“นึกไม่ถึงเลย เดิมที่ข้าก็นึกว่าตำแหน่งผู้ดูแลหอตำราคงไม่มีใครอื่นนอกจากศิษย์พี่หญิงฉู่ แต่กลับคาดไม่ถึงว่าตอนนี้จะมีจางอี้เหวินโผล่ขึ้นมาอีกคน”
“จางอี้เหวินคนนี้เป็ใครกัน? เหตุใดไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?”
“ได้ยินมาว่าเขาเป็ศิษย์ชั้นนำระดับหัวกะทิคนหนึ่งของสายชีพจรเสวียน ปกติจะชอบทำตัวนิ่งเงียบจนไม่ค่อยเป็ที่สนใจ แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ จะโผล่ขึ้นมาแบบนี้”
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ใช้ความพยายามมามากกว่าจะท่องจำตำรากว่าสามพันบทความได้ในระยะเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ตอนนี้ กลับมีจางอี้เหวินโผล่เข้ามา เขาท่องจำไปได้ไม่มากไม่น้อย เพียงแค่สามพันบทความพอดิบพอดี เพื่อกดดันศิษย์พี่หญิงฉู่”
“ข้าว่าจางอี้เหวินคนนี้ดูจะมีอะไรไม่ดีอยู่ในใจเป็แน่ เขาคงคิดจะอาศัยศิษย์พี่หญิงฉู่สร้างชื่อในสำนักให้กับตนเอง ฮึ”
“แม้จะผ่านขั้นแรกได้แล้วจะทำไม? รอให้จางอี้เหวินผ่านขั้นที่สองไปให้ได้ก่อนแล้วค่อยพูดเถอะ”
เมื่อฉินอวี่มาถึงหอตำรา พื้นที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยคลื่นของผู้คนแล้ว ศิษย์วัยหนุ่มสาวจำนวนมากต่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง หมายจะเรียกร้องความเป็ธรรมให้ฉู่เยว่ฉาน
ฉินอวี่เดินเข้าไปในฝูงชน มองไปบนแผ่นศิลาแผ่นนั้น และพบว่าชื่อของฉู่เยว่ฉานที่อยู่ท้ายแผ่นศิลาไม่ได้ลอยอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่ถูกประทับลงไปบนแผ่นศิลา แม้ว่าจะเป็คนสุดท้าย แต่เหนือนางขึ้นไปยังมีรายชื่อของ ‘จางอี้เหวิน’
ฉินอวี่ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเื่นี้ ไม่แน่ว่ามันอาจเป็เื่บังเอิญ และแน่นอน หากมีเจตนาทำให้เป็เช่นนั้น นั่นก็คงเป็เพราะจางอี้เหวิน้าอาศัยฉู่เยว่ฉานเป็บันไดก้าวขึ้นสู่ความสำเร็จ
ในขณะที่ฉินอวี่กับลังครุ่นคิด
ฉู่เยว่ฉานก็เดินออกมาจากประตูทางนั้นพอดี หากเทียบกับเมื่อเก้าเดือนก่อน ฉู่เยว่ฉานในตอนนี้ดูเหนื่อยล้าลงไปมาก ใบหน้าของนางไม่มีเืฝาดตามปกติที่เคยมี ดูเหมือนว่าการทดสอบขั้นที่สองจะทำให้นางต้องใช้แรงกายแรงใจอย่างหนัก
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ท่านอย่าได้สงสัยในพร์ที่ท่านมีเลย แต่ตำแหน่งผู้ดูแล ข้าจะต้องทำให้ได้” ในตอนนี้ มีชายหนุ่มในชุดดำพูดขึ้นออกมาจากฝูงชนอย่างทันทีทันใด
ผู้คนต่างหันไปมองทางชายหนุ่มคนนั้นด้วยความโกรธเคือง และอดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมาชุดใหญ่ “ตอนนี้ยังมีเวลาหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันคัดเลือกผู้ดูแล ต่อให้เ้าจะผ่านขั้นที่สองไปได้แล้วจะอย่างไร? ไม่แน่ว่า ภายในหนึ่งเดือนนี้อาจจะมีใครขึ้นนำเ้าก็ได้”
“โอหังเสียจริง หาใช่ว่าในสำนักยุทธ์ว่านจ้งจะมีเพียงเ้าจางอี้เหวิน ที่มีคุณสมบัติเป็ผู้ดูแลเสียเมื่อไรกัน? เพียงเพราะคนส่วนมากต่างไม่สนใจการขึ้นเป็ผู้ดูแลจึงไม่มีผู้ใดเข้าร่วมก็เพียงเท่านั้น”
“ข้าบอกแล้วใช่หรือไม่ล่ะ ว่าจางอี้เหวินผู้นี้มีใจคิดไม่ซื่อ!”
