ไม่รู้ว่าถูกเป่ยเหลียนโม่จับได้ั้แ่เมื่อใด เหยาเชียนเชียนลืมตาขึ้นอย่างกระดากอายเล็กน้อย
“หม่อมฉันเห็นว่าท่านอ๋องกับท่านพี่กำลังคุยเื่สำคัญกันอยู่ หม่อมฉันก็เลยหลบเลี่ยงเพคะ”
แม้ว่าใบหน้าของนางจะยังแดงผิดปกติอยู่ แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ที่ร้อนเป็ถ่านติดไฟก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ดูท่าว่ายาลูกกลอนนี้จะทำขึ้นมาเป็พิเศษเพื่อใช้ระงับพิษกู่ของนางจริงๆ
“หวังเฟยเชื่อฟังรู้ความเช่นนี้ น่ารักน่าเอ็นดูกว่าคืนอภิเษกเสียอีก”
คำพูดกำปั้นทุบดินของเขา หากเ้าของร่างเดิมได้ยินเข้าคงเป็การเหน็บแนมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยามนี้เหยาเชียนเชียนได้ฟังกลับรู้สึกเพียงว่าชิงผิงอ๋องผู้นี้ค่อยๆ ยอมรับนางในปัจจุบันแล้ว
“ใช่เพคะ หม่อมฉันเคยบอกกับท่านอ๋องว่า ในเมื่อสำนึกผิดแล้วก็ต้องแก้ไข ท่านอ๋องทรงรอดูผลงานของหม่อมฉันในอนาคตก็พอเพคะ”
คำพูดของเป่ยเหลียนโม่ถูกขัดขวางด้วยรอยยิ้มเอาอกเอาใจเล็กน้อยบนใบหน้าของนาง แตกต่างจากท่าทีเย่อหยิ่งและถือตัวของคุณหนูตระกูลเหยาตอนก่อนหน้านี้มากนัก เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้อย่างอดไม่ได้ ค่อยๆ กดลำตัวของอีกฝ่าย พยายามมองหาเบาะแสภายในดวงตาสุกสกาวคู่นั้น
เหยาเชียนเชียนถูกเขาเข้ามาประชิดโดยไม่ทันตั้งตัวใจนต้องขดตัวอยู่ในมุม นี่มันกลางวันแสกๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเพิ่งปฏิเสธเหยาอวี้เอ๋อร์ไปเมื่อครู่ คนดีๆ เช่นใดจะมีความชอบแบบนี้เล่า?
“ท่าน...ท่านอ๋อง นี่ก็เย็นแล้ว อาเหยียนยังรอเรากลับไปอยู่นะเพคะ”
สตรีผู้นี้กำลังผลักไสเขาอยู่?
เป่ยเหลียนโม่เห็นแววต่อต้านในสายตาของนางได้อย่างชัดเจน จากเดิมที่หยอกเย้ากันก็พลันเ็าขึ้นมา
แม้ว่าลักษณะนิสัยจะเปลี่ยนไปมาก แต่ความเอือมระอาและความไม่ยินยอมที่มีต่อเขายังคงไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“กลับกันเถิด”
เมื่อใช้น้ำเสียงเ็าพูดจบแล้ว เป่ยเหลียนโม่ก็ยืนขึ้นและออกจากห้องไป เหลือไว้เพียงเหยาเชียนเชียนที่กะพริบตาปริบๆ อยู่บนเตียง เขาโกรธอะไรกัน นางแค่พูดถึงอาเหยียนน้อยเท่านั้นเอง
แล้วอีกอย่าง เมื่อครู่นางกระอักเืไม่ใช่หรือ ยังไม่ทันได้ถามก็ไปเสียแล้ว
เหยาเชียนเชียนรู้สึกว่าเพราะความเ็าและความเอาแน่เอานอนไม่ได้ของเขา นางถึงได้กระอักเืออกมาสองคำ คนผู้นี้ไม่เป็ห่วงความเป็ความตายของนางเลยแม้แต่น้อย ดูท่าว่านางคงต้องหาโอกาสออกไปเดินเตร็ดเตร่บ้าง
ทันทีที่นางออกจากห้องมาก็เห็นเหยาอวี้เอ๋อร์ยืนอยู่กับเหยาซื่อเฟิง สายตาประดุจคมมีดมองมายังนางอย่างร้ายกาจ
เมื่อครู่เป่ยเหลียนโม่โยนอาภรณ์ทิ้งโดยไม่ทันให้นางใส่ เหยาอวี้เอ๋อร์จึงถูกนำตัวออกมาในสภาพอาภรณ์ไม่เรียบร้อยปรากฏต่อหน้าบ่าวไพร่ที่ปรนนิบัติกันเต็มเรือน
ความอับอายและความอัปยศอดสูเช่นนี้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สายตาของเหยาอวี้เอ๋อร์ที่มองมายังนางจะมีความเกลียดชังเพิ่มขึ้นมาหลายส่วน
“ท่านพี่เปลี่ยนชุดใหม่อีกแล้วหรือ จุ๊ๆ แต่ไม่สวยเท่าชุดก่อนหน้านี้นะเ้าคะ”
นางก้าวช้าๆ เข้าไปหาเหยาอวี้เอ๋อร์ พลางกระซิบด้วยเสียงแ่เบาที่ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น “ชุดนี้ถอดออกไม่ยาก แต่ถ้าจะสวมกลับไปนั้นยากแล้ว ท่านพี่กระเหี้ยนกระหือรือเช่นนี้ ทำเอาน้องรู้สึกละอายใจเหลือเกิน”
“เ้า!”
