หานอวิ๋นซีคิดว่าหลงเฟยเยี่ยคงไม่กลับมาเร็วๆ นี้ แต่ใครจะรู้ว่าหลงเฟยเยี่ยไม่ได้ออกไปั้แ่แรก เขาอยู่ที่ลานดอกบัว และทันทีที่องครักษ์ไปรายงาน หลงเฟยเยี่ยก็เข้ามา
ทันทีที่ร่างสูงสง่าปรากฏขึ้นที่ประตู ไม่ต้องพูดถึงมู่หรงหว่านหรูหรอก แม้แต่สาวใช้หลายคนที่อยู่ข้างๆ ก็หน้าแดงก่ำ ทั้งประหม่าและตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง อยากจะมองอีกครั้งแต่ก็ไม่กล้า
เขาสวมชุดคลุมสีขาวหลวมๆ ผมสีดำสลวยของเขาถูกม้วนขึ้นอย่างลวกๆ ด้วยปิ่นหยกสีดำ ราวกับเซียนที่โเี้ใน์ทั้งเก้า หล่อเหลาและไม่ธรรมดา โดดเดี่ยวและเ็า
แม้แต่อี้ไท่เฟยก็ไม่อาจละสายตาได้ การมีบุตรชายเช่นนี้เป็สิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของนาง
อย่างไรก็ตาม หานอวิ๋นซีแอบกลอกตา เห็นได้ชัดว่าชายผู้นี้แต่งตัวเหมือนอยู่บ้าน แม้ว่าจะมีเื่ใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้นที่หน้าประตูบ้าน ก็ต้องชื่นชมเขาจริงๆ ว่าเป็หัวหน้าครอบครัวที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้
อี้ไท่เฟยดึงหลงเฟยเยี่ยให้นั่งลงอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นก็เล่าเื่นี้ให้เขาฟังอย่างแต่งเสริมเติมแต่ง ราวกับว่าเื่นี้หานอวิ๋นซีเป็คนยั่วยุ
หานอวิ๋นซีก้มหน้าลง คิดในใจว่าถ้าหลงเฟยเยี่ยไม่แก้ปัญหาเื่นี้ ครั้งหน้าต่อให้จะเป็สามพันตำลึง นางก็ไม่มีทางออกไปรักษานอกสถานที่ให้อย่างแน่นอน
ใครจะไปรู้ว่าในขณะที่นางกำลังคิดเื่นี้อยู่ หลงเฟยเยี่ยก็พูดอย่างเ็าว่า “หานอวิ๋นซี เ้าจะจัดการมันอย่างไร?”
“ข้าโง่เขลา โปรดท่านอ๋องตัดสินใจเถิด” หานอวิ๋นซีถ่อมตนอย่างยิ่ง
“โง่เขลาก็คิดให้ดีสิ” หลงเฟยเยี่ยพูดอีกครั้ง
หานอวิ๋นซีมีจิตใจแข็งกร้าว ก็พูดว่า “ในความคิดของข้า การชี้แจงเป็สิ่งจำเป็ กุญแจสำคัญคือจะชี้แจงอย่างไรและใครจะชี้แจง”
อี้ไท่เฟยและมู่หรงหว่านหรูไม่ได้สนใจคำพูดของนาง แต่หลงเฟยเยี่ยพยักหน้าและบอกให้นางพูดต่อ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ สองแม่ลูกก็มองด้วยความไม่เชื่อ
ได้ยินเพียงหานอวิ๋นซีพูดอย่างจริงจังว่า “จากความเห็นของข้าแล้ว การให้หมู่เฟยเป็คนชี้แจงจะน่าเชื่อที่สุด อย่างไรคนที่ปฏิเสธพวกเขาก่อนหน้านี้ก็คือหมู่เฟย อีกทั้งมีองค์ชายและขุนนางมากมายมาขอการรักษา หมู่เฟยจึงไม่กล้าปฏิเสธ ส่วนสามัญชน ข้าขอเสนอว่าให้หมู่เฟยมอบเงินค่ารักษาแก่พวกเขาคนละก้อนและให้หาหมอที่มีชื่อเสียงคนอื่นๆ ประการแรกเพื่อแสดงถึงความเมตตาของหมู่เฟย ประการที่สองเพื่อไม่ให้เป็ขี้ปากของผู้อื่น”
คิดไม่ถึงว่าจะให้อี้ไท่เฟยเป็คนออกหน้าแก้ปัญหาเื่นี้?
