หนิงเทียนรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แผนที่จิติญญาในเส้นลมปราณแรกส่องประกายสดใส กระบวนท่าทั้งเก้าของบงกชสีมรกตหมุนวนเร็วขึ้น พร้อมเผยข้อบกพร่องของแผนที่จิติญญามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเดิมทีหนิงเทียนคิดว่ามันสมบูรณ์แบบแล้ว
เขาตกตะลึงอย่างมากเมื่อนึกย้อนไปตอนที่ควบแน่นปลูกแผนที่จิติญญาลงในเส้นลมปราณแรก หลังจากครุ่นคิดอยู่นานและใช้สติปัญญาที่สั่งสมมาทั้งชีวิต เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดยามนี้แผนที่จิติญญาซึ่งประกอบด้วยกระบวนท่าทั้งเก้าของบงกชสีมรกตกลับเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง
ในการปลูกเส้นลมปราณครั้งที่สอง แผนที่จิติญญาของกายาสุวรรณะนิรันดร์ก็วิ่งพล่านไปมา แม้จะมีข้อบกพร่องน้อยกว่าเก้ากระบวนท่าของบงกชสีมรกต ทว่าก็นับว่ายังไม่สมบูรณ์เช่นกัน
อีกทั้งยังมีข้อบกพร่องและความไม่สมบูรณ์มากมายในแผนภาพกระบี่ภายในเส้นลมปราณที่สาม ซึ่งจำเป็ต้องทำให้บริสุทธิ์เพิ่มเติม และแผนที่เถาวัลย์ัในเส้นลมปราณที่สี่ก็ค่อนข้างลึกซึ้ง ทว่าภายใต้อิทธิพลของวิถีแห่งเต๋า ก็ยังคงพบข้อบกพร่องมากมาย
สิ่งที่น่าเป็ห่วงที่สุดคือแผนภาพิญญาธาราในเส้นลมปราณที่ห้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนาในอนาคตของหนิงเทียน การเปลี่ยนแปลงสูงสุดมีทั้งหมดเก้าระดับ แต่ยามนี้หนิงเทียนเข้าใจเพียงห้าระดับเท่านั้น
สุ่ยหลิงกำลังซ่อมแซมเส้นลมปราณให้เขา ทุกครั้งที่เขาพัฒนาขึ้น จำนวนการเปลี่ยนแปลงก็จะเพิ่มขึ้นเก้าเท่า หากปล่อยเอาไว้นานจะยิ่งเป็อันตราย
นี่เป็เพียงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเบื้องต้น จิติญญาทั้งห้าค่อยๆ สมบูรณ์ทีละส่วนภายใต้การชี้นำของสุ่ยหลิง และยุทธศาสตร์ครอง์ของหนิงเทียนก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่
เส้นลมปราณหลักทั้งห้าขยายจนถึงขีดจำกัดเกือบทันที ความเร็วในการดูดซับพลังิญญานั้นมากกว่าปกติหลายหมื่นเท่า และทรงพลังมากจนแม้แต่หนิงเทียนก็ยังรู้สึกหวาดกลัว
เดิมทีหนิงเทียนอยู่ใน่เริ่มต้นหรือ่กลางของขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้า แต่ตอนนี้เขามาถึง่สมบูรณ์ของขอบเขตเพียงชั่วพริบตา และความเร็วที่ร่างกายดูดซับพลังิญญาก็ยังคงเร่งขึ้นอีก
“อ๊าก! หยุดเร็วเข้า ร่างข้าจะแตกเป็เสี่ยงแล้ว!” หนิงเทียนกรีดร้องพร้อมกระอักเืออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ซึ่งบ่งบอกถึงภัยร้ายที่คุกคาม
ดวงตาของสุ่ยหลิงฉายแววซับซ้อน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ในการพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งของรากฐานย่อมมีราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งเ้าอดทนได้นานเท่าใดก็ยิ่งดีสำหรับเ้าเท่านั้น ตอนนี้เ้าควรพยายามให้มากเพื่อให้ทุกสิ่งสมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่จะเป็ไปได้แม้จะอยู่ในขอบเขตเดิม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ความแข็งแกร่งที่ครอบคลุมจะยิ่งเพิ่มขึ้น”
หนิงเทียนได้ยินเช่นนั้นก็หวาดกลัวอย่างมาก เขารู้สึกว่าร่างกายกำลังปูดบวม เืลมลุกไหม้ เส้นลมปราณกำลังจะะเิ กล้ามเนื้อและกระดูกใกล้แตกสลายแล้ว แต่สุ่ยหลิงก็ยังคงชี้นำและซ่อมแซมสภาพนั้น ซึ่งบังคับให้หนิงเทียนต้องอดทนอย่างไร้หนทางให้ไปต่อ
