“สิ่งที่เ้าต้องทำในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือการฝึกฝนให้แข็งแกร่ง” ไป๋เสียกล่าวอย่างจริงจัง “อย่างน้อยก็ต้องต้านทานหมอกพิษนี้ให้ได้!”
ทั้งสองที่ไม่สามารถหาทางเข้าไปได้จึงต้องกลับออกมาด้วยความผิดหวัง ในขณะที่กำลังเดินทางกลับหมู่บ้านเมฆาขาว ลู่เต้าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “ถ้าเป็ท่าน ท่านก็น่าจะเข้าไปได้ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”
“นั่นก็เป็เื่ที่ข้าเสียดาย” ไป๋เสียกล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อย “เดิมทีข้าใกล้จะไขปริศนาได้แล้ว ใครจะรู้ว่ากลับถูกคนสารเลวนั่นสังหารและผนึกเอาไว้ บัดนี้แม้ข้าจะสิงอยู่ในร่างของเ้า แต่ระดับพลังก็ไม่เหมือนแต่ก่อน ตอนนี้ข้าคงจะมีพลังแค่สองดาราเท่านั้น”
ที่แท้อีกฝ่ายก็ถูกคนดักเข้าก่อนจะไปถึงห้องเก็บตำราลับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงไม่ยอม
เดิมทีลู่เต้ายังอยากจะถามว่าอีกฝ่ายเป็ใคร แต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของไป๋เสียแล้ว ในที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไป
ทั้งสองใช้เวลาเดินทางทั้งคืน จนใกล้ถึงหมู่บ้านเมฆาขาว ท้องฟ้าทางตะวันออกก็เริ่มสว่าง ไก่ในหมู่บ้านขันร้องแล้ว
ชายชรายืนอยู่ตรงทางเข้าหมู่บ้านรอลู่เต้ากลับมาตลอดทั้งคืน ลู่เต้าเห็นร่างผอมบางของชายชราอยู่ไกลๆ ก็จำได้ทันที จึงรีบวิ่งเข้าไปหา
“ท่านปู่!”
ชายชราไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไรมาก เพียงแต่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “หิวหรือไม่”
หลังจากตะลุยมาทั้งคืน ท้องของลู่เต้าไม่มีข้าวตกแม้แต่คำเดียวก็ร้องขึ้นมาทันใด ชายชราพยักหน้าให้ลู่เต้า ก่อนจะเดินนำหน้ากลับบ้านไป
ระหว่างทาง ทั้งสองเดินตามกันไป ลู่เต้าที่เดินตามหลังก็พบว่าเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ปู่ของเขากลับดูแก่ชราลงมาก ผมเผ้าที่เคยเงางามกลับกลายเป็สีดอกเลา บนใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ละก้าวก็ดูโงนเงน
เมื่อลู่เต้าเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกจุกในอก ร่างกายที่เคยดูยิ่งใหญ่ประดุจดังั์ในสายตาเขา ั์ที่ให้เขาขึ้นไปยืนบนบ่ายามที่อยากมองไกลๆ บัดนี้กลับดูอ่อนแอและแก่ชรานัก
ตอนนี้ชายชราไม่ต่างอะไรกับตะเกียงหมดน้ำมัน แสงสว่างแห่งชีวิตริบหรี่ ไม่ว่าลมจะพัดมาเบาเพียงใด แสงก็มอดดับลงได้เสมอ
ลู่คงคงถูกสูบพลังชีวิตไปมากเมื่อคืน
กล่าวอีกแง่หนึ่ง ชีวิตของลู่คงใกล้จะดับสูญแล้ว ซึ่งไป๋เสียเห็นทุกอย่างผ่านทางสายตาของลู่เต้า
แม้ว่าจะอยู่ในโลกปีศาจมานานหลายปี แต่ไป๋เสียก็ไม่เคยพบเห็นมนุษย์ผู้ใดที่มีจิตใจเข้มแข็งได้ถึงเพียงนี้มาก่อน บางทีลู่คงอาจเป็ข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว เพื่อที่จะได้เห็นหลานชายของตัวเองทะลวงจุดชีพจร เขาจึงพยายามอย่างไม่ลดละ
ด้วยความรับผิดชอบของผู้ที่อาศัยร่างอยู่ ไป๋เสียลังเลอยู่นานก่อนตัดสินใจบอกความจริงกับลู่เต้า แต่เขายังพูดไม่จบก็ถูกลู่เต้าขัดจังหวะขึ้นมาก่อน
“เ้าหนู…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” ลู่เต้าตัดบท
“เ้า…!”