มู่หรงหว่านหรูยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยความไม่เชื่อ นางคิดว่า หานอวิ๋นซีคิดเพ้อฝันเกินไป เช่นนี้ก็รอจนไปจนแพ้เถอะ
“ให้ข้าไปออกหน้ารับผิดชอบงั้นหรือ?” อี้ไท่เฟยไม่พอใจเล็กน้อย
หานอวิ๋นซีกล่าวเสริมว่า “หมู่เฟย เป็การเหมาะอย่างยิ่งแล้วที่ท่านจะเป็ตัวแทนของฉินอ๋อง”
นางพูดพร้อมกับมองไปที่หลงเฟยเยี่ย “ท่านอ๋อง คิดเช่นนั้นหรือไม่?”
ใหชายผู้นี้มาที่นี่เพื่อเป็คนหนุนหลัง หานอวิ๋นซีต้องบังคับให้เขาพูดให้ได้!
ประกายแห่งความชื่นชมที่ไม่มีใครสังเกตเห็นฉายวาบในดวงตาของหลงเฟยเยี่ย และพยักหน้าอย่างใจดี “อืม”
แม้ว่าอี้ไท่เฟยจะรักบุตรชาย แต่บุตรชายกับนางก็ไม่ได้ใกล้ชิดั้แ่เด็ก และยิ่งน้อยลงเมื่อเขาโตขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ขนาดคุยกันก็ยังเป็เื่ยาก หรือจะเป็การนั่งทานอาหารร่วมกันก็ตาม
เมื่อเห็นบุตรชายพยักหน้า อี้ไท่เฟยก็รู้สึกดีราวกับกินน้ำผึ้ง และก็ไม่สนใจเื่การต่อล้อต่อเถียงกับหานอวิ๋นซีอีกต่อไป
“ตกลง ใครก็ได้ ไปเตรียมเงินมา ข้าจะไปจัดการเื่นี้เดี๋ยวนี้”
อี้ไท่เฟยที่กำลังจะออกไป ก็หันกลับมามองอีกครั้ง “เฟยเยี่ย เย็นนี้ทานข้าวเย็นที่นี่เถอะ เ้าไม่ได้ทานข้าวเย็นกับแม่มานานแล้ว”
นางที่ไม่รอคำตอบของหลงเฟยเยี่ย ก็รีบออกคำสั่งให้มู่หรงหว่านหรูไปหาจางลั่ว มู่หรงหว่านหรูที่้าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อยก็สิ้นหวัง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว หลงเฟยเยี่ยและหานอวิ๋นซีก็ถูกทิ้งไว้ในห้องรับแขก
หานอวิ๋นซีแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หายนะครั้งนี้ถือว่าผ่านไปแล้ว เป็การดีที่สุดที่จะไม่ปล่อยให้นางรู้ว่าใครเป็ผู้ที่อยู่เื้ัข่าวลือ มิฉะนั้น อย่าโทษหมอพิษอย่างนางที่กลายเป็มือวางพิษ!
นางแอบมองไปที่หลงเฟยเยี่ย ไม่ว่าจะใช้ชื่อของชายผู้นี้มาขู่หรือจะเชิญให้เขาออกมาปรากฏตัว ก็ช่างมีประโยชน์เหลือเกิน!
ในตอนที่หานอวิ๋นซีหัวเราะเยาะ หลงเฟยเยี่ยก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ก้าวหน้าเหมือนกันนี่...”
“หืม ว่าอย่างไรนะ?” หานอวิ๋นซีได้ยินไม่ชัด
น่าเสียดายที่หลงเฟยเยี่ยไม่ได้คิดที่จะพูดเป็ครั้งที่สอง เขาลุกขึ้นและเดินไปที่ประตู แม้แต่หลังของเขาก็ยังให้ความรู้สึกเ็า
หานอวิ๋นซีมีความรู้สึกว่าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ราวกับอยู่ไกลสุดขอบฟ้า นางวิ่งตามไปยืนอยู่ที่ประตูแล้วะโว่า “นี่ เสื้อคลุมตัวนั้นข้าเอามันไปวางไว้ที่ห้องตำราท่านแล้วนะ เห็นหรือไม่?”
หานอวิ๋นซีคิดว่าชายผู้นี้คงไม่สนใจนาง แต่คิดไม่ถึงว่าเขาหันกลับมาและพยักหน้า
หานอวิ๋นซีผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดว่า “โอ๊ะ” และไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็หัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา
หลังจากที่หลงเฟยเยี่ยเดินออกไปแล้ว หานอวิ๋นซีก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ อี้ไท่เฟย้าให้เขาอยู่ทานอาหารเย็นไม่ใช่หรือ? เขาจะไปโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลยหรือ?