เมื่อไม่มีเวลาให้คิดทบทวน จิตใจของหนิงเทียนก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาเริ่มต้นด้วยยุทธศาสตร์ครอง์และพบว่า ยิ่งยุทธศาสตร์ครอง์เคลื่อนไหวเร็วเท่าใด เขาก็ยิ่งดูดซับพลังิญญาเร็วขึ้นเท่านั้น และยิ่งมีความเร็วมากขึ้นเท่าใด ความเป็ไปได้ที่จะตายย่อมมากขึ้นตามไปด้วย
หนิงเทียนค่อนข้างกังวล แต่เขายังตัดสินใจใช้กายาสุวรรณะนิรันดร์ แสดงวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่น ทะลวงพันชั้น ทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ั รวมถึงทะยานหลงเงาตัดผกา สัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าว และทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อกระตุ้นน้ำเต้าเจ็ดสีและปลดปล่อยพลังอันบ้าคลั่งในร่างกายออกไป
ตา หู จมูก และปากของหนิงเทียนล้วนเต็มไปด้วยเื ทั้งร่างแปดเปื้อนไปด้วยสายโลหิต ทุกรูขุมขนเปล่งแสงแห่งจิติญญาจนสว่างไสว ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะกลายเป็ก้อนกลม ทั้งยังแผดเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาไม่หยุด
“พี่สาวหยุดเถอะ! ข้าทนไม่ไหวแล้ว ขะ...ข้าจะตายแล้ว!”
ดวงตาของสุ่ยหลิงสั่นไหวเล็กน้อยและตอบด้วยเสียงแ่เบา “จงมีจิตใจฮึกเหิมและความตั้งใจแรงกล้า หากเ้าทนไม่ไหวเช่นนั้นก็ต้องตาย”
กระดูกทั่วร่างของหนิงเทียนแตกร้าว ยามนี้ร่างของเขาไม่ต่างจากก้อนกลมที่กลิ้งไปมา ความเ็ปสาหัสทำให้เขาแทบบ้า เขา้าระบายมันออกแต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงร้องลั่น ทะลวงพันชั้นะเิพลังทำลายล้างครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลให้พระราชวังผลึกแก้วสั่นะเือย่างรุนแรง
วิชาและทักษะต่อสู้ต่างๆ ได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทว่ายังคงไม่อาจก้าวทันความตายได้
เมื่อสุ่ยหลิงเห็นว่าร่างของหนิงเทียนกำลังจะฉีกเป็ชิ้นๆ ร่องรอยความผิดหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แต่ยามที่นางกำลังจะยอมแพ้ ในที่สุดกายาสุวรรณะนิรันดร์ของเขาก็ทะลุผ่านระดับห้าไปได้
กายาสุวรรณะนิรันดร์ ร่างกายไม่มีหยุดพัก ขั้นตอนนี้ช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนถึงชีวิตของหนิงเทียนเป็อย่างมาก
จากนั้นวิชากระบี่เลื่อนลอยไร้แก่นและทะลวงพันชั้นต่างก็เข้าสู่ระดับสี่ พร้อมควบแน่นเป็หนึ่งร้อยยี่สิบแปดกระบวนท่า และพลังของพวกมันก็เพิ่มขึ้นแปดเท่า
เนื่องจากมีเวลาฝึกฝนที่สั้น ก่อนหน้านี้ทักษะเก้าร่างเถาวัลย์ัของหนิงเทียนจึงอยู่ที่ระดับสองเท่านั้น ทว่ายามนี้ทักษะของเขามาถึงจุดสูงสุดของระดับสาม และกำลังมุ่งสู่ระดับสี่ในเวลาเพียงไม่นาน
เมื่อทักษะจิตรกรรมิญญาไร้ลักษณ์ได้รับการฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของขั้นตอนการวาดภาพิญญา ทะยานหลงเงาตัดผกาก็สามารถควบแน่นดอกไม้บินนับร้อยได้ทันที ก่อนจะสร้างแสงแห่งปราณกระบี่ขึ้นมามากกว่าหนึ่งพันดวง
หนิงเทียนอยู่ในสภาพคลุ้มคลั่ง เขาเปิดใช้ศักยภาพทั้งหมดภายใต้การคุกคามของความตาย จากภายในสู่ภายนอก จากยุทธศาสตร์ครอง์ไปจนถึงสัตตบุษย์งอกงามทุกย่างก้าว ทุกสิ่งล้วนผ่านการเปลี่ยนแปลง แม้กระทั่งตัวของเขาเองยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยมีเงื่อนไขว่าขอบเขตยังคงดังเดิม แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมได้รับการปรับปรุงหลายครั้ง
ดวงตาของสุ่ยหลิงเปรียบเสมือนคบเพลิง นางจับสังเกตทุกกระบวนการแล้วะโขึ้น “ะเิต่อไป! ใช้ทุกวิถีทางของเ้าให้เกิดประโยชน์ บำรุงร่างกายและจิตใจด้วยแหล่งกำเนิดแห่งชีวิต แล้วเ้าสามารถไปได้ไกลกว่านี้!”