เหยาอวี้เอ๋อร์เบิกตากว้าง เหยาเชียนเชียนรู้เื่ในห้องเมื่อครู่แล้ว เป็เพราะชิงผิงอ๋องบอกหรือว่าคนชั้นต่ำผู้นี้ตั้งใจแสร้งทำเป็อ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสนใจจากท่านอ๋อง เ้าเล่ห์นัก!
“ท่านพ่อ ข้าขอตัวกลับก่อน” เหยาเชียนเชียนโบกมือให้เหยาซื่อเฟิง “คำพูดในวันนี้ข้ามิอาจลืมเลือน ท่านพ่อรักษาตัวด้วย”
เมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ทั้งคู่คุยกันในห้องหนังสือ เหยาซื่อเฟิงขบกรามเค้นรอยยิ้มบางเบา หากโง่เขลาเช่นนี้ ก็รอดูแล้วกันว่าสักวันนางจะต้องมาคุกเข่าขอร้องเขา
รถม้าเคลื่อนกลับจวนอ๋องอย่างช้าๆ สีหน้าของเหยาเชียนเชียนกลับคืนเป็ปกติแล้ว เป่ยเหลียนโม่หลับตาแสร้งทำเป็หลับตลอดทาง เดิมทีก็ไม่มีอารมณ์จะคุยผูกสัมพันธ์กันอยู่แล้ว
ทว่าเหยาเชียนเชียนอยากถามเขาเื่ที่นางกระอักเื แต่ก็กลัวว่ายิ่งถามมากเท่าไร ก็จะยิ่งมีความผิดมากขึ้นเท่านั้น หากเขารู้ว่าในร่างกายนี้เปลี่ยนแกนไป ไม่รู้ว่าคนผู้นี้จะจับนางไปเผาทั้งเป็หรือไม่
ถึงอย่างไรสมองเขาก็ไม่ได้ดีอยู่แล้ว!
“ท่านอ๋องเสด็จกลับมาแล้ว” พ่อบ้านวิ่งเข้ามาต้อนรับ “เสี่ยวซื่อจื่อร้องไห้มาสองชั่วยามแล้ว ทรงตรัสว่าจะ...จะไปรับหวังเฟยที่จวนสกุลเหยาให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด โดยปกติอาเหยียนน้อยจะเชื่อฟัง แต่วันนี้กลับร้องไห้ไม่หยุด ้าจะไปจวนตระกูลเหยาให้ได้ ทั้งยังบอกว่าท่านแม่อยู่ที่นั่นโดนรังแก เขาต้องไปช่วยนาง
“บรรพชนตัวน้อยเอ๋ย หวังเฟยกลับบ้านเดิมเพื่อเยี่ยมพ่อแม่ จะถูกรังแกได้อย่างไร ท่านหยุดร้องไห้ได้แล้ว”
“ท่านแม่...จะหาท่านแม่...” อาเหยียนน้อยร้องไห้เสียจนหายใจไม่ทัน
ในเมื่อเป็เช่นนี้ พ่อบ้านเหลือบมองเป่ยเหลียนโม่อย่างลำบากใจ เื่ที่หวังเฟยผู้นี้เกือบจะบีบคอเสี่ยวซื่อจื่อตาย พระทัยของท่านอ๋องยังมิทันเย็นลง ทว่าไม่รู้เหตุใดอยู่ๆ เสี่ยวซื่อจื่อถึงอาลัยอาวรณ์หวังเฟยขึ้นมา พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่สามารถปลอบโยนได้
“หม่อมฉันจะไปดูเอง” เหยาเชียนเชียนวิ่งไปสองก้าวแล้วก็หยุดลง นางหันกลับไปมองเป่ยเหลียนโม่อย่างอ้อนวอน
“ท่านอ๋อง ให้หม่อมฉันไปดูสักหน่อยเถิด อาเหยียนคงตื่นมาแล้วไม่เจอผู้ใดก็เลยกลัว หม่อมฉันไปปลอบสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว”
คำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากนาง ผู้ใดได้ฟังก็คงอดจะเหน็บแนมสักสองสามประโยคไม่ได้ พ่อบ้านมองไปยังท่านอ๋องของตนอย่างเป็กังวล แต่เขากลับพยักหน้าเบาๆ พร้อมตรัสว่า “ไปเถิด”
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดอาเหยียนถึงเปลี่ยนใจ ทว่าเป่ยเหลียนโม่ก็ดูเหมือนจะสังเกตได้เช่นกัน ความรู้สึกที่นางมีต่อเด็กน้อยดูเหมือนจะแตกต่างจากคืนนั้น
หากนางวางตัวเป็และสามารถปฏิบัติตนดีกับอาเหยียนได้ แม้ว่าจะยังคงจับตามองเขาให้เป่ยเซวียนเฉิงอย่างลับๆ เช่นนั้นก็เห็นแก่เด็ก เขาจะไว้ชีวิตเหยาเชียนเชียน
“ท่านแม่ ท่านแม่!”
