เสียงกลองที่ดังออกมาจากหน้าผาจงกู่ ทำให้ทุกคนในนิกายหยุนไห่ล้วนตื่นตระหนกใ ขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าเสียงกลองนี้จะดังเป็ครั้งสุดท้าย ทันใดนั้นก็มีเสียงกลองดังขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อทุกคนได้ยินเสียงกลองดังขึ้นถึง 7 ครั้ง ทั่วทั้งนิกายหยุนไห่ก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ หลงเหลือเพียงเสียงกลองอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดังอย่างยาวนาน
คนของนิกายหยุนไห่เกิดความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ราวกับว่าทั้งโลกนี้ได้ยินเพียงแต่เสียงกลองจงกู่เท่านั้น เสียงนี้ดังก้องกังวานไปทั่วอาณาเขตของนิกายหยุนไห่
หนานกงหลิงกำหมัดแน่นและจ้องมองไปที่หน้าผา ชุดคลุมของหนานกงหลิงพลิ้วไหวไปตามสายลม ขณะที่ผู้คนรอบข้างเขาอย่าง ม่อช่างหลาน ม่อเสีย ศิษย์นิกายหยุนไห่ หลินเชียนหรือแม้แต่ฉู่จ่านเผิง ต่างก็พากันจ้องมองไปที่หน้าผานั่น ด้วยความรู้สึกราวกับฝัน คล้ายกับว่าได้มองเห็นพระเ้ายืนอยู่ตรงนั้น!
ภายในถ้ำ ชายชราที่สวมใส่เสื้อคลุมชุดดำ ก็เงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาที่เคร่งขรึมและประหลาดใจ
ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำเป็ผู้พิทักษ์แห่งผาเทียนเชี้ยน ในนิกายหยุนไห่ มีไม่กี่คนที่รู้ถึงการคงอยู่ของท่าน ตัวตนของท่านนับว่าสูงส่งมาก กระทั่งประมุขหนานกงหลิง ยังต้องพูดจาอย่างสุภาพเมื่อพบหน้าท่าน
ชายชราเห็นว่าระดับการพลังบ่มเพาะของหลินเฟิงแค่ขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 อีกทั้งจิติญญาแห่งนักรบก็ดูอ่อนแอมาก ดังนั้นเขาเลยส่งหลินเฟิงไปยังบททดสอบยากที่สุด นั่นก็คือหน้าผาจงกู่ โดยหวังว่าเมื่อหลินเฟิงรู้สึกยอมแพ้ จะได้ถอยออกมาอย่างปลอดภัย แต่ชายชรากลับคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเฟิงจะอาศัยระดับการบ่มเพาะที่แสนอ่อนแอนั่น ตีกลองจงกู่จนเกิดเสียงดังขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้ชายชราคาดไม่ถึงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ เสียงกลองนี้ดังขึ้นเรื่อยๆ และลอยไปทั่วนิกายหยุนไห่ ตอนนี้เสียงกลองดังขึ้นถึง 7 ครั้ง
ในประวัติศาสตร์ 1,000 ปีของนิกายหยุนไห่นั้น ไม่เคยเกิดเื่อัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน ไม่มีใครสามารถทำให้กลองส่งเสียงดังออกมาได้หลายครั้งขนาดนี้
ทันใดนั้นชายชราก็เดินตรงไปที่หน้าผาจงกู่ เขาเดินขึ้นบันไดไปทีละก้าวทีละก้าว ส่วนสายตาที่เคร่งขรึมของเขาทอประกายแสงแห่งความหวังขึ้นมารางๆ ดูเหมือนว่าเขากำลังรอฟังเสียงกลองดังขึ้นเป็รอบที่ 8
บนหน้าผาในขณะนั้นเอง คลื่นดาบยังคงถูกฟันออกไปเป็แนวขวาง แต่คลื่นดาบนี้ไม่ได้อัดแน่นไปด้วยพลังโจมตีที่แสนดุดันเหมือนเมื่อก่อน ดาบในมือของหลินเฟิงโบกสะบัดอย่างรวดเร็วและโจมตีไปที่กลอง
“พลัง ยามที่พลังแห่งดาบโบกสะบัดไปทางใด ก็ทำลายล้างทุกอย่างจนสิ้นซาก” ใบหน้าของหลินเฟิงเผยรอยยิ้มพึงพอใจขึ้น กลองทั้ง 8 ใบช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ต้องโจมตีด้วยพลังที่แข็งแกร่งกว่าพลังที่สะท้อนกลับมา จึงจะทำให้กลองเกิดเสียงได้
“ตอนนี้ข้าทำให้กลองส่งเสียงมาแล้วถึง 7 ครั้ง เหลือเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะสามารถตีกลองได้ครบทั้ง 8 ใบ และผ่านการทดสอบ” หลินเฟิงคิดในใจ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคิดว่าบททดสอบหน้าผาจงกู่คือบททดสอบที่ง่ายที่สุด