หนิงเทียนกรีดร้องราวิญญาร่ำไห้ หมาป่าโหยหวน[1] หากเขารู้เช่นนี้ เขาคงปฏิเสธที่จะลองใช้วิธีของสุ่ยหลิงไปแล้ว นี่ไม่ต่างจากการคร่าชีวิตเลย
โชคดีที่สุ่ยหลิงยังคงให้การชี้แนะแก่เขา เมื่อความตายใกล้เข้ามา เขาสามารถใช้แหล่งกำเนิดของชีวิตในเส้นลมปราณที่ห้า เพื่อย้อนกลับหยินหยางและฟื้นคืนชีพกลับมาได้
สุ่ยหลิงนำทางอย่างสุดใจ นางเปรียบเสมือนศิลปินที่แสวงหาความสมบูรณ์แบบ ซึ่งพยายามสร้างสรรค์ผลงานที่สวยงามที่สุดขึ้นมา ซึ่งหนิงเทียนก็คือหนูทดลองของนาง และตอนนี้เขากำลังเข้าใกล้ความตายแล้ว กระดูกทั้งร่างล้วนแตกหัก กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นถูกตัดขาด ร่างกายเต็มไปด้วยความเ็ปรวดร้าวจนแทบบ้า
แม้เขาจะหมดสติไปด้วยความเ็ป แต่ในชั่วพริบตาก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยความเ็ปเช่นกัน
ร่างกายของหนิงเทียนปกคลุมด้วยกลิ่นอายที่รุนแรง ซึ่งอุดมสมบูรณ์มากจนไม่อาจจินตนาการได้ นั่นเพราะสุ่ยหลิงใช้หนทางแห่งเต๋าควบคุมกฎแห่งฟ้าดิน และสร้างสภาพแวดล้อมการฝึกที่ดีที่สุดให้เขา
ร่างของหนิงเทียนเต็มไปด้วยเื เขาเข้าใกล้ความตายนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขากลับไม่ตายอย่างแท้จริง และความเร็วในการฟื้นตัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อหนิงเทียนฟื้นจากการหมดสติครั้งที่เก้า เขาก็รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบได้เปลี่ยนไปแล้ว
กระแสน้ำวนกำลังไหลริน อักษรเต๋าที่โปร่งใสซึ่งมีเพียงเขาเท่านั้นที่มองเห็นกำลังล่องลอยอยู่ในกระแสน้ำรูปวงแหวนข้างกาย
ในเส้นลมปราณที่ห้า ผลึกหยดน้ำหลากสีบนแผนที่ิญญาธาราซึ่งประกอบด้วยพลังอันไร้ขอบเขตคือแก่นแท้แห่งบ่อเกิดชีวิต รูปแบบน้ำลึกลับภายในควบแน่นเป็รอยประทับ
เขาลุกขึ้นยืนพร้อมกับความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าในร่าง จึงลองกำหมัดปล่อยพลังออกจากแขน ทันใดนั้นห้วงอากาศก็บิดเบี้ยวจากแรงกระแทกจนเกิดระลอกคลื่นรุนแรง
หนิงเทียนโพล่งออกมาอย่างใ “ข้าทำสำเร็จหรือเปล่า?”
สุ่ยหลิงกล่าวว่า “อย่าพูดถึงมันเลย”
หนิงเทียนไม่ค่อยพอใจนัก คำตอบของนางฟังดูน่าอายเหลือเกิน นางใช้คำพูดดีๆ ไม่เป็หรืออย่างไร?
“ยามนี้เ้าบรรลุแค่ขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นห้าเท่านั้น ในอนาคตหากเ้า้าบรรลุขั้นอื่นๆ เ้าต้องเปิดใช้ยันต์เต๋าอนันต์ซึ่งอยู่ในกระแสสายธาร นั่นคือของขวัญที่ข้าจะมอบให้เนื่องในโอกาสที่เราได้พบกัน มันจะช่วยให้เ้าสร้างรากฐานของขอบเขตจิตหยั่งลึกได้สำเร็จในระดับที่หก เจ็ด และแปด รวมถึงจะช่วยให้เ้าเข้าถึง่สมบูรณ์อันยิ่งใหญ่ตามรากฐานทางจิติญญาอีกด้วย”
หนิงเทียนกำลังประสบกับการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งที่มากกว่าเดิมสิบเท่า “แล้วจะเปิดใช้ยันต์เต๋าอนันต์ได้อย่างไร?”