เสียงะโที่โกรธเกรี้ยวดังขึ้นมาทันที ฉินอวี่ยืนอยู่ด้านหลังของฝูงชน และมองดูรูปลักษณ์ของชายหนุ่มคนนั้นผ่านช่องว่างได้อย่างเลือนราง
คนผู้นี้เป็ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี มีระดับฝึกฝนอยู่ในขั้นเทียนชุ่ยชั้นที่หนึ่ง หน้าตาหล่อเหลาแต่ดูเ็า ั์ตาดำลึก จ้องมองฉู่เยว่ฉานด้วยสายตาที่ลุกเป็ไฟ และมีพลังความกดดันที่รุนแรง
ดวงตาอันงดงามของฉู่เยว่ฉานมองไปทางชายหนุ่มคนนั้น และลูบผมที่ปิดแก้มของนาง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ “แน่นอนว่าตำแหน่งผู้ดูแลต้องเป็คนเก่งกล้า ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไรยิ่งเป็ประโยชน์ต่อสำนัก แต่ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ข้าจะขอลองดูอีกครั้ง”
ชายหนุ่มที่ชื่อจางอี้เหวินพูดออกไปอย่างเฉยเมย “ศิษย์พี่หญิงฉู่ ในขั้นที่สองเป็การสร้างกลวิชาขึ้นมาโดยอาศัยพื้นฐานจากตำราโบราณฉบับสมบูรณ์ นี่จึงไม่ใช่สิ่งที่จะสำเร็จได้ด้วยการทดลองหลายครั้ง”
ฉู่เยว่ฉานเหลือบมองจางอี้เหวินโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่ก้าวเท้าเดินออกไป ผู้คนต่างหลีกทางให้ฉู่เยว่ฉานในทันที
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ท่านอย่าได้มาเสียเวลาที่นี่เลย วันนี้ ข้าจางอี้เหวินจะต้องผ่านการทดสอบขั้นที่สอง” พูดจบ จางอี้เหวินก็เดินเข้าประตูไป
ฉู่เยว่ฉานลดฝีเท้าลงเล็กน้อย ขมวดคิ้วขึ้นทันที และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้จากไปไหน จากนั้นจึงหันกลับไปมองประตูนั้นอีกครั้ง ดูเหมือนจะอยากรู้ว่าจางอี้เหวินจะสามารถผ่านการทดสอบขั้นที่สองไปได้หรือไม่
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ไม่พบกันนานเลยนะ” ขณะที่ฉู่เยว่ฉานกำลังยืนคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางค่อยๆ หันศีรษะไปด้านข้าง และพบกับฉินอวี่ที่ยืนอยู่ข้างกาย ดวงตาของนางเปล่งประกาย “ศิษย์น้องฉิน เ้าเองหรือ?” คำพูดหยุดไปชั่วขณะ ดวงตาที่เปล่งประกายของนางมืดมนลงทันที น้ำเสียงของนางแฝงไปด้วยความรู้สึกเสียใจ “ศิษย์น้องฉิน ข้าขอโทษ ข้าผิดคำพูดเสียแล้ว”
ในตอนที่ฉินอวี่ถูกเลือกเป็กุมารโอสถ ฉู่เยว่ฉานก็ได้ยินเื่นี้แล้ว นางเองได้ไปขอร้องผู้เป็อาจารย์ของนางให้ช่วยพาฉินอวี่กลับออกมา แต่ด้วยเลี่ยเอ๋าอยู่ในสถานะที่พิเศษมาก นอกจากเ้าสำนักแล้วก็ไม่มีผู้ใดทำอะไรเขาได้
ฉินอวี่ตกตะลึง
“ผู้าุโเลี่ยเป็ผู้าุโของสายชีพจรฟ้า มีอารมณ์และนิสัยที่แปลกประหลาด” ฉู่เยว่ฉานพูดไปอย่างจริงใจ แต่ยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฉินอวี่ขัดจังหวะเอาไว้
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ตาแก่... อ้อ ผู้าุโเลี่ยมีอารมณ์ที่แปลกประหลาดก็จริง แต่ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้เป็อะไรใช่หรือไม่ล่ะ? ศิษย์พี่หญิงมีจิตใจเช่นนี้ ข้าเองก็ประทับใจยิ่งนัก” ฉินอวี่กล่าวอย่างเรียบเฉย ตาเฒ่าคนนั้นสามารถเรียนรู้ข้อบังคับของฟ้าดินได้จนรู้แจ้ง และยังมีสถานะที่สูงมากในสำนักยุทธ์ว่านจ้ง ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ฉู่เยว่ฉานจะไม่สามารถแตะต้องเขาได้
ฉู่เยว่ฉานมองไปทางฉินอวี่ และพยักหน้าเบาๆ
ฉินอวี่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มของเขาบางๆ การสนทนากับฉู่เยว่ฉานเป็ไปอย่างผ่อนคลาย แต่ก็ไม่ต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลาเหมือนตอนสนทนากับจื่อซวินเอ๋อ ที่จะต้องจดจ่ออยู่กับทุกคำพูดของนาง
“นี่ไม่ใช่คนที่กำลังใกล้ตายคนนั้นหรือ? ไม่นึกเลยว่าจะยังไม่ตาย?”
“ข้าได้ยินมาว่าเขาถูกเลือกให้เป็กุมารโอสถของผู้าุโเลี่ยแห่งสายชีพจรฟ้า นึกไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตรอดมาได้?”
“คนผู้นี้เข้าใกล้ชิดศิษย์พี่หญิงฉู่ครั้งแล้วครั้งเล่า จะเป็ไปได้หรือไม่ว่าเขาคิดจะเด็ดดอกฟ้า?”
ศิษย์รอบด้านต่างจ้องมองไปทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันอย่างโจ่งแจ้ง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าจะแยกฉินอวี่ออกมา เป็เพราะฉู่เยว่ฉานได้กล่าวไว้แล้วว่าจะปกป้องเขาตลอดเวลาสามปี ดังนั้น พวกเขาจึงไม่้าเป็เหมือนจ้าวเจิ้นหย่วน เพราะเหตุการณ์วันที่ฉินอวี่รับคำท้าประลองกับจ้าวเจิ้นหย่วน ยังคงอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของทุกคน
ฉินอวี่ทำเป็หูหนวกไม่สนใจต่อเสียงเยาะเย้ยเหล่านี้ เขามองไปทางฉู่เยว่ฉานและพูดว่า “ศิษย์พี่หญิงฉู่ สนใจตำแหน่งผู้ดูแลหรือ?”
ฉู่เยว่ฉานส่ายหน้า “ใจของข้าตั้งมั่นในทางแห่งเต๋า ไม่ได้สนใจต่อการเป็ผู้ดูแลหอตำราเลย การเข้าร่วมการทดสอบตำแหน่งผู้ดูแล ก็เพื่อจะได้อ่านตำราที่อยู่ที่นี่ให้ได้เป็จำนวนมาก และฝึกฝนตนเองอย่างต่อเนื่อง”
ฉินอวี่พยักหน้า และขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง กลับได้ยินฉู่เยว่ฉานพูดขึ้นมา “ศิษย์น้องฉิน หากเ้าไม่รังเกียจจะไปอยู่ที่สายชีพจรฟ้าสักสองปีก็ได้นะ ขอเพียงผ่านสามปีนี้ไป คำสาปนั่นก็จะสลายไปแล้วล่ะ”
ฉินอวี่ยิ้มแหย เป็เพราะคิดว่าเขาจะต้องตายอีกแล้วหรือ? แต่ถึงอย่างไร น้ำใจของนางก็ทำให้ฉินอวี่ประทับใจยิ่งนัก จากนั้น ฉินอวี่ก็พูดขึ้น “ศิษย์พี่หญิงฉู่ ข้าจะต้องมีชีวิตยืนยาวแน่นอน จะว่าไปแล้ว ข้ายัง้าฟังศิษย์พี่หญิงเล่าเื่ภาพวาดนั่นอยู่อีก”
ใบหน้าอันงดงามของฉู่เยว่ฉานแดงก่ำ เม้มริมฝีปากเบาๆ และพยักหน้าอย่างจริงจัง
“จริงสิ ศิษย์พี่หญิงฉู่ ผู้าุโเลี่ยเป็ผู้าุโของสายชีพจรฟ้าหรือ?” ฉินอวี่ถาม
“อืม เป็ผู้าุโของสายชีพจรฟ้า และยังอยู่ในตำแหน่งที่สูงมากด้วย เขาเป็ศิษย์น้องของท่านเ้าสำนัก แต่มีอารมณ์และนิสัยที่พิสดารไปหน่อย ไปไหนมาไหนอย่างอิสระ” ฉู่เยว่ฉานตอบ
“เช่นนั้นศิษย์พี่หญิงเคยได้ยินเื่ของหวงถิงบ้างหรือไม่?” ฉินอวี่ถามอย่างหยั่งเชิง
“หวงถิง? เ้าคงได้ยินชื่อนี้มาจากผู้าุโเลี่ยสินะ? ผู้าุโหวงถิงเป็ผู้าุโของสายชีพจรดิน ได้ยินมาว่าเขาเข้ามาเป็ศิษย์ของสำนักพร้อมกันกับผู้าุโเลี่ย แต่ทั้งสองคนจะมีความขุ่นเคืองกันมาั้แ่เด็ก หลายปีที่ผ่านมา พวกเขาสองคนก็เหมือนน้ำกับไฟ ได้ยินว่า ผู้าุโเลี่ยถึงกับไปหาวิธีปรุงยา เพื่อเอาชนะผู้าุโหวงเลยทีเดียว” ฉู่เยว่ฉานพูดสิ่งที่รู้ทั้งหมดออกมา
“ข้าได้ยินมาว่าผู้าุโหวงถิงยังไม่ก้าวผ่านขั้นทลายวิถีเลย แล้วเขาจะเอาชนะผู้าุโเลี่ยในระดับเขตแดนเต๋าได้อย่างไร?” ฉินอวี่พูดด้วยความประหลาดใจ
“บางทีเ้าอาจจะยังไม่รู้ ผู้าุโหวงถิงแข็งแกร่งมาก หากไม่ใช่เพราะเขาเอาแต่แข่งขันกับผู้าุโเลี่ยตลอดเวลา เขาก็คงได้เป็ผู้าุโของสายชีพจรดินไปแล้วเช่นกัน นอกจากนี้ ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่า ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าทั่วไป ไม่ได้อยู่ในสายตาของผู้าุโหวงเลย” ฉู่เยว่ฉานกล่าวด้วยเสียงจริงจัง
เมื่อฉินอวี่ได้ยินดังนี้ เขาก็ตกตะลึงในทันที ราวกับเกิดพายุขึ้นในใจของเขา
คนขั้นทลายวิถีสามารถเอาชนะผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าได้ สิ่งนี้ก็คงไม่แตกต่างไปจากสยงท่าเทียนในขั้นปราณเสถียรที่สู้กับถงอวิ๋นเฟยเลย สิ่งนี้สามารถบอกได้ด้วยความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งเป็ความแตกต่างที่ห่างกันถึงระดับหนึ่งเขตแดนพลัง!
แม้ว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นทลายวิถี แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังอยู่ในเขตแดนิญญา ยังไม่ก้าวสู่ระดับเขตแดนเต๋า ยังไม่ได้รับความเข้าใจในพลังแห่งเต๋าที่แท้จริง หากเทียบกับระดับเขตแดนเต๋าแล้ว ยังนับว่ามีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย
หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง โดยปกติแล้วผู้ฝึกตนขั้นปราณเสถียรระดับทั่วไปสิบคนสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเทียนชุ่ยได้ แต่คนขั้นทลายวิถีจำนวนร้อยคนกลับยากจะเอาชนะผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าได้ ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่สามารถใช้ผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋าในการวัดความแข็งแกร่งของผู้ทรงพลังได้
อาจารย์ผู้ดูท่าทางไม่น่าเคารพคนนั้นสามารถเอาชนะผู้าุโเลี่ยในระดับเขตแดนเต๋าได้จริงหรือ? นอกจากนี้ ผู้าุโเลี่ยยังมีข้อบังคับของฟ้าดินอยู่ด้วย หรือว่า อาจารย์ก็มีข้อบังคับนี้เช่นกัน? แต่ต่อให้มีเช่นนั้นก็ไม่น่าจะกล้าบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้
นอกเสียแต่ว่า... เขาจะมีอาวุธเทวะระดับสูง หรือบางทีเขาอาจมีความแข็งแกร่งจนถึงสุดขอบเขตแดนิญญาแล้ว ไม่เช่นนั้น คงไม่กล้าตั้งตัวเป็คู่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเขตแดนเต๋า
“แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แต่มารยาทการพบเจอกันยังไม่มี ป้ายคำสั่งที่ให้ไว้ก็ไม่มีแต้มสนับสนุนแม้แต่น้อย?” ในใจของฉินอวี่ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น เขาก็ยังไม่รู้เช่นกันว่าการมอบตัวเป็ศิษย์ของหวงถิงคือโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่
ขณะที่ฉินอวี่กำลังใอยู่นั้น จางอี้เหวินก็เดินออกมาจากประตูด้วยท่าทางที่ดูดีใจ กวาดสายตามองศิษย์จำนวนมากอย่างภาคภูมิใจ ท้ายที่สุดก็มองไปยังฉู่เยว่ฉานด้วยสายตาที่ร้อนผ่าว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็ธรรมชาติ “เป็ไปดั่งความคาดหวังของทุกคน ข้าโชคดีที่ผ่านการทดสอบขั้นที่สอง”
“เป็ไปไม่ได้! เป็ไปไม่ได้! ได้ยินมาว่าในการทดสอบขั้นที่สองจะต้องสร้างกลวิชาขึ้นมา เ้าจะสร้างขึ้นมาได้อย่างไร?”
“นี่คงละเมอฝันไปหรือ? จางอี้เหวินผ่านการทดสอบในขั้นที่สอง?”
ทั่วทั้งหอตำราโกลาหลขึ้นมาทันที
ฉู่เยว่ฉานมองไปและพูดด้วยความสงบ “ยินดีกับศิษย์น้องจางด้วย ที่ได้ตำแหน่งผู้ดูแลหอตำรา”
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ใครจะรับประกันได้ว่าในหนึ่งเดือนนี้จะไม่มีคนที่เหนือกว่าจางอี้เหวิน?” มีศิษย์คนหนึ่งพูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
ฉู่เยว่ฉานยิ้มอย่างเรียบเฉย บางทีอาจมีคนที่มีความทรงจำดีกว่าจางอี้เหวิน มีการเรียนรู้ที่ดีกว่า แต่ทั้งหมดนี้ก็ผ่านมากว่าหนึ่งปีแล้ว หากเขาคนนั้นสนใจการเป็ผู้ดูแลละก็ เขาคงจะเข้าร่วมการคัดเลือกมานานแล้ว คงไม่รอจนกระทั่งถึงตอนนี้
ดังนั้น ก็เกือบจะเป็ที่ชัดเจนแล้วว่าจางอี้เหวินจะต้องเป็ผู้ดูแลคนต่อไปแน่นอน
“ศิษย์พี่หญิงฉู่ อันที่จริงโอกาสก็มารอถึงตรงหน้าแล้ว หากศิษย์พี่หญิงฉู่พอมีเวลา ข้าก็ยินดีจะบอกเคล็ดลับให้ศิษย์พี่หญิงได้ทราบ” จางอี้เหวินค่อยๆ เดินเข้ามา มองฉู่เยว่ฉานด้วยดวงตาที่เร่าร้อน
ฉู่เยว่ฉานส่ายศีรษะ และพูดกลับไป “แต่ละคนย่อมถนัดต่างกันไป บางที นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่ข้าถนัดนัก เพียงแต่ เป็เช่นนี้ก็ดี ข้าจะได้ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกฝน”
จางอี้เหวินมองดูด้วยสายตาที่ผิดหวัง แต่ก็ยังพูดอย่างไม่พอใจ “ตำแหน่งผู้ดูแลนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้สนใจมากนักหรอก หากศิษย์พี่หญิงฉู่มีความสนใจในตำแหน่งนี้ ข้าเองก็ยินดีปล่อยให้กับท่าน”
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ยังไม่ทันถึงเวลานั้น ท่านก็แน่ใจเสียแล้ว ว่าจะต้องได้เป็ผู้ดูแลหอตำราอย่างนั้นหรือ?” ฉินอวี่เริ่มทนดูต่อไปไม่ได้ และพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมย
จางอี้เหวินจ้องมาทางฉินอวี่ด้วยสายตาที่ดูข่มขู่ “เ้าเป็ใคร?”
“เหอๆ ก็แค่คนใกล้ตายคนหนึ่งเท่านั้น”
