หลิ่วเฟยที่ยืนอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นหลินเฟิงเดินมาจากบานประตูหิน ก็พูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ ด้วยพลังของพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็ทหารชั้นยอดในสนามรบ และมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน”
หลินเฟิงยังคงนิ่งเงียบ สถานการณ์ในสนามรบย่อมเปลี่ยนแปลงไปได้ทุกวินาที ใครจะรับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่เจออันตราย?
แต่สิ่งที่พั่วจวินวิเคราะห์ก็ถูกต้อง บนใบหน้าของพวกเขาถูกประทับตราทาสเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาจำเป็ต้องใส่หน้ากากตลอดเวลา สนามรบจึงเป็ที่ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
แน่นอนว่าหลินเฟิงไม่เคยตระหนักถึงจุดนี้ นอกจากนี้พั่วจวินก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้เืเนื้อของเขาสร้างตำนานบทใหม่ของตัวเองขึ้นมา เพื่อกลบฝังอดีตอันเลวร้าย
“อาการาเ็ของเ้ายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ควรพักผ่อนให้มากๆ” เมื่อหลิ่วเฟยเห็นหลินเฟิงนิ่งเงียบ จึงกล่าวขึ้นมาอีกประโยคหนึ่ง
หลินเฟิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วหันไปยิ้มให้หลิ่วเฟย “นี่เ้าเป็ห่วงข้าด้วยเหรอ?”
สีหน้าของหลิ่วเฟยเปลี่ยนไปฉับพลัน เธอถลึงตาใส่เขาพลางกล่าวว่า “ใครจะเป็ห่วงเ้าล่ะ ไอ้โรคจิต!!!”
หลังจากพูดจบหลิ่วเฟยก็เดินกระแทกเท้าจากไป ทำให้หลินเฟิงหัวเราะออกมาเบาๆ ช่างเป็ผู้หญิงที่ปากกับใจไม่ตรงกันเอาเสียเลย
หลินเฟิงส่ายหัวก่อนจะเดินไปข้างนอก
ขณะที่หลินเฟิงกำลังเดินไปยังลานกว้าง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลัง เมื่อหลินเฟิงหันไปมองก็พบว่าเป็เมิ่งฉิงที่เดินตามหลังเขามา
หลินเฟิงหยุดเดินก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้ “เมิ่งฉิง ครั้งนี้เ้าไม่จำเป็ต้องตามข้าไปก็ได้”
เมิ่งฉิงส่ายหน้า นางไม่ตอบอะไรกลับมา เพียงแต่เดินตามหลังหลินเฟิงต่อไปเงียบๆ ทำให้มุมปากของหลินเฟิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเมิ่งฉิงกลัวว่าอาจมีเื่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเขา
ความจริงแล้วที่เมิ่งฉิงเป็กังวลขนาดนี้ก็ไม่นับว่าแปลกอะไร เนื่องจากหลินเฟิงเองก็สร้างศัตรูเอาไว้มาก
“วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้าจะระวังตัวและไม่ก่อเื่ขึ้นอีกแน่” ถึงหลินเฟิงจะพูดดังนั้น แต่เมิ่งฉิงก็ทำเป็หูทวนลม
“เมิ่งฉิง ครั้งนี้ข้าอยากออกไปเงียบๆ ถ้าเ้าตามข้าไปด้วย อาจทำให้พวกเราตกเป็เป้าสายตาได้นะ” หลินเฟิงกล่าวขณะหยิบหน้ากากสีเงินขึ้นมาใส่
สุดท้ายเมิ่งฉิงก็กล่าวออกมา “ก็ได้ งั้นก็ระวังตัวด้วย”
“อืม” หลินเฟิงยิ้มตอบ ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
หน้าประตูเมืองยังคงเต็มไปด้วยฝูงชนที่กำลังเดินทางเข้าออกอย่างต่อเนื่อง หลินเฟิงเข้าไปปะปนในกลุ่มคนเ่าั้ เขาจ่ายหินหยวนและมุ่งหน้าไปยังลานประลองเชลย
ก็เหมือนเช่นเคย ในลานประลองเชลยก็ยังเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก
หลินเฟิงเดินลงไปตามขั้นบันไดหิน ยิ่งเดินลงไปมากเท่าไร ก็ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมของลานประลองเชลยชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ในลานประลองเชลยยังคงมีทาสและสัตว์อสูรปีศาจจำนวนมาก ทำให้ที่นี่ดูคล้ายฐานทัพที่น่ากลัว เหล่าทาสกับสัตว์อสูรปีศาจก็ยังคงถูกสังหารอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นเองก็มีเงาร่างหนึ่งทะยานเข้ามาขวางทางหลินเฟิงไว้
ดวงตาภายใต้หน้ากากจ้องมองไปที่คนคนนั้น ก่อนจะหยิบหินหยวนระดับกลางออกมาก้อนหนึ่งส่งให้เขา หลังจากเงานั่นได้รับหินหยวนแล้ว เขาก็จากไปแทบจะทันที
