ทันใดนั้นเองราวกับว่ามีลมเย็นๆ พัดโชยเข้ามาที่ด้านหลัง แล้วจู่ๆ ขนก็ลุกขึ้นมาทันที
“ให้ตายเถอะ !” ชวีเสี่ยวปอจับแขนเซี่ยเจิงเอาไว้แน่น ราวกับกำลังจับเชือกช่วยชีวิตเอาไว้อยู่ จนทำให้ทั้งตัวของเซี่ยเจิงถูกดึงให้เข้ามาแนบชิดติดกับตัวเขา “ไม่ใช่เสียงนาย แล้วจะเป็เสียงใคร !”
เซี่ยเจิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พุ่มไม้ที่อยู่ข้างทางตรงนั้นกลับสั่นไหวขึ้นมา จนกระทั่งมีคู่รักหนุ่มสาวที่ใส่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยคู่หนึ่งก้าวออกมาทีละคน
ชวีเสี่ยวปอ : “ ? ”
“เป็บ้าหรือไง! ดึกดื่นไม่ยอมกลับบ้านมาเดินทำบ้าอะไรอยู่ในสวนสาธารณะฮะ! ” ชายคนนั้นทำหน้าบอกบุญไม่รับ อาจจะเป็เพราะถูกคนเข้าไปขัดจังหวะตอนที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกัน จึงทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่พอสมควร
“ฉันต้องถามพวกคุณมากกว่ามั้ง !” ตอนแรกที่ถูกทำให้ใตอนนี้ยังไม่สงบลงเลย สีหน้าของชายคนนี้ราวกับว่ามีคนมาติดหนี้เขาประมาณสิบแปดล้านได้ แต่ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะยอมแพ้เลยสักนิด “ดึกดื่นแบบนี้คุณอยู่ในพุ่มไม้ทำอะไรกันฮะ? เงินเอาไปเปิดห้องก็ไม่มีหรือไง? ”
“บ้าเอ๊ย! นายพูดบ้าอะไรของนายฮะ! ” ชายคนที่ถูกแทงใจดำถกแขนเสื้อขึ้นมา พร้อมทั้งกำลังจะพุ่งเข้ามาหาเขา “ผู้ชายสองคนดึกดื่นมาเดินเล่นในสวนสาธารณะกันสองต่อสอง พวกนายสองคนรักร่วมเพศเหรอ !”
“นายลองพูดอีกรอบดิ !” ชวีเสี่ยวปอะเิออกมาแล้ว
ภาพตรงหน้าที่กำลังจะมีการปะทะกันเกิดขึ้น ผู้หญิงที่เอามือยืนปิดหน้ามาตลอดรีบเข้ามาดึงแฟนของตัวเองเอาไว้ “พอแล้วๆ รีบไปกันเถอะนะ อย่าสร้างปัญหาเลย !”