หานอวิ๋นซีกระแอมออกมาเบาๆ สองสามครั้ง เมื่อไม่เห็นใครอยู่รอบๆ จึงรีบเดินออกไป อี้ไท่เฟยเองก็ไม่ได้รั้งนางไว้ หลงเฟยเยี่ยออกไปแล้ว นางจะอยู่ทำไมกัน?
อย่างไรการผิดสัญญากับอี้ไท่เฟย มันก็เป็เื่ของหลงเฟยเยี่ยเพียงผู้เดียว
ในตอนที่หานอวิ๋นซีกลับไปที่ลานดอกบัว ก็เห็นไฟในห้องนอนของหลงเฟยเยี่ยเปิดอยู่ และมันหมายความว่าเขาอยู่ในห้อง
คืนนี้ ชายผู้นี้จะอยู่ในห้องนอนทั้งคืนอย่างนั้นหรือ?
เขากลับมากี่วันแล้วนะ? แล้วเวลากลางคืนที่เขาอยู่ข้างนอก เขาไปอยู่ที่ไหนกัน?
หลังจากที่หานอวิ๋นซีคิดคำถามมากมาย ในที่สุดก็รู้สึกว่าตนเองน่าเบื่อเหลือเกิน จะไปสงสัยเื่พวกนั้นทำไมกัน? เขามีพื้นที่ของเขา นางก็มีตำหนักหยุนเซี่ยนของนาง ต่างคนต่างอยู่
นางยักไหล่และเดินไปทางตำหนักหยุนเซี่ยน
เฉินเซียงที่ได้เตรียมอาหารรสเลิศรอนางไว้แล้ว ทันทีที่มาถึงหน้าประตู หานอวิ๋นซีก็ได้กลิ่นหอมอันโอชะของอาหาร
เพียงแต่ ขณะที่เท้าก้าวข้ามธรณีประตู ก็มีเสียงรายงานจากองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังดังขึ้นมา “หวังเฟย อี้ไท่เฟยรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ด้วยคำพูดเหล่านี้อีกครั้ง หานอวิ๋นซีก็ถอนหายใจและถามอย่างเ็าว่า “เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?”
“กระหม่อมไม่ทราบแน่ชัดพ่ะย่ะค่ะ อี้ไท่เฟยเองก็ส่งข่าวไปยังท่านอ๋องเช่นกัน เดาว่าคงไม่ใช่เื่เล็กน้อย” องครักษ์ตอบตามความเป็จริง
หานอวิ๋นซีไม่ได้คิดเช่นนั้น อี้ไท่เฟยจะไปมีปัญหาใหญ่อะไรได้อีก? ความจริงแล้ว สำหรับปัญหาที่ประตูนั้น นางไม่จำเป็ต้องให้คำแนะนำก็ย่อมได้ อย่างไรอี้ไท่เฟยก็มีความเฉลียวฉลาดในการแก้ปัญหาเช่นกัน
แม้กระทั่งหลงเฟยเยี่ยก็ยังถูกเรียกให้ไป ดูเหมือนว่าจะเป็เื่ที่เบี้ยวนัดเสียมากกว่า
“อืม ช้าก่อน!” หานอวิ๋นซีพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ทันทีที่องครักษ์ออกไป นางก็ก้าวเข้าไปในห้อง กินสองสามคำให้อิ่มท้องก่อนจะไปที่นั่น ไม่เช่นนั้นงานเลี้ยงครอบครัวอะไรนั่นคงทำนางหิวแน่ๆ
หานอวิ๋นซีที่มาถึงช้า ทว่าสิ่งต่างๆ กลับเกินความคาดหมายไปอย่างสิ้นเชิง
หลงเฟยเยี่ยที่มาถึงก่อน พร้อมกับอีกคนหนึ่งในห้องรับแขกของอี้ไท่เฟย นั่นคือขันทีเฒ่าของฮ่องเต้เทียนฮุยแห่งอาณาจักรเทียนหนิง เซวียกงกง!
