ชวีเสี่ยวปอโยนโทรศัพท์ไปด้านข้าง จากนั้นจึงหลับตาลง
น่าจะผ่านไปประมาณสักห้านาทีได้ เขาก็ได้ยินเสียงเซี่ยเจิงเดินเข้ามา ทั้งยังรู้สึกตัวอีกด้วยว่าเซี่ยเจิงนั่งลงมาบนเตียงแล้ว แต่เขากลับไม่ได้ลืมตาขึ้นมา
“แกล้งหลับเหรอ” เซี่ยเจิงหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ที่คอลงมา แล้วตีไปที่แขนของชวีเสี่ยวปอหนึ่งที “ฉันเห็นคิ้วของนายขยับแล้วเนี่ย”
“ฉันนึกว่าฉันแกล้งหลับได้เนียนแล้วซะอีก” ชวีเสี่ยวปอรีบพลิกตัวลุกขึ้นมาทันที “นายอาบเสร็จแล้วเหรอ”
“อืม” เซี่ยเจิงถอดรองเท้าออก แล้วขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง “เล่ามาเถอะ”
เมื่อครู่นี้ชวีเสี่ยวปอยังรู้สึกกลุ้มใจอยู่นิดหน่อย แต่พอเขาได้ยินเซี่ยเจิงพูดจบก็รู้สึกอยากขำขึ้นมาทันที โดยเฉพาะท่าทางและน้ำเสียงของเซี่ยเจิงในตอนนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเป็ “ลูกพี่ที่รู้ใจ” อย่างไรอย่างนั้นเลย
“ไม่มีอะไรจะพูดหรอก” ชวีเสี่ยวปอเอนตัวและทิ้งร่างลงไปบนเตียงอีกครั้ง “ก็เื่ไม่เป็เื่พวกนั้นนั่นแหละ”
“พ่อนายรู้แล้วว่าฉันต่อยชวีจิ่ง นายกับเขาเลยทะเลาะกันเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม
“มีเพื่อนเป็เด็กเรียนนี่ก็ไม่ค่อยจะดีเหมือนกันนะเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอถอนหายใจ “ปิดบังอะไรนายไม่ได้สักอย่าง”
“ไม่ว่าใคร นายก็ปิดเอาไว้ไม่อยู่ทั้งนั้นแหละ” เซี่ยเจิงหันหลังกลับไปมองชวีเสี่ยวปอ “เพราะมันเขียนอยู่บนหน้าของนายหมดแล้ว”
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่กลับยกแขนขึ้นมาปิดตา เหลือไว้เพียงจมูกเชิดรั้นและปากที่ปิดสนิทเอาไว้ให้เซี่ยเจิง
รูปปากของชวีเสี่ยวปอช่างสวยงามมากจริงๆ เขามีริมฝีปากที่เรียวบาง ทั้งยังมีเส้นขอบปากที่ตื้นเขิน ไม่เหมือนเด็กผู้ชายทั่วไปที่มีเส้นลึกรอบริมฝีปากที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน
น่าจูบจัง
เซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ ใกับความคิดที่จู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
โรคจิต !
ไอ้โรคจิต !
ในขณะที่เขาเตรียมจะลงจากเตียงไปดื่มน้ำสักแก้ว เพื่อข่มความคิดอันไร้สาระและหน้าไม่อายเช่นนี้ให้สงบลง แต่ทว่าในตอนที่กำลังจะใส่รองเท้าแตะ เขาก็ได้ยินชวีเสี่ยวปอพูดออกมาเสียงเบาว่า :
“นายว่าพ่อของฉันจะเสียใจภายหลังไหม? ”
เซี่ยเจิงรีบหันกลับไปมองเขาทันที และเห็นว่าชวีเสี่ยวปอยังคงอยู่ในท่าทางเช่นเดิม แต่ลูกกระเดือกที่คอของเขาขยับกลิ้งไปมา ราวกับว่ากำลังข่มอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้และไม่กล้าที่จะปลดปล่อยมันออกมา
นี่เขา......ร้องไห้งั้นเหรอ?
“ถ้าฉันเป็เขานะ ฉันจะรู้สึกเสียใจมากเลยละ”
สามารถฟังออกได้เลยว่าเสียงของชวีเสี่ยวปอเปลี่ยนไป แต่เขากำลังพยายามทำให้เสียงของตัวเองไม่ได้ฟังดูแย่ขนาดนั้น
เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทั้งยังบีบไปที่นิ้วมือของชวีเสี่ยวปอเบาๆ ส่วนชวีเสี่ยวปอเองก็ไม่ได้หลบเลี่ยงเช่นกัน ในขณะนั้นเขาสูดจมูกเข้าไปอย่างแรง ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามกลั้นเอาไว้อย่างสุดความสามารถแล้วก็ตาม แต่ทุกคำพูดที่เขาพูดออกมาล้วนติดๆ ขัดๆ ไปซะทุกประโยค
“เซี่ยเจิง ฉันรู้สึกว่าฉันเป็ส่วนเกินสุดๆ เลย”
“ทำไมชวีอี้เจี๋ยต้องนอกใจด้วย? ถ้าหากเขาไม่เจอแม่ของฉัน ฉันก็คงจะไม่ต้องเกิดมา และชวีจิ่งก็คงจะไม่ต้องเกลียดฉัน ฉันสมควรถูกเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอ? ”
ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรที่จะร้องไห้ออกมา เพราะนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเื่แบบนี้ขึ้น แต่น้ำตาของเขากลับไหลออกมาอย่างห้ามเอาไว้ไม่อยู่ ทั้งยังไหลจนเปียกไปทั่วทั้งแขนของเขา
ทันใดนั้นภายในห้องจึงเงียบสงบลงทันที นอกจากเสียงหายใจที่ผ่อนลมออกมาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ก็ไม่มีเสียงอย่างอื่นอีกเลย จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอค่อยๆ สงบลง เขาจึงขยับแขนออกมาจากดวงตาของเขา และคงจะเป็เพราะว่าถูกทับเอาไว้นาน ดวงตาของเขาจึงบวมแดงมากกว่าปกติ แม้แต่เซี่ยเจิงที่นั่งอยู่บนเตียงเขายังเห็นเป็ภาพเลือนราง
“โห” เซี่ยเจิงดูเหมือนจะใเป็อย่างมาก “เ้าเด็กขี้แย”
“ให้ตายสิ” ชวีเสี่ยวปอใช้มือปัดน้ำตาออกอย่างลวกๆ “นายปลอบฉันหน่อยไม่ได้หรือไง ฉันปวดตาอยู่นะ”
“ได้” เซี่ยเจิงหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาจากโต๊ะแล้วยื่นให้เขา “นายอยากฟังอะไรล่ะ? ”
“ชมฉันว่าหล่อที่สุดในจักรวาลอะไรทำนองนี้อะ” ชวีเสี่ยวปอหยิบกระดาษทิชชูมาสั่งน้ำมูก “อย่างเช่นอู๋เยี่ยนจู่ยังไม่หล่อเท่าฉันเลย”
“โกหกตัวเองสนุกมากไหม? ” เซี่ยเจิงหัวเราะพร้อมทั้งพูดออกมา
“ตอนนี้ฉัน้าให้โกหก !” ชวีเสี่ยวปอโมโหจนเกือบจะขำออกมา รู้สึกว่าอีกนิดเขาก็จะปากระดาษทิชชูที่เช็ดจมูกไปเมื่อครู่นี้ใส่เซี่ยเจิงแล้ว
“เฮ้ เฮ้ๆ ” เซี่ยเจิงรู้สึกรังเกียจขึ้นมาจึงไปหลบอยู่ที่ข้างๆ โต๊ะ “โตขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักรักษาความสะอาดอีก”
“นายบอกมาแค่จะชมไม่ชม” ชวีเสี่ยวปอถาม
“ชม” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “ชวีเสี่ยวปอพ่อหนุ่มสุดหล่อ”
ชวีเสี่ยวปอยักคิ้วขึ้นมาทันที “ยังไม่พอ พูดมาอีก”
“นายไม่ได้เป็ส่วนเกินเลยสักนิด”
เริ่มเป็แบบนี้ั้แ่เมื่อไหร่กัน
เซี่ยเจิงคิดว่าตัวเขาเองเป็คนที่ใจเย็นและสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เป็อย่างดี
ก่อนที่แม่ของเขาและเซี่ยรุ่ยเซินจะหย่ากัน เขาทั้งสองคนก็ทะเลาะอย่างรุนแรงจนเสียงดังวุ่นวายไปหมด คุณป้าข้างบ้านที่ชอบพูดหาเื่ไปเรื่อย ว่างจนไม่มีอะไรทำจึงต้องมาแกล้งแหย่เด็กๆ เขาได้ถามเซี่ยเจิงไปว่า : “ถ้าพ่อแม่ของเธอหย่ากันแล้ว เธอเสียใจไหม? แล้วเธอจะเลือกไปอยู่กับใครล่ะ? ”
เซี่ยเจิงจึงตอบกลับไปทันทีว่า : “เกี่ยวอะไรกับป้าด้วย”
เมื่อโดนเด็กด่า ทันใดนั้นใบหน้าของป้าคนนั้นก็เปลี่ยนสีไปทันที
จากนั้นเซี่ยเจิงจึงปิดประตูไปอย่างห้าวหาญ
แต่เมื่อเข้าบ้านไปเขากลับร้องไห้ออกมา