ผู้หญิงที่เห็นสถานการณ์ในตอนนี้และรู้ว่าอะไรเป็อะไรได้พาผู้ชายอันตรายคนนั้นออกไปแล้ว ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอจึงได้หันไปมองพุ่มไม้ข้างทางที่ทั้งสองคนนั้นมุดตัวออกมาเมื่อครู่นี้ พร้อมทั้งบ่นพึมพำออกมาประโยคหนึ่งว่า “ลมเย็นพัดแรงขนาดนี้ นายว่าพวกเขาไม่กลัวหนาวเลยหรือไง? ”
“จุดที่นายสงสัยช่างไม่เหมือนคนอื่นเขาเลยจริงๆ ” เซี่ยเจิงมองเขาไปครั้งหนึ่ง ชวีเสี่ยวปอน่าจะไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากเขาเกาะแขนของเซี่ยเจิงเอาไว้ตลอดไม่ยอมปล่อย
แต่เซี่ยเจิงกลับรู้สึกไม่ดีเอาซะเลย
เพราะท่าทีตอบกลับของชวีเสี่ยวปอ
ถึงแม้จะไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่
อาจจะมีสักเก้าสิบแปดคนในหนึ่งร้อยคนที่เมื่อได้ยินสามคำนั้นก็จะเป็เหมือนอย่างชวีเสี่ยวปอในตอนนี้ ส่วนสองคนที่เหลือหนึ่งในนั้นอาจจะพูดว่า “ยุ่งอะไรกับฉันด้วย”
ถึงแม้ว่าเซี่ยเจิงจะไม่เคยคาดหวังอะไรั้แ่แรกอยู่แล้ว แต่ทว่าความรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งที่ไม่อาจควบคุมได้นี้ มันทำให้เขาจำเป็ต้องกลับมามองความสัมพันธ์ของเขาและชวีเสี่ยวปออย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง
ตอนนี้คือสภาพความสัมพันธ์ที่ดีที่สุด
แม้ว่าเซี่ยเจิงจะไม่รู้ว่า การที่ชวีเสี่ยวปอไม่รู้เื่อะไรเลยเช่นนี้มันจะยุติธรรมกับเขาหรือเปล่า แต่ความยุติธรรมนี้ล้วนมีราคาที่ต้องเสียไป เพราะฉะนั้นแล้วก็ปล่อยให้ตัวเขาเองเป็คนเห็นแก่ตัวเถอะ เพราะว่าในความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันอย่างในตอนนี้ เพียงแค่นี้เขาก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ
เขายังไม่อยากที่จะสูญเสียมันไป
“ข้อสงสัยฉันมันทำไม? ” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปอย่างไม่ยอม “เห็นชัดๆ เลยว่าสเปิร์มมันขึ้นสมองเขาไปแล้ว คิดเื่อย่างว่าได้ตลอดเวลา”
“แต่ที่จริงแล้ว” เซี่ยเจิงทำเสียงจิ๊ปาก “การรักกันโดยปกติของร่างกายแล้วมันก็เป็การปะทุขึ้นมาของฮอร์โมนไม่ใช่เหรอ”
“นี่” ชวีเสี่ยวปอคิดๆ ดูแล้ว จากนั้นก็ตีไปบนแขนของเซี่ยเจิงสองที “นายก็ปะทุขึ้นมาแล้วเหมือนกันใช่เปล่า”
“ให้ตายเหอะ” เซี่ยเจิงรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “นี่นายรอคำตอบฉันมาตลอดเลยหรือไง? ”
“แค่สงสัยน่ะ” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะฮ่าๆ ออกมาสองครั้ง “ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วนายชอบใครกันแน่”
“นายลองเดาดูสิ” เซี่ยเจิงมองเขา
“ฉันคิดดูก่อนนะ เป็คนในห้องเราหรือเปล่า? ” ชวีเสี่ยวปอเอาจริงขึ้นมาแล้ว
“นายเดาเองสิ ถ้าฉันบอกก็ไม่สนุกแล้วไหม? ”
“ซุนเหมียวเมี่ยว? หน้าตาเธอธรรมดา แต่รูปร่างก็พอใช้ได้อยู่”
“ไม่ใช่”
“จ้าวอวี้? นายชอบคนใส่แว่น? ”
“ไม่ถูก”
“กัวโยว่หลิน? ฉันจำได้ว่าตอนที่เพิ่งจะแบ่งห้องใหม่ๆ เธอชอบมาหาพวกเราอยู่บ่อยๆ ”
“นายใจเย็นก่อนนะ เธอเป็นักเรียนตัวแทนวิชาภาษาอังกฤษ แล้วที่เธอมาหาไม่ได้เป็เพราะว่านายไม่ชอบส่งการบ้านหรอกเหรอ”
“......”
“คือว่า เซี่ยเจิง นายพูดความจริงมา นายคงจะไม่ได้ชอบคุณป้าที่ตักกับข้าวในโรงอาหารหรอกใช่ไหม? ”
“ไสหัวไป !”