เดิมทีไป๋เสียคิดจะตำหนิความไร้มารยาทของลู่เต้า แต่เมื่อเห็นแววตาของอีกฝ่ายก็ได้แต่หยุดลง
“หึ ตามใจเ้าก็แล้วกัน” ไป๋เสียพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ในฐานะนายพรานที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็ความตายเป็ประจำ ลู่เต้ารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ลู่คงที่เดินอยู่บนทางราบเรียบกลับสะดุดล้ม ลู่เต้ารีบเข้าไปประคอง อีกฝ่ายทรงตัวได้แล้ว แต่เมื่อััเนื้อหนังกลับเย็นเฉียบ
ดูเหมือนว่าชายชราจะสติเลอะเลือนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงยืนกรานว่าตัวเองแค่สะดุดก้อนดินบนถนนเท่านั้น
“ท่านปู่” ลู่เต้ามองลู่คงที่ยังคงทำตัวเป็ปกติพลางยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะคว้าแขนของชายชรา “ข้าจะพาท่านกลับบ้านเอง”
ใบหน้าของลู่คงดูประหลาดใจเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อกลับถึงบ้าน ชายชราให้ลู่เต้านั่งรอที่โต๊ะอาหาร จากนั้นก็เดินเข้าไปในครัว ไม่ยอมให้ลู่เต้าช่วยแม้แต่น้อย
สีหน้าลู่คงซีดเซียวลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ร่างกายหมดแรง เขาจะกัดฟันใช้ความมุ่งมั่นประคับประคองเอาไว้
ไม่นาน ลู่คงก็ยกซุปหอมกรุ่นมาวางตรงหน้าลู่เต้า “ดื่มน้ำแกงหน่อยเถิด ในนี้ใส่หญ้าชะตาวสันต์ เหล่าหวังบอกว่าที่บุตรชายของเขาทะลวงจุดชีพจรได้ ก็เพราะทานเ้านี่แหละ”
“หญ้าชะตาวสันต์? ทะลวงจุดชีพจร?” ไป๋เสียมีตำราสมุนไพรมากมายที่ช่วยในการทะลวงจุดชีพจร แต่กลับไม่มีตำราอาหารใดที่ใช้หญ้าชะตาวสันต์เลยแม้แต่เล่มเดียว
พูดง่ายๆ ก็คือ… ลู่คงถูกหลอกแล้ว
สิ่งที่แลกมาด้วยชีวิตกลับเป็เพียงวัชพืชไร้ค่า
ลู่เต้าไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกน้ำแกงขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับเป็อาหารบำรุงร่างกายที่ปู่เตรียมให้เขาในทุกๆ วันโดยไม่ถามเหตุผล ทานมันเข้าไปจนหมดชาม
ในขณะที่ลู่เต้ากำลังเช็ดปาก ความอบอุ่นก็แผ่ซ่านออกมาจากกระเพาะ แม้ลู่คงจะอ่อนแรง แต่ก็ยังถามด้วยความกังวลว่า “เป็อย่างไรบ้าง ได้ผลหรือไม่”
“โอ้โห!” ลู่เต้านึกถึงตอนที่ตัวเองทะลวงจุดชีพจร แล้วพยายามทำท่าทางเหมือนตอนนั้น “ได้ผล! ท่านปู่! หญ้าชะตาวสันต์ได้ผลจริงๆ!”
