เมื่อหลินเยว่อุ้มของกองพะเนินเดินกลับมาถึงบ้าน คุณแม่ของหลินเยว่ก็ได้จูงมือของฉินเหยาเหยาพามานั่งบริเวณสวนแล้วเริ่มพูดคุยกันทันทีโดยเธอลืมเขาผู้ซึ่งเป็ลูกชายของเธออย่างสิ้นเชิง
ขณะที่หลินเยว่กำลังถอนหายใจให้กับความไม่ยุติธรรมของ์นั้นคุณแม่ของหลินเยว่กลับพูดขึ้นมา “เสี่ยวเยว่ ลูกโทรศัพท์หาพ่อของลูกหน่อยสิ”
“อ้อ ใช่ แล้วพ่อผมล่ะ อยู่ห้องกรรมการของหมู่บ้านหรอ?”
หลินเยว่นิ่งไปชั่วครู่ถึงได้นึกออกว่าั้แ่มาถึงที่นี่จนถึงตอนนี้เขายังไม่เห็นหน้าบิดาของเขาเลยถึงแม้ว่าบิดาของเขาจะเป็ผู้ใหญ่บ้าน แต่ทว่าในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ไม่ได้มีงานยุ่งอะไรสักเท่าไร
“เมื่อหลายวันก่อนมีนักธุรกิจหลายคนสนใจูเาที่อยู่หลังหมู่บ้านของพวกเราพวกเขามีโครงการคิดอยากจะสร้างเป็แหล่งท่องเที่ยว วันนี้พ่อของลูกจึงขึ้นเขาไปกับพวกเขาน่ะ”
เมื่อคุณแม่ของหลินเยว่พูดจบเธอก็ไม่ได้สนใจหลินเยว่ต่อ แต่กลับพูดคุยกับฉินเหยาเหยาขึ้นมาแทน
หลินเยว่จึงได้แต่วางของฝากต่างๆไว้ในห้องอย่างเหนื่อยใจ
เขามองบ้านที่ก่อด้วยอิฐขนาด 3 ห้องของตนเอง เขาพลันรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมามันเป็ความคุ้นเคยที่อยู่ในใจลึกๆ ของเขามาตลอด
หลินเยว่วางของทั้งหมดไว้ในห้องส่วนตัวของเขา ถึงแม้ว่าสามปีมาแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาแต่ทว่าห้องของเขาก็ยังสะอาดเรียบร้อยเช่นเคย มารดาของเขาคงจะมาทำความสะอาดห้องนี้อยู่เสมอ
ภายในห้องเหลือเพียงเตียงหลังเดียวและตู้เสื้อผ้าแบบเก่าภายในตู้เสื้อผ้ามีเสื้อผ้าที่หลินเยว่สวมตอนเด็กๆ อยู่ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าจะเล็กและเก่ามากแล้วแต่ทว่ามารดาของเขาก็ยังคงเสียดายไม่อยากทิ้งมันไป
หลินเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามกดความรู้สึกเศร้าภายในใจลงไป เขาวางของลงแล้วโทรศัพท์หาบิดาของตนเอง
บิดาของเขาเป็คนเดียวในหมู่บ้านที่มีโทรศัพท์มือถือเนื่องจากเขาเป็ผู้ใหญ่บ้าน บางทีอาจจะต้องเขาไปที่ตำบลอยู่บ้างจึงจำเป็จะต้องมีโทรศัพท์มือถือสักเครื่องไว้สำหรับติดต่อแต่ทว่าสัญญาณโทรศัพท์ในหมู่บ้านไม่ค่อยดี สัญญาณมักจะติดๆ ดับๆ อยู่เสมอ
ปกติหลินเยว่ก็ไม่ได้โทรศัพท์หาบิดาของตนเอง เพราะเขาจะเลือกส่งข้อความแทนแต่ทว่าสิ่งที่น่าลำบากใจก็คือ บิดาของเขาส่งข้อความไม่เป็แต่อ่านเป็เพียงอย่างเดียว
เมื่อเขาโทรศัพท์หาบิดาของตนเองผลปรากฏว่ามีแต่เสียงตู๊ดๆ ดังขึ้น นั่นก็แสดงว่าตอนนี้สัญญาณไม่ดีเลย
อยู่ในหุบเขาเช่นนี้ สัญญาณไม่ดีก็เป็เื่ธรรมดาอยู่แล้ว
“แม่ พ่ออยู่ในเขา โทรศัพท์เลยไม่มีสัญญาณน่ะ”
หลินเยว่เดินออกมาจากห้องนอนของตนเองแล้วบอกมารดาที่กำลังคุยกับฉินเหยาเหยาอย่างมีความสุข
มือของมารดาของหลินเยว่ยังไม่ยอมออกห่างจากมือของฉินเหยาเหยาเลยเธอจับมือฉินเหยาเหยาไว้ตลอด ภาพเหตุการณ์นี้ก็ทำให้หลินเยว่รู้สึกสบายใจได้บ้างเพราะหากมารดาของตนไม่ชอบฉินเหยาเหยา เขาก็คงจะทำอะไรไม่ได้ คงต้องเป็คนกลางที่ได้แต่รู้สึกลำบากใจแต่ทว่าเขาไม่มีทางยอมปล่อยทางใดทางหนึ่งเป็แน่
“โทรไม่ติดก็ช่างเถอะตอนกลางวันเดี๋ยวเขาก็กลับมาเอง”
คุณแม่ของหลินเยว่ไม่แม้กระทั่งจะหันศีรษะกลับมา
หลินเยว่จึงได้แต่ยืนอยู่ในสวนเพื่อมองยอดเขาหลังหมู่บ้านอย่างจนปัญญาในนั้นมีวัดลัทธิเต๋าตั้งอยู่บนูเาลูกเล็กๆ แห่งหนึ่งตำแหน่งที่ตั้งของวัดแห่งนี้ดีมาก เพราะวัดอยู่บนูเาที่หมู่บ้านที่ตั้งอยู่รอบๆ แต่ละแห่งสามารถเดินทางไปถึงอีกทั้งหนึ่งในเส้นทางเ่าั้ก็คือเส้นทางที่สามารถเดินทางไปยังอำเภอชางโดยตรงอีกด้วย
พรุ่งนี้เขาจะลองขึ้นไปดูที่นั่น
ถึงแม้ว่าอาจจะไม่ได้คำตอบ แต่เขาก็จะลองไปดูสักหน่อย
หลินเยว่ตัดสินใจอยู่ในใจ
เมื่อถึงเวลาเที่ยง คุณแม่ของหลินเยว่จึงจำเป็ต้องปล่อยมือฉินเหยาเหยาอย่างเสียดายเธอต้องเข้าครัวเพื่อเตรียมอาหารให้กับพวกเขา หลินเยว่จึงแอบคิดในใจ...ในที่สุดเขาก็มีโอกาสกะหนุงกะหนิงกันสองต่อสองกับฉินเหยาเหยาแล้วแต่คาดไม่ถึงว่าฉินเหยาเหยาจะคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับหลินเยว่ แล้วตามคุณแม่ของหลินเยว่เข้าไปในห้องครัวทันที
หลินเยว่เห็นฉินเหยาเหยามองเขาด้วยสายตาหยอกเย้า......
......