ทันทีที่เดินเข้าประตู ทุกคนก็มองไปที่หานอวิ๋นซี ซึ่งทำให้นางรู้สึกประหม่าโดยไม่มีเหตุผลขึ้นมา
กงกงคนข้างกายของฮ่องเต้มาหาถึงที่ขนาดนี้ ไม่ว่ามันจะเป็อะไรก็ตาม แต่มันต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้
เมื่อเห็นสีหน้าของอี้ไท่เฟยกับหลงเฟยเยี่ยแล้ว หานอวิ๋นซีก็รู้สึกไม่สบายใจ คิดว่าคงไม่ใช่เื่ดีอย่างแน่นอน
“กระหม่อมเซวียกุ้ยผิงถวายบังคมหวังเฟยพ่ะย่ะค่ะ” เซวียกงกงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าอย่างทำอะไรไม่ถูก
“เซวียกงกงทำตัวถามสบายเถิด” หานอวิ๋นซีพูดอย่างสุภาพ เซวียกงกงเองก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากคนใช้ธรรมดา
“เซวียกงกง นั่งลงเถิด” อี้ไท่เฟยเปิดปากพูด เซวียกงกงนั่งลงข้างๆ อย่างไม่เกรงใจ เมื่อเห็นสิ่งนี้ หานอวิ๋นซีก็หาที่นั่งถัดจากหลงเฟยเยี่ยและนั่งลงเช่นกัน
“หานอวิ๋นซี เ้าอธิบายกับเซวียกงกงด้วยตัวเองเถิด ว่าเ้าไม่มีทักษะทางการแพทย์ มีเพียงทักษะในการแก้พิษเท่านั้น เมื่อเขากลับไปจะได้ไม่เดือดร้อน” อี้ไท่เฟยพูดอย่างใจเย็น
ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หัวใจของหานอวิ๋นซีแทบจะหยุดเต้น เอ่อ...เอ่อ คงไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ได้ยินข่าวลือ แล้ว้าจะรับการรักษจากนางใช่หรือไม่?
หานอวิ๋นซีที่รู้สึกกระวนกระวายใจ ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง “เซวียกงกง เกิดเื่อะไรขึ้น?”
“ทูลหวังเฟย ฮ่องเต้ได้ยินว่าท่านมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม และสามารถรักษาโรคที่ยากซับซ้อนที่หมอเทวดาหานและหมอหลวงกู้ไม่สามารถรักษาได้ ดังนั้นเลยสั่งให้กระหม่อมมาเชิญท่านไปที่วัง เพื่อตรวจชีพจรแด่พระองค์พ่ะย่ะค่ะ” เซวียกงกงพูดอย่างสุภาพ
มุมปากของหานอวิ๋นซีกระตุก “ตรวจชีพจร” สามคำนี้พูดออกมาได้ง่ายจริงๆ!
ไท่จื่อเป็สมบัติของฮองเฮาและไท่เฮา เขาได้รับการอบรมจากฮ่องเต้ ทว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนเขาป่วยเป็โรคประหลาด หานฉงอันจึงได้ถูกเชิญไปรักษา โดยไม่คาดคิดหลังจากเจ็ดปีแล้วก็ยังวินิจฉัยสาเหตุไม่พบ
หานฉงอันใช้ความพยายามอย่างมากและเป็หนี้บุญคุณมากมายต่อสมาคมหมอเพื่อขอคำปรึกษา แต่จนถึงตอนนี้เขาไม่สามารถรักษาให้หายได้
มีโรคที่รักษาไม่หายมากมายในโลก แต่หานฉงอันกลับวินิจฉัยออกมาว่าไท่จื่อมีภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรี
ชายร่างใหญ่จะไปมีภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีได้อย่างไร? ทุกคนต่างคิดว่ามันเป็การวินิจฉัยที่ผิดพลาด แต่คนของสำนักแพทย์ก็คิดว่ามันเป็ภาวะชีพจรตั้งครรภ์ของสตรีเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้ไท่เฮาโกรธอย่างมาก ตระกูลหานเองก็ถูกไท่เฮาเกลียดเพราะเหตุนี้ โดยไม่แม้แต่จะนึกถึงบุญคุณที่ฮูหยินเทียนซินช่วยชีวิตในวันนั้นเลย ทั้งยัง้าฆ่าหานฉงอันด้วยความโกรธอยู่หลายครั้ง
และแน่นอนว่าเื่นี้ถูกเก็บเป็ความลับ มีเพียงฮ่องเต้ ไท่เฮา ฮองเฮา ฉินอ๋อง หานฉงอัน หมอหลวงกู้และผู้ดูแลสำนักแพทย์เท่านั้นที่รู้เื่นี้ คนอื่นๆ รู้แค่เพียงว่าไท่จื่อมีโรคแปลกประหลาด ส่วนจะเป็โรคแปลกประหลาดอะไรนั้นก็ต่างลือกันไปทั่ว
เมื่อผู้ดูแลสำนักแพทย์จากไป กลับเกิดฉากน่าเศร้ากับหานฉงอัน
ความจริงแล้วผู้ดูแลสำนักแพทย์ต่างวินิจฉัยแล้ว ทว่าก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ไท่เฮาและฮ่องเต้ทราบดีว่าต่อให้เชิญคนอื่นมาก็ไม่มีประโยชน์ เช่นนั้นจึงปล่อยให้หานฉงอันรักษาต่อไปเพื่อไม่ให้เื่รั่วไหล ด้วยเหตุนี้ความโกรธทั้งหมดจึงตกอยู่ที่หานฉงอันเพียงผู้เดียว
เหตุผลที่หานอวิ๋นซีรู้เื่นี้เป็เพราะความทรงจำของเ้าของเดิม โดยที่เ้าของเดิมบังเอิญได้ยินมา
ตอนนี้ คิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้้าให้นางไปตรวจชีพจรของเขา? หรือว่าบุตรสาวต้องสืบทอดอาชีพการงานของพ่อและรับ่ต่อจากหานฉงอันงั้นหรือ?