“จริงหรือ” ลู่คงเบิกตากว้างขึ้นมาทันที อาการซึมเศร้าหายเป็ปลิดทิ้ง เขาถามอย่างตื่นเต้น “อย่ามาหลอกข้านะ!”
ลู่เต้าเดินออกไปข้างนอก หลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมพลังปราณอันเบาบางในอากาศเข้าสู่ร่างกาย เขาตั้งใจอย่างยิ่งยวด ขอแค่รวบรวมพลังปราณเข้าไปในร่างกายได้ ก็จะเป็ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดแล้ว
ทว่าลู่เต้าเพิ่งจะทะลวงจุดชีพจรได้ไม่นาน บนเขายักษาเองก็มีพลังปราณไม่มากนัก เขาจึงยืนนิ่งอยู่นานโดยไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดๆ ลู่คงจึงคิดว่าคงล้มเหลวเหมือนเช่นเคย
เขาผิดหวังอย่างรุนแรงจนทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ดวงตาใสซื่อคู่นั้นค่อยๆ มืดมัวลง
โลกทั้งใบกลายเป็สีเทา
อย่างนั้นหรือ...ถึงเวลาแล้วอย่างนั้นหรือ
ก่อนที่ชายชราจะสิ้นหวัง ร่างกายของลู่เต้าก็ถูกพลังปราณสีเขียวมรกตห่อหุ้มเอาไว้ ความเข้มข้นของพลังปราณนั้น แม้แต่คนธรรมดาอย่างลู่คงก็เห็นได้ด้วยตาเปล่า แสงสว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าสิ่งใด ลู่เต้าสามารถรวบรวมพลังปราณเข้าสู่ร่างกายได้สำเร็จ นั่นพิสูจน์ว่าเขาได้ทะลวงจุดชีพจรแล้ว
สีหน้าเหลือร้ายบนใบหน้าลู่เต้าเลือนหายไปอย่างรวดเร็วโดยที่ชายชราไม่ทันสังเกตเห็น ไป๋เสียที่อยู่ในร่างเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “เ้าหนูนี่ช่างโชคดีนัก”
ด้วยพลังฝึกฝนเพียงน้อยนิดของลู่เต้ามิอาจทำเช่นนี้ได้แน่ ไป๋เสียที่อยู่ในร่างอดรนทนไม่ไหว จึงแอบช่วยเขารวบรวมพลังปราณที่กระจายอยู่เข้าไปในร่าง
ลู่คงมองพลังปราณสีเขียวมรกตที่ค่อยๆ จางหายไป สุดท้ายก็ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของลู่เต้าจนหมด ชายชราคิดว่าครั้งนี้คงแน่นอนแล้ว เขาะโด้วยความตื่นเต้นว่า “ในที่สุด... ในที่สุดหลานชายของข้าก็ทะลวงจุดชีพจรได้แล้ว!”