บนถนนแคบๆ ที่สามารถทะลุไปยังหลังเขาของหมู่บ้านเส้นหนึ่งมีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเดินลงมาสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม
“ผู้ใหญ่ เป็อะไรหรือทำไมสีหน้าถึงดูมีความกังวลนักล่ะ” มีชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งถามพร้อมรอยยิ้ม
“จะมีเื่อะไรได้ล่ะ ก็เื่การดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนน่ะสิสองสามวันมานี้เื่นี้มันบีบใจผมเหลือเกิน”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจอย่างหนักใจสีหน้ากลัดกลุ้มก็ดูเด่นชัดยิ่งขึ้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของชายวัยกลางคนอีกคนพลันหายไปทันทีแต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือสีหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงจังพร้อมถอนหายใจแล้วพูดขึ้น“โอกาสแบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นกันง่ายๆ หรอก เพราะหมู่บ้านของพวกเราไม่มีถนนดีๆสักเส้นน่ะสิ หากมีถนนสักหน่อย หมู่บ้านของพวกเราก็คงพัฒนาไปนานแล้วล่ะ”
“ก็นั่นน่ะสิ” ผู้ใหญ่บ้านมองไปยังถนนแคบๆ ที่แม้กระทั่งคนเดินก็ยังสร้างความลำบากไม่น้อยเส้นนั้นสายตาของเขาสะท้อนประกายเศร้าสลดอยู่ชั่วขณะ
“เลิกพูดถึงเื่นี้ก่อน ผมขอบอกข่าวดีกับผู้ใหญ่เื่หนึ่งนะหากผู้ใหญ่รู้ข่าวนี้จะต้องดีใจมากอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้จะมีเื่อะไรที่ทำให้ผมรู้สึกดีใจได้ล่ะ”ผู้ใหญ่บ้านฝืนยิ้มออกมา
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ อย่างเช่นลูกชายของผู้ใหญ่กลับมา...ข่าวนี้เป็อย่างไรล่ะ”
“อะไรนะ? คุณบอกว่าเสี่ยวเยว่กลับมาแล้ว?”
เมื่อผู้ใหญ่บ้านได้ยินก็เกร็งไปทั้งตัวเขาถามขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ก็ลูกชายผู้ใหญ่น่ะสิ หลินเยว่นักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่งเดียวของหมู่บ้านพวกเรากลับมาแล้วไงล่ะ”ชายวัยกลางคนผู้นี้พูดย้ำอีกครั้งหนึ่ง
“แล้วเจอกัน!”
ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้รอให้ชายวัยกลางคนผู้นี้พูดจนจบเขารีบพูดด้วยเสียงสูงแล้ววิ่งมุ่งหน้าไปยังบ้านของตนเองทันที
เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของผู้ใหญ่บ้าน ชายวัยกลางคนผู้นี้จึงส่ายศีรษะอย่างอดไม่ได้แล้วพูดรำพึงรำพันกับตนเอง “ผมยังพูดไม่จบเลยนะ หากบอกผู้ใหญ่ว่าลูกชายของผู้ใหญ่พาหญิงสาวที่สวยราวกับนางฟ้ากลับมาด้วยอีกคนคิดว่าผู้ใหญ่จะต้องะโตัวลอยอย่างแน่นอน ว่าแต่... ไอ้หนุ่มสกุลหลินคนนี้ก็เก่งไม่เลวจริงๆ”
ขณะที่เพิ่งยกกับข้าวกลิ่นหอมน่าทานมาวางไว้บนโต๊ะนั้นหลินเยว่ก็ได้ยินเสียงก้าวเท้าอย่างหนักแน่นแต่ดูรีบร้อนดังขึ้นร่างของเขาไหวเล็กน้อย เขารู้ดีว่านี่คือเสียงก้าวเท้าของบิดาตนเอง ดังนั้นเขาจึงรีบออกไปต้อนรับ
เมื่อมาถึงหน้าประตูบ้านเขาจึงเห็นบิดาของตนกำลังเดินเข้ามาถึงบริเวณสวนภายในบ้านหลินเยว่จึงร้องเรียกอย่างตื่นเต้นดีใจ “พ่อ......”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ก็ดูแปลกไปนั้นร่างของคุณพ่อของหลินเยว่ก็เกิดอาการสั่นสะท้านเล็กน้อยที่คนอื่นมองไม่ออกเขาพยายามกดความรู้สึกตื่นเต้นในจิตใจลงและกวาดตามองหลินเยว่เดินเข้ามาหาหลินเยว่พร้อมตบบ่าเบาๆ “ไม่เลว ไม่เลว”
คำพูดเรียบง่ายสองพยางค์เช่นนี้กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักลึกซึ้งของผู้เป็พ่อ
น้ำตาของหลินเยว่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง
และเวลานี้ ฉินเหยาเหยาก็ยกกับข้าวออกมาจากห้องครัวพอดี
ฉินเหยาเหยาสบตากับคุณพ่อของหลินเยว่อย่างตกตะลึงหลินเยว่จึงรีบเช็ดน้ำตาออกแล้วพูดขึ้น “เหยาเหยา เรียกพ่อสิ”
“พ่อ”
ตอนนี้ฉินเหยาเหยาไม่ได้รู้สึกตระหนกเหมือนตอนแรกอีกแล้ว
“นี่...... นี่คือ......”