อาเหยียนได้ยินเสียงฝีเท้าของเหยาเชียนเชียนั้แ่ไกล เขาก้าวขาสั้นๆ วิ่งตึงตังออกมาและฝังใบหน้าเล็กลงบนอกของนาง
“อาเหยียนไม่ร้องๆ แม่กลับมาแล้ว”
เหยาเชียนเชียนอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้อย่างสงสาร ไม่รู้ว่าเขาร้องไห้มานานเท่าใดแล้ว ตาบวมและจมูกเล็กแดงเรื่อ สองมือกอดนางไว้แน่น ด้วยกลัวว่าจะถูกทอดทิ้ง น่าสงสารเหลือเกิน
“ท่านแม่าเ็ อาเหยียนเป่าให้ท่านแม่”
เด็กชายเป่าแผลบนมุมปากเหยาเชียนเชียนอย่างแ่เบา การกระทำที่อบอุ่นและใส่ใจทำให้ความกังวลใจในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยของนางค่อยๆ หายไป เหยาเชียนเชียนกอดเด็กน้อยแน่นยิ่งขึ้น
ในที่สุดผู้เป็แม่ก็กลับมาแล้ว โชคดีที่ได้รับาเ็เพียงเล็กน้อย อาเหยียนซบลงบนอกของเหยาเชียนเชียนและหลับตาลงอย่างช้าๆ ร้องไห้มานานคงเหนื่อยมาก ไม่นานจึงหลับไป
เหยาเชียนเชียนวางเขาลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง ใบหน้ายามหลับของเด็กน้อยดูเงียบสงบชวนให้นางมองอย่างไม่รู้จักพอ
“โชคดีที่ที่นี่มีเ้าห่วงใยข้า” นางเอ่ยขึ้นเบาๆ “ขอบคุณนะอาเหยียน ข้าจะปกป้องเ้าเอง”
พอสิ้นเสียง พลันเกิดแสงสว่างวาบบนตัวเด็กน้อยตัวกลมเมื่อครู่ อาเหยียนกลายเป็ลูกแมวน้อยตัวนั้นที่คุ้นเคย
“อ๊ะ...”
เหยาเชียนเชียนมองไปทางประตูอย่างร้อนรน ก่อนจะดันตัวอาเหยียนเข้าไปข้างใน ยามนี้ห้ามให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นนางจะไม่สามารถอธิบายการหายตัวไปของเสี่ยวซื่อจื่อได้เลย
“อาเหยียนเป็อะไร?” เป่ยเหลียนโม่เดินเข้ามาโดยไม่ส่งสัญญาณเตือน
เหยาเชียนเชียนดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวลูกแมวน้อยเอาไว้ทันที ก่อนยิ้มการค้าออกไปโดยพยายามไม่สั่น
“เพิ่งหลับไปเพคะ หม่อมฉันจะเฝ้าเขาเอง ท่านอ๋องไปทำงานเถิดเพคะ”
เป่ยเหลียนโม่ไม่สนใจนาง มุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อดูผ้าห่มที่คลุมไว้อย่างมิดชิดจนอดขมวดคิ้วไม่ได้
“เปิ่นหวังขอดูเขาหน่อย”
“ไม่ต้อง!”
เหยาเชียนเชียนจับผ้าห่มไว้แน่น พลางอธิบายอย่างหนักแน่นว่าเด็กน้อยหลับไปแล้วจะรบกวนไม่ได้ มิเช่นนั้นอาเหยียนต้องร้องไห้หนักเหมือนก่อนหน้านี้เป็แน่
เห็นนางพูดด้วยความจริงใจ ท่าทางสุขุมรอบคอบราวกับได้ให้กำเนิดบุตรมาแล้วหลายคน ทว่าเป่ยเหลียนโม่ยังคงกระสับกระส่าย เขาก้าวไปกระชากตัวนาง และยื่นมือออกไปหมายจะดึงผ้าห่มออก
“อาเหยียน พ่อมีเื่จะคุยกับเ้า”