“เซวียกงกง เข้าใจผิดแล้วล่ะ!”
จู่ๆ หานอวิ๋นซีก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้ากังวล “เซวียกงกง แม้ว่าตระกูลหานจะเป็ตระกูลแพทย์ แต่ทุกคนต่างรู้โดยทั่วกันว่าข้าโง่เขลา ไม่รู้ทักษะทางการแพทย์ ฮ่องเต้คงได้ยินข่าวลือข้างนอกเลยทำให้เข้าใจข้าผิดไป?”
เซวียกงกงยิ้ม “หวังเฟยช่างอ่อนน้อมถ่อมตนเหลือเกิน ไม่มีลมก็ไม่เกิดคลื่น หวังเฟยต้องมีทักษะนี้ ผู้คนภายนอกถึงได้ลือกันเช่นนี้”
“มันคือข้อมูลที่ผิด หมู่เฟยของข้าเพิ่งจะออกไปชี้แจง” หานอวิ๋นซีที่อยากจะร้องไห้ ทว่าก็ไม่มีน้ำตาสักหยด
แต่เซวียกงกงกลับพูดว่า “หวังเฟย แม้ว่าข่าวลือภายนอกจะเป็ข้อมูลที่ผิด แต่เื่จริงเื่นั้นก็น่าเชื่อถือไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? เื่ของแม่ทัพใหญ่และองค์หญิงฉางผิง ฮ่องเต้เองก็ได้ยินมาเช่นกัน อาการป่วยของแม่ทัพใหญ่กับองค์หญิงฉางผิงทั้งหมอหลวงกู้และหมอเทวดาหานต่างมาตรวจดูอาการแล้ว ทว่าก็ไม่เจอสาเหตุของอาการป่วย แต่ท่านกลับรักษาพวกเขาให้หายเป็ปกติได้ภายในครึ่งวัน ฮ่องเต้ที่ได้ยินเกี่ยวกับเื่นี้จึงรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง และยกย่องท่านว่าเป็ศิษย์ที่เก่งกว่าครูเสียอีก ทั้งยังมีท่าทางเหมือนฮูหยินเทียนซินแม่ของท่านในตอนนั้นด้วย”
เซวียกงกงพูดอย่างมีความสุข ทว่าหานอวิ๋นซีกลับใจสลายเมื่อได้ยิน
“หวังเฟย ครั้งนี้เป็ฮองเฮาที่แนะนำท่านด้วยตัวเอง หวังเฟยซ่อนความลับไว้ไม่ได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ! หากท่านยังถ่อมตัวอีก ระวังฮ่องเต้จะโกรธเอานะ” เซวียกงกงพูดกึ่งติดตลก
ฮองเฮา!
นี่มันคำเยินยออะไรกัน นี่มันเหมือนฆ่ากันชัดๆ แล้วข่าวลือข้างนอกเหล่านี้นี่มันอะไรกัน?
หานอวิ๋นซีนั่งลงและเข้าใจในที่สุด
นางมองไปที่ใบหน้าของอี้ไท่เฟยโดยไม่รู้ตัว และเห็นว่าใบหน้าอี้ไท่เฟยเต็มไปด้วยคำเหน็บแนม ราวกับว่ากำลังรอดูเื่สนุกของนาง
และมู่หรงหว่านหรูที่อยู่ข้างๆ ก็มีท่าทางเห็นอกเห็นใจ ทว่าในแววตากลับแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน