เฉียวเฟยรู้ความคิดของบุตรสาวตนเอง แต่ว่าการแต่งงานนี้จะไม่เป็ไปดังใจหวัง ดังนั้นงานเลี้ยงที่ดำเนินต่อไปเฉียวเฟยก็เหลือเพียงความกังวล
มู่หรงฉือมองไปทางน้องสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ในดวงตาของนางมีแต่บุรุษที่นั่งอยู่ข้างนางเท่านั้น ทั้งยังส่งสายตาหลงใหลคลั่งไคล้มาตลอด จึงอดรู้สึกได้ใจไม่ได้ มุมปากยกยิ้มน้อยๆ จนแทบจะเห็นรอยยิ้มได้แจ่มชัด
“ยิ้มอะไรหรือ?”
เสียงทุ้มต่ำดังอยู่ข้างกายนาง
ไม่จำเป็ต้องหันหน้ากลับไปมองก็รู้ว่ามู่หรงอวี้กำลังถามนาง จึงพูดเสียงเบากลับไป “ช่างเป็่เวลาอันดี ท่านอ๋องมีชื่อเสียงในเมืองหลวง มีทั้งองค์หญิงและสตรีมากมายชื่นชอบ ท่านอ๋องก็ควรจะรับไมตรีมาด้วยความยินดีถึงจะถูก”
มู่หรงอวี้วางจอกทองคำลง หัวเราะเสียงเย็นเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
มู่หรงฉางที่อยู่ตรงข้ามเห็นใบหน้าหล่อเหลาสง่างามเ็าดังหิมะของเขาเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม พลันแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา ยิ่งหลงใหลเขามากขึ้น นางยกจอกสุราสีขาวขึ้นพลางยิ้มอ่อนโยน พูดเสียงออดอ้อน “อวี้หวางดูแลราชสำนักให้เสด็จพ่อ วันทั้งวันมีภารกิจรัดตัวมากมาย ต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างมาก เปิ่นกงรู้สึกนับถือขอคารวะสุรากับท่านอ๋องเพคะ”
รอยยิ้มนี้ราวกับมีสายลมแห่งวสันต์พัดผ่านมา ราวกับมีแสงส่องระยิบระยับ
เขายกจอกทองคำขึ้นพลางกล่าว “ขอบพระทัยองค์หญิง”
ต่างคนต่างดื่มจนหมดโดยไม่มีความลังเล
องค์หญิงจาวฮวามองเขาด้วยความใคร่รู้ คลี่รอยยิ้มงดงามราวบุปผาอย่างไม่กลัวสายตาและคำวิพากษ์วิจารณ์จากผู้ใด
เซียวกุ้ยเฟยโมโหจนเจ็บหน้าอก เล็บทาสีแดงสดทั้งห้ากำเข้าหากันแน่นอีกครั้ง นังเด็กร้ายกาจคนนี้ก็เหมือนกับมารดาของนาง เอาแต่ส่งสายตายั่วยวนบุรุษ
เพียงชั่วพริบตา นางก็ยกจอกสุราสีมรกตขึ้นมา ยิ้มสดใสพูดเสียงหวาน “เปิ่นกงเองก็ขอคารวะสุรากับอวี้หวางที่รับผิดชอบแว่นแคว้น ดูแลความสุขของอาณาประชาราษฏร์ แบ่งเบาภาระฝ่าา เปิ่นกงขอดื่มสุรากับท่านอ๋องแทนฝ่าา”
มู่หรงอวี้ยกจอกทองคำขึ้นแล้วดื่มทีเดียวจนหมดอีกครั้ง
มู่หรงฉือยกยิ้มเยาะเย้ย ความคิดของสตรีพวกนี้น่าสนใจจริงๆ
ลอบโจมตีกันเงียบๆ
ทันใดนั้น ด้านหน้าโต๊ะพลันมีเงามืด นางเห็นคนยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะนาง เป็องค์หญิงตวนโหรวมู่หรงสือนั่นเอง
มู่หรงสือถือจอกหยกขาว ยิ้มน้อยๆ ด้วยหน้าตาสดใส “องค์รัชทายาทเพคะ หม่อมฉันขอคารวะสุรากับท่าน”
มู่หรงฉือมีหรือจะไม่เข้าใจความคิดของนาง แต่จะปฏิเสธก็ยาก จึงดื่มไปด้วยหนึ่งจอก
เพียงแต่ ใบหน้าหล่อเหลาของใครบางคนที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับดำทะมึน
ฮ่องเต้มู่หรงเฉิงดูสติเลื่อนลอย สีหน้าเหน็ดเหนื่อย เซียวกุ้ยเฟยจึงพาเขากลับไปพักผ่อนที่ห้องบรรทม ทุกคนลุกขึ้นทำความเคารพน้อมส่งฮ่องเต้
ก่อนจะจากไป มู่หรงเฉิงพูดกับทุกคน “กินดื่มกันให้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ”
นางรำร่ายรำต่อไปอย่างสนุกสนาน เสียงเคาะไม้ไผ่พลันดังขึ้นเป็จังหวะอีกครั้ง
มู่หรงฉือส่งสายตาให้เสิ่นจือเหยียน ก่อนจะออกจากงานเลี้ยงไป
มู่หรงอวี้เห็นเสิ่นจือเหยียนตามออกไปด้วย ในใจก็เกิดความรู้สึกหงุดหงิด จู่ๆ ก็รู้สึกว่าแสงสะท้อนจากจอกทองคำนั้นแสบตายิ่งนัก สุราเลิศรสก็พลันไร้รสชาติ
ทางเดินตำหนักเหวินฮวา โคมไฟในวังสั่นไหวไปมาท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน แสงไฟเต้นระริกไปตามแรงลม
“หลายวันมานี้ตรวจสอบพบเบาะแสใหม่หรือไม่?”
ร่างของมู่หรงฉือถูกอาบย้อมไปด้วยแสงจากดวงไฟสีแดง ดวงหน้าขาวเปล่งปลั่งกว่าหิมะให้ความรู้สึกนุ่มนวลสะกดใจคน
เสิ่นจือเหยียนถึงกับมองค้างไป เหมือนกับเห็นใบหน้างดงามของสตรี...
นางร้องเรียกอยู่สองครั้ง เขาถึงดึงสติกลับมาได้
“ไม่มีเบาะแสใหม่ ข้ากำลังหงุดหงิดใจอยู่เลย” เขารู้สึกขัดเขินเล็กน้อยรีบเก็บงำความรู้สึก
“โชคดีที่หลายวันนี้ไม่ได้มีเื่อะไรเกิดขึ้น” ขนตาเรียวยาวของนางกระพริบน้อยๆ
“เตี้ยนเซี่ย คดีน่าสงสัย คดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นใน่นี้เป็คดีที่หาจับตัวคนร้ายได้ยากที่สุดั้แ่ข้าผู้ชันสูตรศพเคยเจอมา” สีหน้าของเสิ่นจือเหยียนดำคล้ำลง “ไม่ว่าจะคนที่อยู่เื้ัหรือว่าคนร้ายต่างเฉลียวฉลาดมาก วิธีการหลักแหลม อีกทั้งยังไม่ทิ้งเบาะแสอะไรไว้เลย อยากจะไขคดีนั้นยากมาก”
“อีกอย่าง แรงจูงใจของคนที่อยู่เื้ัพวกเราก็ไม่สามารถตรวจสอบออกมาได้” เสิ่นจือเหยียนกล่าว “แต่ว่าข้าเชื่อ คนที่อยู่เื้ัไม่มีทางรามือ หากพวกเขาก่อคดีอีก ก็จะยิ่งเปิดเผยเบาะแสออกมามากเท่านั้น ยิ่งพวกเราตรวจสอบ การไขคดีก็จะง่ายยิ่งขึ้น”
มู่หรงฉือพยักหน้า หวังเพียงว่าเื่พวกนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อ
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค เสิ่นจือเหยียนก็ขอตัวกลับตำหนักใหญ่
ห่างจากตำหนักใหญ่ประมาณหนึ่งจั้ง[1] นางเห็นคนผู้หนึ่งออกมาจากตำหนักเหวินฮวา แล้วสาวเท้าเดินออกไป
แผ่นหลังนั้น...เหมือนคนผู้หนึ่งมาก
เสิ่นจือเหยียนเห็นนางหยุดเดิน จึงเอ่ยปากถาม “เตี้ยนเซี่ย เป็อะไรไปหรือ?”
“เปิ่นกงจะไปเข้าห้องน้ำ เ้าเข้าไปก่อน”
มู่หรงฉือพูดทิ้งไว้ก่อนจะรีบจากไป
เขาแปลกใจ แต่ว่าก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายแล้วกลับเข้าตำหนักไป
นางสาวเท้าอย่างรวดเร็วราวกับบินได้ ในที่สุดก็ตามคนผู้นั้นทัน ติดตามไปด้านหลังเขาเงียบๆ พร้อมทั้งลดการมีอยู่ของตนให้ต่ำที่สุด
ส่วนคนที่อยู่ด้านหน้าคนนั้น สวมชุดสีดำเดินด้ายสีทอง มุ่งหน้าไปยังตำหนักชิงหยวน
มู่หรงอวี้ไปทำอะไรที่ตำหนักชิงหยวนกัน?
ในหัวสมองพลันมีความสว่างแล่นผ่านทันที ต่อมานางก็มีความคิดน่ากลัวผุดขึ้นมา
ชิงบัลลังก์!
อาศัยจังหวะอันเหมาะสมสังหารเสด็จพ่อ แล้วเอากำลังของทหารคุ้มกันมาควบคุมวังหลวง เอาชีวิตของเหล่าขุนนางมาบีบบังคับ การเปลี่ยนราชสำนัก เปลี่ยนราชวงศ์ก็เป็เื่ง่าย
เซียวกุ้ยเฟยมีความสัมพันธ์กับเขา ถึงว่า...นางจึงแนะนำให้จัดงานเลี้ยงส่วนตัว
นี่นางต้องรับมือทั้งศึกในศึกนอก!
นางจะให้เขาสังหารเสด็จพ่อไม่ได้!
หัวใจของนางเย็นเยียบ ความหวาดกลัวแล่นไปทั่วร่างจนทำให้นางยิ่งเร่งฝีเท้ามากยิ่งขึ้น
โคมไฟของตำหนักชิงหยวนส่องสว่าง แต่ในตำหนักกลับเงียบสงัดราวไม่มีผู้ใด เป็ความสงบก่อนพายุฝนจะเข้า
มู่หรงอวี้ก้าวเข้าไปยังตำหนักชิงหยวน โบกมือให้องค์รักษ์และข้าหลวงในวังออกไปให้หมดก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังตำหนัก
นางรีบตามไป เดินเข้าตำหนักไปอย่างแ่เบา เก็บลมหายใจเอาไว้
เซียวกุ้ยเฟยคงจะกลับไปที่ตำหนักเหวินฮวาแล้ว ภายในห้องบรรทมไม่มีเสียง คิดไปแล้วเสด็จพ่อคงจะถูกควบคุมเอาไว้ หรือชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตราย?
เสด็จพ่อ!
นางรีบพุ่งเข้าไปในห้องบรรทม ภายในห้องบรรทมมีเพียงโคมไฟที่มุมห้องดวงเดียว แสงไฟมืดสลัวมองเห็นไม่ชัดเจน เตียงใหญ่ถูกผ้าม่านปิดเอาไว้ เงาสีดำสายหนึ่งซ้อนทับอยู่ในผ้าม่าน เหมือนก้อนเมฆสีดำทะมึนทาบทับ เหมือนกับูเาหนักตั้งทับไว้
หัวใจของมู่หรงฉือกระดอนออกมา เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด ไอเย็นพุ่งขึ้นมาจากฝ่าเท้า
เสด็จพ่อ
เพราะว่านางไปเห็นเข้าโดยบังเอิญ มู่หรงอวี้จึงดึงมือกลับจากตัวของเสด็จพ่อ
“เ้าจะทำอะไรเสด็จพ่อ?”
นางพยายามเค้นเสียงถามออกมา น้ำเสียงสั่นระริก นางไม่กล้าเดินเข้าไปดู กังวลว่าจะเห็นเสด็จพ่อจะ...
ความหวาดกลัวเกาะกินเต็มหัวใจ ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความหวั่นวิตก
มู่หรงอวี้แหวกผ้าม่านสีเขียวออกมาแต่ยังคงยืนอยู่ข้างเตียง “เตี้ยนเซี่ยมาหาฝ่าาหรือ?”
น้ำเสียงเย็นเยียบราวน้ำใน่ต้นเหมันต์
นางเดินเข้าไปทีละก้าว ขาทั้งสองหนักอึ้ง ความหวาดกลัวที่จะสูญเสียครอบครัวไปเกาะกุมหัวใจนาง ทำให้นางหายใจไม่ออก
ห่างจากเตียงเพียงสี่ก้าว นางจึงหยุดเดิน เห็นเสด็จพ่อนอนอยู่ตรงนั้น ใบหน้านิ่งสงบ ราวกับแค่หลับไป
“เ้าสังหารเสด็จพ่อ?”
เสียงของมู่หรงฉือแหบพร่า แต่ละคำแทบจะพูดลอดไรฟัน แฝงความเย็นเยียบกับความแค้นที่สลักลึกลงในกระดูก
มู่หรงอวี้พูดออกมาอย่างอารมณ์ดี “ใช่แล้วอย่างไร?”
ภายใต้แสงสลัว แววตาของนางแผ่จิตสังหารออกมา
แสงสีเงินแล่นผ่านดวงตาไป ราวกับแสงจันทร์ที่ลอยผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ยังไม่ทันได้กระพริบตา นางก็ยกมือแทงเข้าไปที่หน้าอกเขาตรงๆ การโจมตีเช่นนี้ช่างเป็กระบวนท่าที่โง่เง่าที่สุด ง่ายที่สุด
นี่เป็มีดสั้นเล่มเล็กบางประณีตที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของนาง
เขานิ่งสงบ สีหน้าไม่เปลี่ยน
ตอนที่มีดสั้นแทงเข้าไปที่อกของเขา เขาเพียงยกแขนขึ้นช้าๆ
ภายในชั่วพริบตา ลำคอของนางก็ตกอยู่ในนิ้วมือทั้งห้าของเขา
นางแตกตื่นใ มองการเคลื่อนไหวของเขาไม่ชัดเจน รวดเร็วเหลือเกิน น่ากลัวเกินไปแล้ว แต่ว่า มีดสั้นในมือของนางเองก็ชี้ไปยังหัวใจของเขา
“มีดสั้นของเ้ารวดเร็วเหมือนกันนะ ดีที่มือข้ายังไว”
มู่หรงอวี้พูดอย่างสบายใจ น้ำเสียงทุ้มต่ำท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืน เหมือนกับสุราที่บ่มมาพันปี
มู่หรงฉือรู้ว่าเขาไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่นิด ในยามที่นางจะแทงมีดสั้นเข้าไป คอของนางก็จะหักลงอย่างแน่นอน
พ่ายแพ้าเ็ไปทั้งคู่
ในชั่วนาทีนี้ ระหว่างพวกเขามีระยะห่างเพียงแค่หนึ่ง่แขน ต่างได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
นางมองไปทางเขา คนผู้นี้ใบหน้าราวกับหยกอันเย็นเยียบ รูปหน้าสลักความเ็าเอาไว้ ดวงตาทั้งสองลึกล้ำหนาวเหน็บ ราวกับสามารถกลืนกินจิติญญาของคนเข้าไปได้
เขาจ้องมายังนาง คนตรงหน้าทั้งๆ ที่เป็บุรุษ แต่กลับมีใบหน้าราวบุปผาใน่ฤดูใบไม้ผลิ ผิวที่ลำคอนุ่มลื่นราวกับหยก ดวงตาทั้งสองราวกับน้ำค้างบนกลีบดอกไม้ สุกใสราวกับสามารถสะท้อนิญญาคนได้
องค์รัชทายาทแทงเข้ามาในครั้งนี้ กระบวนท่าดุดันเถรตรง ปราศจากความกลัว ทำให้เขาใจริงๆ
อีกทั้งในตอนนี้ เตี้ยนเซี่ยก็ไม่ได้หวาดกลัวหรือร้องขอชีวิต น่าชื่นชม
“ทางที่ดีเ้าจงฆ่าเปิ่นกงทิ้งเสีย! ไม่เช่นนั้นจะต้องมีสักวันที่เปิ่นกงจะตัดหัวของเ้า!” มู่หรงฉือพูดออกมาทีละคำ
“หากเ้าคุกเข่าขอร้องเปิ่นหวาง ไม่แน่ว่าเปิ่นหวางจะให้โอกาสเ้าได้ร้องขอชีวิตสักครั้ง” มู่หรงอวี้เลิกคิ้ว
“ฝันไปเถอะ!”
“เ้าขอให้ไว้ชีวิต เปิ่นหวางก็จะฝืนใจให้เ้าได้มีชีวิตอยู่”
“คำเตือนของเ้าพิสูจน์แล้วว่าจริงๆ เ้าก็คือหมาป่าที่มีความทะเยอทะยาน สังหารฝ่าาชิงตำแหน่ง คนชิงบัลลังก์จะฉาวโฉ่เป็หมื่นปี” นางแค่เกลียดตัวเองที่ไม่อาจป้องกันได้ทันเวลา ทำให้แผนร้ายของเขาสำเร็จ ต้องพ่ายแพ้ให้เขาอย่างย่อยยับ
“หากเ้ายินดีที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อเปิ่นหวาง ละทิ้งชื่อเสียงทุกอย่างแล้วอยู่ข้างกายเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็จะไว้ชีวิตเ้า” ลึกลงไปในดวงตาของเขาเ็าเล็กน้อย ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความได้ใจของผู้ชนะ
“หรือว่าเ้าเองก็มีความชอบในตัวบุรุษ? เ้าก็ไม่กลัวว่าเปิ่นกงจะลุกมาตัดคอของเ้าตอนนอนหรือ?”
“เปิ่นหวางรอคอย่เวลานั้นมาก แต่เปิ่นหวางเชื่อว่าเ้าจะไม่มีโอกาสนั้น”
ไร้ยางอาย! ไร้ยางอายที่สุด!
ทว่า มู่หรงฉือไม่มีเวลาพอที่จะมาคิดถึงเจตนากับคาดเดาความคิดของเขา ริมฝีปากสวยยกยิ้มขึ้น เป็รอยยิ้มอันทรงเสน่ห์
เหมือนต้นไม้ดอกไม้มากมายแย้มบานในยามค่ำคืน เหมือนหิมะที่สะสมมาหมื่นปีจนเปลี่ยนกลายเป็น้ำแข็งย้อยหยดลงมา
มู่หรงอวี้ไม่เข้าใจรอยยิ้มอันสดใสน่าหลงใหลของนาง แต่ภาพตรงหน้ากลับสลักเข้าไปในดวงจิตจนหัวใจพองโต
ในตอนที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความหลงใหล มือของนางพลันขยับแทงเข้าเนื้อไป
นางรวดเร็ว แต่เขาว่องไวกว่า
สองนิ้วมือซ้ายของเขาหนีบข้อมือ ชั่วแวบหนึ่งนางรู้สึกเจ็บที่ข้อมือ ถือมีดไม่ได้
เสียงเคร้งดังขึ้นพร้อมกับมีดที่พุ่งลงพื้น ประกายสีเงินเย็นเยียบสั่นไหวไปมา
ในขณะเดียวกัน มือขวาที่จับลำคอของนางก็ขยับเลื่อนไปยังหลังคอกดนางเข้ามาในอ้อมกอด ไม่ทันให้นางรู้ตัว
ตอนที่รู้ตัวอีกครั้ง มู่หรงฉือก็ใที่ตัวเองถูกเขาโอบเข้าไปในอ้อมกอด ไฟโทสะที่เดิมทีก็ลุกโชนอยู่แล้วก็ยิ่งพุ่งพล่านไปทั่วทั้งตัว
“ปล่อยมือ!”
แต่ก็มองออก ก่อนหน้านี้ที่เขาจับคอของตน ในสายตาไม่ได้มีจิตสังหารเลยสักนิด
มู่หรงอวี้จับมือทั้งสองข้างของนางไพล่เอาไว้ด้านหลัง มือขวาจับที่หลังศีรษะของนาง กักขังนางเอาไว้ทั้งตัว
เชิงอรรถ
[1] 一丈 หนึ่งจั้ง = 3.33 เมตร
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้