หลินเฟิงหาที่นั่งแถวๆ ด้านหน้า ก่อนจะนั่งลงแล้วมองไปยังลานประลองเชลยเงียบๆ
ในลานประลองเชลยตอนนี้มีสัตว์อสูรประเภทงูกำลังต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์อยู่ มันมีหัวที่ลีบแบนและขดร่างอยู่กับที่ ทันใดนั้นมันก็ยืดตัวขึ้นแล้วปล่อยควันสีดำออกจากปาก
สัตว์อสูรปาเสอ เป็สัตว์อสูรระดับจิติญญาขั้นที่ 2 ปาเสอตัวนี้แม้จะโตเต็มวัยแล้ว แต่ก็ยังสามารถเติบโตได้มากกว่านี้
การบ่มเพาะพลังของสัตว์อสูรปีศาจและมนุษย์มีความคล้ายคลึงกัน สัตว์อสูรระดับจิติญญาสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้โดยการบ่มเพาะพลัง และประเภทของสัตว์อสูรปีศาจนั้นก็ไม่เหมือนกัน ซึ่งเหมือนกับมนุษย์ที่มีจิติญญาแห่งนักรบแตกต่างกัน สัตว์อสูรปีศาจบางชนิดนั้นน่ากลัวมากและใช้เวลาในการเจริญเติบโตนาน ในขณะที่บางชนิดมีขีดจำกัดในการเจริญเติบโต
ปาเสอ สัตว์อสูรปีศาจประเภทนี้ ในตอนที่มันเกิดมาก็กลายเป็สัตว์อสูรระดับจิติญญาแล้ว ดังนั้นศักยภาพในการเติบโตของมันจึงดีมาก เคยได้ยินมาว่าถ้ามันบรรลุระดับลี้ลับจะน่ากลัวเป็อย่างมาก ปาเสอตัวนี้เพิ่งบรรลุระดับจิติญญาขั้นที่ 2 เมื่อไม่นานนี้ ทำให้มันยังไม่คุ้นเคยกับพลังของตัวเอง
แต่ที่เหนือความคาดหมายของหลินเฟิงคือ ผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังต่อสู้กับปาเสอตัวนั้น กลับเป็คนที่หลินเฟิงรู้จัก
มันคือหลินหง บุตรชายของหลินป้าต้าวและพี่ชายของหลินเชียน ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็ศิษย์ของหมู่บ้านเสวี่ยอิงซาน
ตอนนี้หลินหงได้ทะลวงสู่ขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 แล้ว ซึ่งหลินเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก เมื่อก่อนที่ตระกูลหลินไม่เห็นหลินเฟิงอยู่ในสายตา นั่นเป็เพราะว่าเขาคือขยะของตระกูล ระดับการบ่มเพาะก็ต่ำเตี้ย แต่ตอนนี้เขาบรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 แล้ว ไม่ต้องพูดถึงลูกหลานตระกูลหลินในรุ่นเดียวกันเลย แม้แต่ผู้าุโของตระกูลหลินก็ไม่คณนามือเขา ดังนั้นหลินหงที่บรรลุขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 2 จึงไม่อยู่ในสายตาของหลินเฟิงแม้แต่น้อย
หลินเฟิงกวาดสายตามองฝูงชนเงียบๆ ก่อนจะไปหยุดที่คนกลุ่มหนึ่ง พวกเขาคอยมองการต่อสู้ของหลินหงและสนทนากัน
“ดูเ้างูนั่นสิ แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งมากแต่หลินหงก็สามารถเอาชนะมันได้อย่างง่ายดาย ด้วยพลังโจมตีจากปราณน้ำแข็งของหลินหง เ้างูนั่นจะถูกแช่แข็งและโดนหลินหงฆ่าตายในที่สุด”
“ฮ่าๆ นับเป็เื่ดีที่พี่ชายของคุณหนูเชียนเชียนได้ฝึกฝนกับปาเสอตัวนั้น”
หลินเฟิงได้ยินทุกสิ่งที่พวกเขาคุยกันแล้วคลี่ยิ้มอย่างเ็า ดูเหมือนหลังจากที่พวกเขาพบกันล่าสุดหลินเชียนจะแข็งแกร่งขึ้นมาก นางนั่งอยู่กับฉู่จ่านเผิง ศิษย์ของลานศักดิ์สิทธิ์แห่งเสวี่ยเยว่ ด้วยความแข็งแกร่งและสถานะของเขา ย่อมเป็เื่ง่ายดายที่หลินเชียนจะได้รับการดูแลเป็อย่างดี ยิ่งหลินเชียนใกล้ชิดกับฉู่จ่านเผิงมากเท่าไร สถานะของหลินเชียนก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“จิติญญาเพลิงน้ำแข็ง ไม่รู้ว่าตอนนี้ระดับการบ่มเพาะของนางจะแข็งแกร่งเพียงใด”
จากนั้นหลินเฟิงก็ไม่ได้สนใจนางอีก เพราะหลินเชียนไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขา
หลินเฟิงหันกลับไปดูการต่อสู้ต่อ ในตอนนี้ลมปราณของหลินหงกำลังบดขยี้ร่างกายของสัตว์อสูรปีศาจ เขากำลังจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้
ในขณะเดียวกันหลินเชียนที่นั่งอยู่ไม่ไกลเหมือนรู้สึกได้ว่ามีใครกำลังจ้องมองนาง นางย่นคิ้วเล็กน้อยแล้วหันกลับไปมอง จึงพบชายผู้หนึ่งที่สวมหน้ากากสีเงิน เขานั่งเงียบๆ อยู่ไม่ไกลจากนางเท่าไร
“หืม?”