สุ่ยหลิงบอกวิธีการและเตือนว่า “วิธีที่ดีที่สุดคือการเปิดใช้ทุกครั้งที่เ้าก้าวหน้าในขั้นเล็กๆ หากเ้ารอให้ถึงขอบเขตจิตหยั่งลึกขั้นเก้าแล้วค่อยเปิดใช้ สถานการณ์จะไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้ เ้าจะตายหากไม่ระวัง และหากทนไม่ไหวก็จะตายเช่นกัน”
หนิงเทียนพยักหน้าด้วยความใ “พี่สาวไม่ต้องห่วง ข้าจะจำเื่นี้ไว้”
“เช่นนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วไปกันเถอะ”
หนิงเทียนตอบรับคำหนึ่งก่อนจะถามว่า “เราจะไปที่ใด?”
“ไปพบกับผู้มาจากต่างแดนคนอื่นๆ”
“ท่านจะไปพบเถาวัลย์เขียวที่หลุมั์ หรือจะไปพบหญ้าต้นน้อยที่หลุมลึกเล่า?” หนิงเทียนยังคงตกตะลึงกับคำพูดของสุ่ยหลิง
นางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ผู้มาเยือนจากต่างแดนที่ข้ากล่าวถึงไม่ใช่ทั้งสองสิ่งนั้น เมื่อครั้งที่ข้าร่วงสู่ยอดเขาหมื่นอสูร มันมีทั้งหมดสี่ฝ่าย”
“อะไรนะ? สี่ฝ่ายหรือ?” หนิงเทียนสะดุ้ง หากเป็จริงตามที่สุ่ยหลิงพูด หมายความว่ายังมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอีกอย่างหนึ่งอยู่ในยอดเขานี้ แต่เหตุใดเขาถึงหามันไม่เจอ?
เมื่อไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หนิงเทียนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ “พื้นที่เขตหนึ่ง!”
สุ่ยหลิงนั้นไร้ซึ่งพันธะกับสถานที่แห่งนี้ หลังจากหนิงเทียนเปลี่ยนชุดเปื้อนเืแล้ว จิติญญาที่กระเพื่อมอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางก็ควบแน่นเป็ประตูมิติ แล้วดึงหนิงเทียนเข้าไปในพริบตา
หนิงเทียนร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก กว่าเขาจะรู้ว่าประตูมิตินั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ร่างของเขาก็ปรากฏอยู่ข้างลำธารเสียแล้ว
...
สภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยทำให้หนิงเทียนตระหนักได้ว่า ขณะนี้เขามาถึงพื้นที่เขตหนึ่งแล้ว
ลำธารสายนี้ไม่กว้างนัก บริเวณโดยรอบไร้ผู้คน พืชพรรณกระจายเบาบาง และมีเพียงต้นไม้แห้งครึ่งต้นที่เติบโตตามลำพัง ณ ริมลำธาร
กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่ตายไปมากกว่าครึ่งแล้ว เหลือเพียงกิ่งแก่ๆ สองกิ่ง และใบเพียงไม่กี่ใบที่ค่อยๆ ร่วงหล่น ซึ่งหนิงเทียนสังเกตว่ามีเส้นคล้ายน้ำตาปรากฏขึ้นบนใบไม้เ่าั้ราวกับต้นไม้กำลังร่ำไห้
นี่เป็ครั้งแรกที่หนิงเทียนได้พบกับสิ่งแปลกประหลาดเช่นนี้ ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่าง ลำต้นของต้นไม้ใหญ่ก็หมุนออกและเผยให้เห็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
ลำต้นขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสองจั้งมีรูปปั้นหินฝังอยู่ รูปปั้นนี้สูงประมาณหกจั้ง มีโครงหน้าชัดเจนและถือปืนสั้นอยู่ในมือ
เดิมทีรูปปั้นนั้นแน่นิ่งราววัตถุที่ตายแล้ว ทว่าขณะนี้มันกลับยิ้มและลืมตาขึ้นมา ซึ่งสร้างความใให้กับหนิงเทียนเป็อย่างมาก
หินก้อนนี้กลายเป็ิญญาไปแล้วหรือ?