เมื่อหลินเฟิงสะบัดดาบ คลื่นดาบก็ผสานเป็หนึ่งเดียว บนตัวดาบได้กลืนลมปราณที่แข็งแกร่ง แล้วคายออกยามที่กระทบกับกลอง
“ขออีกครั้ง” เมื่อหลินเฟิงะโออกมา คลื่นดาบก็กลายเป็ลำแสงที่ทรงพลังแล้วพุ่งไปตีกลองใบสุดท้าย
“ตึง!!!” กลองใบสุดท้ายส่งเสียงดังก้องกังวานไปทั่วนิกายหยุนไห่ จิติญญาแห่งความมืดที่อยู่ด้านหลังของเขาก็สลายหายไป ก่อนที่เขาจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น และเอนตัวนอน
“แบบนี้ก็น่าจะได้รับเม็ดยาดีๆ ไปรักษาอาการของหานหมานแล้วสินะ” ใบหน้าของหลินเฟิงเผยรอยยิ้มที่เป็ประกายออกมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงกึกก้องดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็พบว่า ประตูหินขนาดใหญ่ของหน้าผาได้เปิดออก และปรากฏเงาของคนคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา นั่นก็คือชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำนั่นเอง
เมื่อเห็นชายชราสวมเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามา หลินเฟิงก็รีบลุกขึ้นและถามชายชราว่า “ท่านผู้าุโ ข้าได้ผ่านบททดสอบแล้วใช่ไหม ข้าจะได้เม็ดยาอย่างที่ข้า้าหรือไม่?”
ผู้าุโคงเห็นแววตาที่บริสุทธิ์และรอยยิ้มที่ใสซื่อของหลินเฟิงก็ชะงักไปชั่วขณะ หัวใจที่ไร้อารมณ์มาเนิ่นนานก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น บางทีหลินเฟิงอาจจะไม่รู้ว่าเขาได้ทำอะไรลงไป สิ่งที่หลินเฟิง้าไม่ใช่เกียรติยศเหนือใคร แต่กลับเป็แค่เม็ดยาระดับสูงหนึ่งเม็ด เพื่อที่จะเอาไปรักษาอาการป่วยของสหายเท่านั้น
“แน่นอน” ชายชราที่สวมเสื้อคลุมสีดำพยักหน้าเล็กน้อย และหยิบขวดเม็ดยาให้แก่หลินเฟิง พร้อมกล่าวขึ้นว่า “เม็ดยาที่เ้า้าอยู่นี่ เพียงแค่เม็ดเดียวก็เพียงพอที่จะรักษาอาการป่วยของสหายเ้าได้ ส่วนที่เหลือเ้าก็เก็บไว้เถิด ไม่แน่ภายภาคหน้าเ้าอาจจะต้องใช้มัน”
“ขอบคุณท่านผู้าุโ” หลินเฟิงรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ชายชรากล่าว เม็ดยาหนึ่งเม็ดก็เพียงพอที่จะรักษาอาการาเ็ของหานหมานได้ แสดงว่าเม็ดยาเหล่านี้จะต้องเป็เม็ดยาที่ล้ำค่าแน่ๆ แต่ทว่าชายชรากลับมอบเม็ดยาให้เขาทั้งขวดอย่างง่ายดาย แม้จะรู้สึกแปลกๆ แต่หลินเฟิงก็ไม่สงสัยในคำพูดของผู้าุโ ด้วยระดับการบ่มเพาะและตัวตนที่ไม่ธรรมดาของท่าน คงไม่จำเป็ต้องมาหลอกลวงอะไรเขาหรอก
“นี่เป็สิ่งที่เ้าควรได้รับ หลังจากที่ผ่านบททดสอบ แต่เ้าจงจำไว้ว่าเื่ที่เ้าสามารถผ่านบททดสอบที่หน้าผาจงกู่ ห้ามไปพูดกับใครทั้งนั้น” ชายชราพูดกำชับด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หลินเฟิงอยู่แค่ระดับขอบเขตนักรบลมปราณขั้นที่ 8 แต่กลับสามารถตีกลองจงกู่ทั้ง 8 ใบได้ และไม่ว่าจะสามารถทำได้ด้วยวิธีไหน แต่พร์ของหลินเฟิงได้ทำลายประวัติศาสตร์ที่เงียบเหงามาหลายร้อยปี ดังนั้นผู้าุโคงจึงหวังว่าหลินเฟิงจะไม่ทำตัวให้เป็ที่จับตามองจนเกินไป
ในอาณาจักรเสวี่ยเยว่ ทุกนิกายต่างมีกลุ่มคนที่ลอบฆ่าสังหารศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายอื่น เพื่อไม่ให้พวกเขาแข็งแกร่งไปมากกว่านี้ การที่หลินเฟิงสามารถตีกลองจนเกิดเสียงดังไปทั่วนิกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าอนาคตข้างหน้าเขาจะต้องเป็ศิษย์ที่โดดเด่นแน่ๆ และอาจตกเป็เป้าหมายในการลอบสังหารของพวกมัน
“ขอรับ” ถึงแม้ว่าหลินเฟิงจะไม่เข้าใจว่าทำไมชายชราชุดคลุมสีดำถึงพูดแบบนี้ แต่หลินเฟิงก็ยังคงพยักหน้าตอบรับ
ชายชราชุดคลุมสีดำเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังทิศหนึ่งก่อนกล่าวว่า “ผู้พิทักษ์เป่ย ท่านพาเขากลับไปเถอะ”
หลินเฟิงชะงัก ที่หน้าผาแห่งนี้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่หน้าผานี้เท่านั้นที่มีพื้นที่มากพอจะให้ยืนอยู่ได้ ท่านผู้าุโคงไม่ได้พูดกับอากาศหรอกนะ
“ได้ กลับกันเถอะ” ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เมื่อหลินเฟิงเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นจุดสีดำบนท้องฟ้า จุดดำๆ นี้มีปีกคู่ขนาดใหญ่สีขาวดุจหิมะ ซึ่งความจริงแล้วมันเป็ปีกของนกกระสา
“มีเพียงแค่ผู้บ่มเพาะที่ทรงพลังเท่านั้นถึงจะสามารถบินได้ คิดไม่ถึงเลยว่าในนิกายหยุนไห่จะมีผู้บ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ด้วย” หลินเฟิงตกตะลึงจนพูดไม่ออก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกราวกับว่ามีพายุกำลังพัดเข้ามาใกล้ๆ จนเขาไม่สามารถทรงตัวได้
ฝุ่นกระจัดกระจายไปทั่ว เงาของนกกระสาได้ขยายอยู่บนพื้นหน้าผา เมื่อหลินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองก็ต้องชะงักไปชั่วขณะ เป็เขา!
หลินเฟิงรู้จักเงาคนที่ปรากฏตัวออกมา เขาก็คือชายชราที่เฝ้าหอซิงเฉิน ตอนนี้เขาดูมีชีวิตชีวาต่างจากตอนที่นั่งเฝ้าหน้าหออย่างเกียจคร้าน ดวงตาของเขาเปล่งประกายและเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ทรงพลัง
“อย่างที่คิดไว้เลย ผู้าุโที่รับผิดชอบดูแลหอซิงเฉินจะธรรมดาที่ไหน” หลินเฟิงยิ่งมั่นใจในความคาดเดาของตัวเองมากขึ้น
“เ้าหนุ่ม ข้าขอแนะนำให้รู้จักหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่คอยปกปักรักษานิกายหยุนไห่ เ้าสามารถเรียกเขาว่า ผู้พิทักษ์คง ส่วนข้าก็เป็ผู้พิทักษ์เหมือนกับเขา เ้าสามารถเรียกข้าว่า ผู้พิทักษ์เป่ย” ดูเหมือนว่าชายชราจะอารมณ์ดีเป็พิเศษ ตำแหน่งผู้พิทักษ์ เป็ตำแหน่งที่สูงมากในนิกาย การที่ได้พบพวกเขาเหล่านี้นับได้ว่าเป็เกียรติต่อตัวเอง
การจะกลายเป็ผู้พิทักษ์ของนิกายได้นั้น พวกเขาต้องมีความซื่อสัตย์และความจงรักภักดีต่อนิกายอย่างหาที่เทียบไม่ได้ ในใจของพวกเขาจะมีเพียงแค่นิกายเท่านั้น การที่หลินเฟิงสามารถตีกลองจงกู่ทั้ง 8 ใบได้ นับได้ว่าเป็เื่ที่น่ายินดีสำหรับผู้พิทักษ์เป่ย
“คารวะท่านผู้พิทักษ์เป่ย ท่านผู้พิทักษ์คง” หลินเฟิงยิ้มให้กับท่านผู้าุโทั้งสองคน ผู้พิทักษ์ทั้งสองคนนี้น่าจะเป็ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในนิกาย
ผู้พิทักษ์คงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในถ้ำ ร่างของเขาค่อยๆ หายไปในความมืดตามโถงทางเดิน
“ตาเฒ่าผีตนนี้ วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่ในถ้ำ นานๆ ทีจะพูดออกมาสักคำ เขาเ็าจนติดเป็นิสัยไปแล้ว” ผู้พิทักษ์เป่ยส่ายหัวจากนั้นดึงตัวหลินเฟิงไว้ “พวกเราก็ควรไปกันได้แล้ว"
ทันใดนั้นจิติญญานกกระสาก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นหลินเฟิงก็รู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขากำลังลอยขึ้นไปในอากาศ เมื่อเห็นเท้าของตัวเองลอยอยู่กลางอากาศก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันไป ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะสามารถบินได้โดยไม่ต้องใช้ปีก
อย่างไรก็ตามในทวีปเก้า์ มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะสามารถเย้ยหยันใต้หล้าได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้