ในตอนเช้าตรู่ของวันเสาร์ ชวีอี้เจี๋ยให้คนไปรับรถกลับมา ซึ่งเป็รถคันที่ชวีเสี่ยวปอเลือกเอาไว้ก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว แต่ทว่าเมื่อเทียบกับเื่นี้แล้ว เื่ที่ชวีเสี่ยวปอสนใจยิ่งกว่าคือ ชวีอี้เจี๋ยไม่รู้เื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ระหว่างเขากับต้วนเหล่ยเลยจริงๆ ดูเหมือนว่าพ่อของต้วนเหล่ยคงจะสั่งสอนด้วยตัวเองไปแล้ว จึงไม่คิดที่จะเอามาบอกกับชวีอี้เจี๋ยอีก ในขณะนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาไม่น้อยเลย
บรรยากาศในวันนี้ไม่เลวเลยทีเดียว ตอนที่ทานข้าวกลางวันชวีอี้เจี๋ยยังถามชวีเสี่ยวปอด้วยว่าอยากจะดื่มกับเขาสักแก้วไหม และเวินที่ก็ไม่ได้ห้ามอะไรด้วย แต่ชวีเสี่ยวปอกลับปฏิเสธออกไป
ก่อนที่จะทานข้าวเสร็จเขาได้ส่งข้อความไปหาเซี่ยเจิง บอกว่าอีกสักพักจะไปหาเขา
รถคงจะขับเข้าไปในซอยบ้านของเซี่ยเจิงไม่ได้แน่ๆ ชวีเสี่ยวปอจึงจอดไว้ริมถนน และในขณะที่เตรียมจะลงจากรถเพื่อเข้าไปเรียกเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอก็เห็นเขาวิ่งเหยาะๆ ออกมาจากด้านในก่อนแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงได้บีบแตรออกไปทีหนึ่ง ลดกระจกลงมา ทั้งยังโบกมือให้เขาอย่างสุดกำลัง
“ได้มาขับแล้วเหรอ !” เซี่ยเจิงเปิดประตูตรงที่นั่งข้างคนขับแล้วจึงนั่งลงไป จากนั้นก็โยนกระเป๋าเป้ไปทางด้านหลัง “มีใบขับขี่ไหมเนี่ยนาย? ”
“เดี๋ยวปิดเทอมค่อยไปสอบ” ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองเขาไปทีหนึ่ง “จริงๆ แล้วฉันก็ขับรถได้ไม่แย่นะ”
“ก็ดูออกอยู่” เซี่ยเจิงเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดมาขาดไว้ “ไปกันเถอะ? คุณคนขับ”
“นายไม่ถามฉันหน่อยเหรอว่าจะไปไหน? ” ชวีเสี่ยวปอเหยียบเร่งและค่อยๆ ขับรถออกไป
“ที่ไหนก็ได้หมดเลย” เซี่ยเจิงขยับก้น “ยังไงนายก็ไม่กล้าค้ามนุษย์หรอก”
“นายดูถูกฉันเกินไปแล้ว” ชวีเสี่ยวปอทำเสียงร้ายกาจออกมา “ถึงแม้จะไม่กล้าค้ามนุษย์ แต่ตอนนี้ฉันสามารถเอานายไปขายให้กับพี่สาวขายหมูในตลาดสดข้างหน้านี้ได้นะ”
“ขายเลย” เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาเซี่ยเจิงจึงรู้สึกลืมตาไม่ค่อยขึ้น แต่ทั้งตัวของเขากลับรู้สึกอบอุ่นทั้งยังสบายสุดๆ เขาหลับตาลงพลางพูดขึ้นอย่างี้เีว่า “เงินที่ขายต้องแบ่งกันคนละครึ่งนะ พอขายเสร็จฉันก็จะหนีออกมา ครั้งต่อไปค่อยขายนาย แล้วนายก็หนีออกมาใหม่ ช่างเป็การค้าขายที่ทุนน้อยแต่ได้กำไรบานเสียจริงๆ ”
คำพูดที่จับสาระไม่ได้เช่นนี้ทั้งสองคนคุยกันมาตลอดทาง และในที่สุดรถก็มาจอดอยู่ที่ลานจอดรถด้านนอกของสนามบาสเกตบอลแห่งหนึ่ง
เซี่ยเจิงลงจากรถ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองป้ายที่ติดอยู่ด้านนอก สนามบาสเกตบอล Game on
“ที่นี่แหละ” ชวีเสี่ยวปอล็อกรถ พร้อมทั้งชี้นิ้วออกมา “ครั้งนั้นบอกว่าไม่มีที่เล่นบาสไม่ใช่เหรอ? ”
“ที่นี่คงจะไม่ใช่ถูกๆ เลยสินะ” ในขณะที่ทั้งสองคนเดินเข้าไปในสนาม เซี่ยเจิงก็ถามออกมา สนามบาสเกตบอลที่นี่ยังไม่มีอะไรที่พอดูไปวัดไปวากับเขาได้เลย ทั้งยังเป็สนามที่เพิ่งจะเปิดกิจการได้เพียงประมาณครึ่งปีได้ ที่นี่ยังถือได้ว่าเป็สนามที่ระดับค่อนข้างจะสูงอยู่พอสมควร
“คนอื่นฉันไม่รู้” ชวีเสี่ยวปอพูดออกมาพร้อมทั้งผลักประตูเดินเข้าไป และในขณะนั้นเซี่ยเจิงได้ยินเสียงพนักงานต้อนรับที่อยู่ตรงโถงใหญ่ที่เพิ่งจะพูดขึ้นมาว่า “ยินดี” จากนั้นพวกเขาก็รีบเปลี่ยนเป็คำว่าต้อนรับสองคำนั้นเป็ “เถ้าแก่น้อยมาแล้วเหรอครับ”
อ๋อ ที่แท้ก็เป็เถ้าแก่น้อยนี่เอง
เซี่ยเจิงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ยิ้มออกไปไม่สุดพลางหันไปมองชวีเสี่ยวปอ
“อย่าเรียกผมแบบนั้น !” ชวีเสี่ยวปอเกาศีรษะอย่างหงุดหงิด จากนั้นจึงะโออกไปอย่างเขินๆ
เซี่ยเจิงยักไหล่ขึ้นมาครั้งหนึ่ง
“ได้ครับ ได้ครับ” แม้ว่าพนักงานจะดูเป็ลูกพี่ใหญ่ที่มีรอยสักดอกไม้ที่แขน แต่ใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็วันอะไรครับเนี่ย พี่ชายของคุณก็มาเล่นบาสที่นี่เหมือนกัน”
“ชวีจิ่งก็มาด้วยเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอหมดคำพูดไปชั่วขณะ
“ใช่ครับ พวกคุณนัดกันมาหรือเปล่า? เขาเพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานนี้เองครับ”
ใช่บ้านนายสิ
เขากับชวีจิ่งนัดกันมาเล่นบาสเนี่ยนะ นัดกันต่อยมวยก็ว่าไปอย่าง
ชวีเสี่ยวปอขยับเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยเจิง แล้วจึงถอนหายใจออกมา : “บังเอิญซะเหลือเกิน ชวีจิ่งก็อยู่ด้วย”
“ถ้างั้นยังจะเล่นอยู่อีกไหม? ” เซี่ยเจิงมองเข้าไปในสนามบาสเกตบอลครู่หนึ่ง คนด้านในเยอะมาก และเขาก็ไม่รู้ว่าคนไหนคือชวีจิ่ง
“เล่นสิ มาถึงที่แล้วนี่” ชวีเสี่ยวปอยักคิ้ว “ฉันมาเล่นบาสจะกลัวเขาทำไมกัน ตามฉันมา”