หลินเชียนครุ่นคิดเมื่อจ้องไปที่หน้ากากสีเงินอันนั้น
ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในเมืองหยางโจว นางก็เคยเห็นหน้ากากแบบนั้นซึ่งคล้ายกับหน้ากากของชายตรงหน้านี้มาก
“หรือจะเป็เื่บังเอิญ?”
ทันใดนั้นใจของนางก็กระตุกขึ้นมา เนื่องจากนางไม่เคยลืมเ้าขยะที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลหลิน ซึ่งเขาก็สวมหน้ากากแบบนี้เช่นกัน
หลังจากที่นิกายหยุนไห่ถูกทำลาย ผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก็กลายเป็ทาส เป็ไปไม่ได้ที่หลินเฟิงจะมานั่งอยู่ที่ลานประลองเชลยและเฝ้าดูการต่อสู้อย่างสบายใจเช่นนี้ นอกจากนี้เขายังอยู่แถวหน้าสุดอีกต่างหาก…
หลินเชียนยังไม่ทราบว่าหลินเฟิงยังไม่ตาย นางรู้แค่ว่ากองทหารม้าโลหิตได้บุกไปยังนิกายหยุนไห่และทำลายทุกอย่าง มันคงไร้สาระมากหากได้ยินว่ามีคนหนีรอดไปได้
ตอนนั้นเองหลินหงก็สามารถเอาชนะปาเสอได้ และได้รับหินหยวนระดับกลาง 8 ก้อน แล้วเดินออกจากลานประลองเชลย
หนึ่งในผู้ดูแลเอาศพงูออกไป และแทนที่ด้วยสัตว์อสูรปีศาจตัวใหม่
เมื่อฝูงชนเห็นสัตว์อสูรปีศาจที่เข้ามาใหม่ พวกเขาทั้งหมดต่างประหลาดใจ
สัตว์อสูรปีศาจตัวนั้นมีลำตัวสีแดงเพลิง อีกทั้งร่างของมันยังปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง
กลิ่นอายอันแหลมคมถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างของมัน
มันเป็สัตว์อสูรปีศาจที่น่ากลัวมาก เมื่อมันอ้าปากกว้างก็สามารถเห็นเขี้ยวที่แหลมคมเรียงตัวกันหนาแน่น ท่าทางของมันดูน่าเกรงขามราวกับเป็ราชันของเหล่าสัตว์อสูร
สิ่งที่ฝูงชนประหลาดใจก็คือ ด้านหลังของมันมีปีกสีแดงฉาน
“ช่างเป็สัตว์อสูรที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้” หลินเฟิงคิดเมื่อเขาเห็นมัน มันดูยิ่งใหญ่และทรงอำนาจ จนทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดหวั่น แม้แต่ผู้ดูแลก็ต้องระมัดระวังเป็อย่างมากในขณะที่จูงออกมา
“มันคือปีศาจสิงโตเพลิง...” มีหลายคนที่รู้จักมัน มันคือสัตว์อสูรปีศาจที่น่ากลัวมาก สิงโตเพลิงตัวนี้อยู่ในระดับจิติญญาขั้นสูงสุด หากมันไม่ถูกมนุษย์จับมาเป็ทาสแล้วปล่อยให้เติบโตตามธรรมชาติ เกรงว่าคงได้ทะลวงสู่ขอบเขตลี้ลับไปแล้ว มีข่าวลือว่าถ้ามันสามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตลี้ลับได้ มันจะได้รับพลังพิเศษและกลายเป็สัตว์อสูรปีศาจที่แข็งแกร่ง
“ท่านได้จะได้รับหินหยวนระดับกลางจำนวน 20 ก้อน ถ้าทำให้มันเชื่องได้โดยไม่สังหารมัน ท่านสามารถนำมันกลับไปพร้อมท่านได้”