคล้ายโดมนั้นคือศาลเ้าทำพิธีกรรมของราชวงศ์ ศาลเ้าแห่งนี้เป็ที่ตั้งจิติญญาของจักรพรรดิรุ่นก่อนแห่งแคว้นเฟิงเหลย บอกว่าเป็ศาลเ้า ไม่สู้เรียกว่าศาลบรรพบุรุษแห่งราชวงศ์ดีกว่า
บริเวณโดยรอบมีการป้องกันอย่างแ่า ทหารมากมายเดินผ่านไปมา แต่ละคนถือหอกอยู่ในมือ กวาดตามองไปรอบๆ ด้วยแววตาโเี้ หากเจอสิ่งน่าสงสัยพวกเขาจะเข้าไปจัดการในทันที
ทหารหนึ่งกองมีแปดคน ทุกคนมีพลังยุทธ์ขั้นแม่ทัพ หัวหน้ากองจะเป็ยอดฝีมือขั้นบรรพบุรุษ รวมแล้วเป็ขั้นบรรพบุรุษหนึ่งคน ขั้นแม่ทัพเจ็ดคน กองกำลังเช่นนี้ หากไม่ใช่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก อย่าหวังจะหนีรอดการตรวจสอบของพวกเขาไปได้เลย
“ที่นี่คือศาลเ้า เป็สถานที่ทำพิธีกรรมของราชวงศ์ หอคอยเฟิงเหลยตั้งอยู่ในตำแหน่งที่อ้างอิงจากกลุ่มดาวหมีใหญ่บนท้องฟ้า”
เว่ยเฉิงเย่กล่าวกับเสิ่นเสวียน เสิ่นเสวียนจึงเงยหน้ามองบนท้องฟ้า
ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็ขรึมลง
วันนี้เป็คืนเดือนมืด ไม่เห็นดวงดาวอื่นๆ เลย ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงกลุ่มดาวหมีใหญ่
“คืนเดือนมืด มองไม่เห็น”
เสิ่นเสวียนกลอกตามองบน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะใช้วิธีแบบนี้ด้วย
“หากเป็คืนเดือนมืด ผู้าุโโปรดดูที่อัญมณีสีม่วงบนหลังคาศาลเ้า แสงที่สะท้อนออกมาจากมณีจะชี้ตำแหน่งที่ถูกต้อง”
เว่ยเฉิงเย่คิดไปถึงวิธีที่สอง จึงบอกเสิ่นเสวียนทันที
นี่คือความลับของราชวงศ์ หากไม่ใช่บุคคลสำคัญในราชวงศ์ไม่มีทางรู้เื่ได้เลย
หอคอยเฟิงเหลยที่ทุกคนรู้จักดี คนที่รู้ตำแหน่งของมันมีอยู่ไม่มากนัก และยังตามหาเจอยากมากอีกด้วย
เพียงเพราะหอคอยเฟิงเหลยไม่ได้อยู่บนพื้น แต่อยู่ที่ใต้ดิน
“เห็นแล้ว”
เสิ่นเสวียนมองไป และชี้ไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวที่แสงสะท้อนลงไป
“ผู้าุโไปตรงนั้นได้เลย”
เว่ยเฉิงเย่กล่าว
เสิ่นเสวียนได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้า แล้วหลบเลี่ยงทหารลาดตระเวนกองหนึ่ง เข้าไปยังตำแหน่งนั้นอย่างเงียบเชียบ
“หอคอยเฟิงเหลยอยู่ด้านล่างนี้”
เว่ยเฉิงเย่กล่าวต่อ