บางทีเนื้อแท้ของเขาอาจจะเป็คนเช่นนี้ คนที่สามารถเก็บซ่อนอารมณ์ ความในใจ ความโศกเศร้าและความยินดีเอาไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้เป็อย่างดี ภายใต้สีหน้าที่แสดงออกมาอย่างสบายๆ แต่แฝงไปด้วยรอยยิ้มที่พร้อมจะสู้กับเื่ราวต่างๆ มากมายเหล่านี้
แต่เห็นได้ชัดว่าในสถานการณ์ของชวีเสี่ยวปอกลับเป็สิ่งเดียวที่เขาคาดไม่ถึง
เซี่ยเจิงไม่อาจที่จะรู้สึกเมินเฉยในขณะที่เขาคนนี้ร้องไห้ออกมาได้ ราวกับว่ามีเมล็ดพืชได้หยั่งรากและงอกเป็ต้นขึ้นมาในตัวของเขา ทั้งยังแตกกิ่งสาขาออกมาพันเกี่ยวกันจนยุ่งเหยิง และสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้มันเติบโตขึ้นมาได้ทุกครั้งล้วนมาจากความรู้สึกของชวีเสี่ยวปอ
ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอมีความสุข มันก็จะเติบโตขึ้นมาอย่างงอกงามและเขียวชอุ่ม
ในตอนที่ชวีเสี่ยวปอโศกเศร้าเสียใจ มันก็จะดูเหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวาตามไปด้วย
พืชพันธุ์ต้นนี้คอยกระตุ้นเตือนเซี่ยเจิงอยู่ตลอดทุก่เวลาทุกวินาที
แทนที่จะพูดว่าชวีเสี่ยวปอ้าการปลอบโยน พูดว่าตัวเขาเองต้องพึ่งพาชวีเสี่ยวปอเสียยังจะดีกว่า
“อย่างน้อยฉันก็้านายมากนะ” เซี่ยเจิงพูดต่อออกมา “นายก็รู้ว่าฉันไม่ค่อยมีเพื่อนสักเท่าไหร่”
“เพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่รู้เื่พวกนี้ของครอบครัวฉัน” เซี่ยเจิงใช้นิ้ววาดวงกลมไปมาลงบนโต๊ะโดยไม่รู้ตัว “นายเป็คนแรก”
ชวีเสี่ยวปออ้าปาก แต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา ถึงแม้ว่าดวงตาของจะบวมแดง แต่เขาก็พยายามเบิกดวงตาให้กว้าง เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เขารู้สึกเพียงอยากจะมองเซี่ยเจิงให้ชัดเจนขึ้นกว่านี้อีกหน่อย
“วันนั้นที่นายบอกว่า นายรู้สึกดีที่มีฉันเดินไปด้วยตอนที่ไปเจอกับต้วนเหล่ย” เซี่ยเจิงพูดถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมา “แต่นายรู้ไหมว่า ที่จริงแล้ววันนั้นที่เซี่ยรุ่ยเซินมาก่อความวุ่นวาย นายแบกแม่ฉันกลับเข้าบ้าน จากนั้นก็วิ่งกลับออกมาหาฉันอีกครั้ง ตอนนั้นฉันรู้สึกว่า... เพราะฉันยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวมาตลอด”
เมื่อชวีเสี่ยวปอได้ยิน เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีเข็มทิ่มแทงเข้ามาในใจของเขา จากนั้นจึงพูดแทรกเซี่ยเจิงไปว่า : “ฉันรู้”
“นายไม่รู้หรอก” เซี่ยเจิงส่ายหน้า “เพราะฉันยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียวมาตลอด ดังนั้นในตอนที่นายมายืนอยู่ด้วยกันกับฉัน ฉันเลยรู้สึกว่า... ที่แท้ฉันก็้าใครสักคนมายืนอยู่เคียงข้างฉัน”
“เพราะงั้นนายไม่ได้เป็ส่วนเกินเลยสักนิด” เซี่ยเจิงพูดประโยคนี้ขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงเบา แต่มันกลับหนักแน่นและมีพลังมากเหลือเกิน “นายเข้าใจไหม? ”
ชวีเสี่ยวปอพยักหน้าทันที เขามองเซี่ยเจิงด้วยความเด็ดเดี่ยว ค่อยๆ ทำความเข้าใจคำพูดเ่าั้ทีละน้อยว่าจริงๆ แล้วมันหมายความว่าอะไรกันแน่
แต่สมองของกลับไม่มีแรง อารมณ์ความรู้สึกที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายเหล่านี้เกาะตัวกันอัดแน่นอยู่เต็มหัวของไปหมด แทบจะไม่มีโอกาสให้เขาได้ค่อยๆ คลายมันออกมาได้เลย
แต่เื่เดียวที่ชวีเสี่ยวปอมั่นใจในตอนนี้ก็คือ เซี่ยเจิงเขากำลังยิ้มอยู่
หน้าตาเขาก็ดูดีอยู่นะ
ไม่ใช่สิ ดูดีมากเลยละ
หล่อสุดๆ
แต่ในขณะที่ทั้งตัวของเขาเขยิบเข้าไปใกล้กับเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น
ในตอนนั้นเองเขาก็ใช้ริมฝีปากของเขาประกบเข้ากับริมฝีปากของเซี่ยเจิงทันที