“สือจงเป่า เหตุใดเ้าถึงพยายามอย่างหนักเพื่อมาที่นี่?” สุ่ยหลิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นราวเม็ดฝนฤดูใบไม้ผลิที่กระจายทั่วนภา
รูปปั้นหินยิ้มกว้างแล้วกล่าวว่า “สุ่ยหลิง ทั้งเ้าและข้าล้วนเป็จิติญญาแห่งธรรมชาติ ในเมื่อเ้ามาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แน่นอนว่าข้าก็ต้องมาทักทาย”
จิติญญาแห่งธรรมชาติ? นี่เป็ครั้งแรกที่หนิงเทียนได้ยินคำนี้ มันแตกต่างจากิญญาอสูรหรือไม่?
“มาเพราะข้า? คิดว่าข้าจะเชื่อหรือ?” สุ่ยหลิงพูดพลางตบไหล่หนิงเทียน เพื่อส่งสัญญาณให้เขายืนเฉยๆ อย่าขัดจังหวะนาง
เมื่อสือจงเป่าเห็นสุ่ยหลิงเข้ามาใกล้ เขาก็บิดร่างสองสามครั้งจนหลุดออกจากลำต้น แขนและขายืดออกมาอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ศีรษะ มือ ท้อง และฝ่าเท้าของเขาล้วนอ้วนกลม ให้ความรู้สึกงุ่มง่ามและน่าขบขัน ทว่าดวงตาของเขากลับทอประกายไฟสีม่วงอย่างน่าเกรงขาม
ต้นไม้เหี่ยวเฉาในชั่วพริบตา ก่อนจะเอนล้มลงและฉีกออกจากกัน รอบร่างของสุ่ยหลิงมีลมหนาวซึ่งพัดพาสายฝนมาด้วย พร้อมปรากฏภาพอาถรรพ์แห่งทะเลสาบและมหาสมุทรที่บิดเบี้ยว ซึ่งบีบอัดอยู่ในมุมหนึ่งของห้วงอากาศ ทั้งยังปลดปล่อยพลังอันน่าสะพรึงกลัวออกมา
หินจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นรอบร่างสือจงเป่า แล้วก่อตัวเป็แดนหินผาซึ่งแข็งแกร่งยิ่งกว่าทองคำ
“เราต่างเป็คนคุ้นเคย เหตุใดต้องทะเลาะกันทันทีที่ได้พบด้วยเล่า? คุยกันดีๆ ไม่ได้หรือ?” สือจงเป่ายิ้มอย่างขี้เล่น แต่สุ่ยหลิงกลับเ็าราวน้ำแข็ง
“เ้าตามข้ามาจากโลกจิติญญา และไม่ลังเลที่จะตกอยู่ในอันตรายเพียงลำพัง เ้ามีเจตนาอะไรกันแน่? จงบอกข้ามา!” สุ่ยหลิงเผยจิตสังหาร ห้วงอากาศทั่วทุกทิศพังทลายลงด้วยพลังอันน่าหวาดกลัว ก่อนจะก่อเกิดเป็วิสัยทัศน์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
สือจงเป่าตอบอย่างไม่กลัวแม้แต่น้อย “ตอนนี้เ้าอยู่ในสภาพที่แย่มาก ความแข็งแกร่งของเ้าน้อยกว่าหนึ่งในสิบจากจุดสูงสุด ทำไมเ้าถึงดื้อรั้นเพียงนี้?”
สุ่ยหลิงตะคอกกลับว่า “สภาพของเ้าก็ไม่ต่างกันหรอก! ข้าสามารถกลืนกินเ้าจนตายในสถานที่แห่งนี้ได้!”
“เพียงเพื่อดินแดนแปลกประหลาดแห่งนี้ มันคุ้มค่าแล้วหรือ?” ในมือของสือจงเป่าถือโลงศพหยกที่ยาวประมาณหกชุ่น ซึ่งบนฝาโลงมีหยกแกะสลักแสนงดงาม
เมื่อสุ่ยหลิงเห็นเช่นนั้น การแสดงออกของนางก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “โลงศพหยกหายนะ ทำลายล้างคนงาม! จริงๆ แล้วเ้า...”
สือจงเป่าหัวเราะเบาๆ “ไม่ใช่ว่าเ้าอยากรู้สาเหตุหรือ? เช่นนี้เป็อย่างไร?”
---------------------------------------
[1] ิญญาร่ำไห้ หมาป่าโหยหวน (鬼哭狼嚎) หมายถึง เสียงร้องไห้ซึ่งแฝงไปด้วยความเศร้าโศกทุกข์ระทม หรือเสียงโหยหวนอย่างน่าเวทนา