สายตาของคุณพ่อของหลินเยว่มีแต่ความตื่นเต้นดีใจเขามองฉินเหยาเหยาด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ และเสียงเรียกว่า “พ่อ”คำนั้นก็ทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นี่คือลูกสะใภ้ของพ่อไง”
หลินเยว่พูดพร้อมรอยยิ้ม
และคำว่า “ลูกสะใภ้” ก็ทำให้ฉินเหยาเหยาและคุณพ่อของหลินเยว่ถึงกับเกร็งไปทั้งร่างในเวลาเดียวกัน
ฉินเหยาเหยารู้สึกมีความสุขมากเพราะการที่คนที่เธอรักเอ่ยปากขึ้นด้วยสถานะที่เธอใฝ่ฝันมานานก็ย่อมทำให้เธอมีความสุขอย่างยิ่ง
คุณพ่อของหลินเยว่มองฉินเหยาเหยาสายตาของเขามีแต่ความพึงพอใจ แล้วก็พูดย้ำหนักๆ ว่า “ดี” ถึง 3 ครั้งหลังจากนั้นจึงตบบ่าหลินเยว่พร้อมหัวเราะเสียงดัง
“พวกคุณเลิกคุยกันด้านนอกได้แล้วมือของเหยาเหยายังถือกับข้าวอยู่เลยนะ”
คุณแม่ของหลินเยว่เดินออกมาจากห้องครัวเธอขึงตาใส่หลินเยว่และคุณพ่อของหลินเยว่พร้อมพูดขึ้น“รีบเข้ามากินข้าวในบ้านเถอะ”
ขณะรับประทานอาหารกันนั้น คุณพ่อของหลินเยว่จึงหยิบเหล้าชั้นดีที่แต่ก่อนรู้สึกเสียดายที่จะดื่มออกมาแล้วก็รินดื่มกับหลินเยว่อย่างมีความสุขอาหารมื้อนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันชื่นมื่น
อาหารมื้อนี้ดำเนินไปจนถึงบ่ายสามโมงถึงได้เสร็จสิ้น
หลังจากนั้นคุณพ่อของหลินเยว่จึงพาหลินเยว่และฉินเหยาเหยาเดินแวะเวียนไปตามบ้านต่างๆเพื่อมอบของขวัญ ของขวัญเหล่านี้ทำให้ทุกๆ คนต่างรู้สึกดีใจจนหุบปากไม่ลงส่วนพวกลูกอมลูกกวาดและของเล่นต่างๆ ต่างทำให้เด็กๆ ดีใจจนเนื้อเต้น
เมื่อเดินวนจนครบทั้งหมู่บ้านแล้วก็เป็เวลาค่ำเสียแล้วเมื่อทานอาหารค่ำกันอย่างเรียบง่ายหลินเยว่และฉินเหยาเหยาจึงเข้าห้องส่วนตัวที่มีเพียงพวกเขาสองคน
คุณแม่ของหลินเยว่ก็เข้ามาจัดการห้องนอนของหลินเยว่ั้แ่ตอนบ่ายผ้าปูที่นอนก็ได้ปูไว้เรียบร้อยแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้