หลังสิ้นคำ ร่างชายชราก็ร่วงหล่น ลู่เต้าเห็นดังนั้นก็รีบเข้าไปประคองเขาทันที
ลมหายใจของลู่คงไม่สม่ำเสมอ สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แต่กลับหายใจออกน้อยนิด น้ำตาของปู่ไหลพราก เขาเอาแต่พร่ำขอโทษลู่เต้า “เป็ความผิดของปู่เอง… ที่ทำให้เ้าต้องลำบาก… ถ้าทะลวงจุดชีพจรได้เร็วกว่านี้สักสองปี… คนที่ได้รับเงินสนับสนุนจากหมู่บ้านไปเมืองัทมิฬก็คงเป็เ้า…”
ลู่เต้ากลั้นน้ำตาฝืนยิ้มออกมา “ไม่เลย เป็ความผิดของข้าเอง ท่านปู่เก่งกาจยิ่งนัก พยายามยิ่งนัก”
“ในที่สุดตระกูลลู่ของเราก็มีผู้ที่ทะลวงจุดชีพจรได้แล้ว…” ชายชราอ่อนแอชูหัวแม่โป้งให้ลู่เต้าอย่างภาคภูมิใจ “เช่นนี้…”
“ข้าก็…มีหน้าไปพบพ่อแม่ของเ้า… ไปพบ... บรรพบุรุษแล้ว…”
ชายชราในอ้อมแขนค่อยๆ หลับตาลง มุมปากเปื้อนยิ้ม และจากไปอย่างสงบ
ณ วันนั้นลู่เต้าได้สูญเสียครอบครัวเพียงคนเดียวในโลกไปแล้ว เขาจึงนั่งร้องไห้ฟูมฟายราวกับเด็กน้อย
***
หลายวันต่อมา…
ลู่เต้านำร่างท่านปู่ไปฝังไว้ในทุ่งดอกไม้ลับๆ บนเขายักษา ที่แห่งนี้มีดอกไม้นานาพันธุ์ผลิบานตลอดทั้งปี มีสีสันสวยสดงดงาม และกลิ่นหอมอบอวล
ท่ามกลางทุ่งดอกไม้หน้าคิมหันต์สีครามสดใส มีเนินดินเล็กๆ ที่ลู่เต้าสลักบนป้ายหลุมศพว่า ‘ลู่คง นายพรานผู้เป็หนึ่งแห่งเขายักษา หลับใหลอยู่ ณ ที่แห่งนี้’
เขาปาดน้ำตาตรงหางตาก่อนเอ่ยถามว่า “ไป๋เสีย เ้าเชี่ยวชาญเื่ติดต่อกับิญญาไม่ใช่หรือ ทำให้ข้าได้พบกับท่านปู่อีกสักครั้งได้หรือไม่”
ไป๋เสียตอบ “เป็ไปไม่ได้ คนที่ตายไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่บนโลกมนุษย์ได้นั้น ล้วนแต่เป็เพราะยังมีเื่ที่ติดค้างใจ หรือยังอาลัยอาวรณ์ในโลกมนุษย์ ปู่ของเ้าไปยังที่ที่เขาควรไปแล้ว”
“แต่ว่า… ข้าคิดถึงเขามากจริงๆ…”
ไป๋เสียถอดถอนใจ เขาสลับจิตสำนึกกับลู่เต้า เปลี่ยนไม้สะกดมารเป็ขลุ่ยสีมรกตเป่าบรรเลงบทเพลง ‘ลาจาก’ ท่ามกลางทุ่งดอกไม้สีคราม
ทันใดนั้นสายลมพัดกระหน่ำ พัดใบไม้ในป่าส่งเสียงเกรียวกราว พัดพากลีบดอกไม้สีครามนับไม่ถ้วนลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ก่อนร่วงหล่นลงมาประดุจสายพิรุณ
“สิ่งที่เ้าทำได้ก็คือใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี” ไป๋เสียเก็บขลุ่ย พลางกล่าวกับเนินดินเล็กๆ ว่า “เช่นนี้จึงจะไม่ทำให้ความคาดหวังของเขาต้องสูญเปล่า”
“จริงๆ แล้วเ้าก็ไม่ได้เลวร้ายเหมือนที่เล่าลือเลยนะ” ระหว่างทางลงเขา ลู่เต้าเอ่ยอย่างซาบซึ้งจากก้นบึ้งของหัวใจที่ไป๋เสียทำทุกอย่างเพื่อเขา
“หึ ไม่ได้บอกเ้าไปแล้วหรือว่าทั้งหมดเป็การใส่ร้ายป้ายสี!” ไป๋เสียขุ่นเคือง “ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะต้องสืบสาวเื่ราวทั้งหมดให้กระจ่าง พวกที่ทำร้ายข้าจะไม่มีใครรอดไปได้!”
“โดยเฉพาะ…” ไป๋เสียกล่าวอย่างเกลียดชัง “ไอ้คนที่ผนึกข้าไว้ในถ้ำน้ำแข็ง!”
เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จิตสำนึกหลักเป็ของลู่เต้า แต่ฝ่ามือซ้ายของเขากลับกำแน่นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านของไป๋เสีย
