แผลของอันเจิงไม่ได้น่าเป็ห่วงแล้วเป็เพียงแผลภายนอกเท่านั้น แผลแบบนี้ อาศัยแค่ฝีมือการแพทย์ของชวีเฟิงจื่อยังหายได้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ชำนาญการใช้สมุนไพรอย่างชวีหลิวซีเลยด้วยซ้ำ ‘าแที่ท้องของอันเจิงน่ากลัวมากแต่หลังจากเย็บแผลแล้วก็ดูน่ารักขึ้นเยอะ’ นี่คือคำพูดของตู้โซ่วโซ่ว ก็คงมีแค่เขาเท่านั้นที่สามารถเปรียบเทียบรอยแผลว่าน่ารักได้
มีผู้คนมากมายที่โลภมากอยากได้กระดิ่งแก้วไปแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครกล้าลงมือแย่งชิง เพราะขนาดหัตถ์ิญญาอย่างท่านจิ่วที่มีพลังวัตรอยู่ในขอบเขตกิเลสมารยังถูกกระดิ่งวิเศษฆ่าได้อย่างง่ายดายพวกเขายังจะมีใครกล้าทำเื่เช่นนี้ขึ้นอีก? แม้พวกเขาจะโลภแต่ก็คงไม่บ้าพอที่จะพุ่งเข้าไปแย่งชิงทุกคนต่างรู้ดี หากวันนั้นมีใครกล้าออกตัวไปแย่งกระดิ่งแก้วมาละก็คงต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน
ชวีหลิวซีเปลี่ยนผ้าพันแผลใหม่ให้อันเจิงแต่ปรากฏว่าแผลนั้นหายจนเกือบหมดแล้ว
“ดูเหมือนสภาพร่างกายของเ้าจะมีบางอย่างที่เปลี่ยนไป”
ชวีหลิวซีพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย “แผลนี้หายเร็วเกินไปเร็วเกินความคาดหมายไปมาก”
อันเจิงแสร้งทำเป็ร้อนรนถามกลับไป “นี่เป็เื่ดีหรือเื่ร้าย?”
ชวีหลิวซียิ้มให้ “จากที่เห็นในตอนนี้ก็คงถือว่าเป็เื่ดี”
อันเจิงยกมือขึ้นแล้วลูบหน้าม้าของชวีหลิวซี “เช่นนั้นก็ดีแล้ว เ้าอย่าห่วงไปเลย”
ตู้โซ่วโซ่วที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจ“ทำไมเ้าถึงลูบหน้าม้านางได้ แล้วนางยังทำท่าทางเชื่อฟังเหมือนแมวอย่างนี้ทีกับข้านะ แค่จับผมเปียนางเล่นกลับถูกเล่นงานซะน่วม ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน?”
ชวีหลิวซีหน้าแดงขึ้นทันที จากนั้นนางก็หันหลังวิ่งหนีไป
อันเจิงตระหนักขึ้นมาได้แล้วรู้สึกผิดไปชั่วขณะนี่เขาลืมไปได้อย่างไรกัน ผู้หญิงจะอ่อนโยนดั่งสายน้ำเมื่ออยู่กับคนที่ตัวเองชอบพอแต่ถ้านางไม่ได้ชอบแล้วดันไปจับผมนางเข้าละก็ คงต้องถูกอัดจนลืมบ้านเกิดไปเลยทีเดียว
ตู้โซ่วโซ่วนั่งลงข้างอันเจิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม“อันเจิง มีบางเื่ที่ข้าจำเป็ต้องคุยกับเ้า ข้ารู้ว่าที่เ้าทำก็เพื่อ้าปกป้องข้าแต่ต่อจากนี้ไป โปรดอย่าแย่งทำในสิ่งที่ข้าสมควรทำเลย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คือคนที่ฝึกฝนพลังวัตรหากเื่ชกต่อยแบบนี้เ้ายังออกตัวแทน เช่นนั้นที่ข้าฝึกฝนบ่มเพาะไปจะมีประโยชน์อะไรเล่าหากสะสมพลังวัตรแล้วไม่ใช้มัน สู้กลับบ้านไปขายมันเผาไม่ดีกว่าหรือ”
อันเจิงเห็นตู้โซ่วโซ่วกล่าวจริงจังเช่นนั้นจึงรับคำ“ได้ อีกหน่อยถ้าถึงคราวเ้าสู้ ข้าจะไม่ยุ่งแล้ว”
ตู้โซ่วโซ่วพยักหน้า “ต้องอย่างนี้สิจริงอยู่ที่เ้าเป็ผู้นำและข้าต้องฟังคำสั่งจากเ้า แต่เ้าก็ต้องใช้เหตุผลด้วยรู้หรือไม่สุภาษิตว่าไว้ ใช้เหตุผลอยู่กันนาน หากไม่มีเหตุผลกลับบ้านนอนตีพุงยังจะดีกว่า...”
อันเจิงกลั้นหัวเราะไม่อยู่แม้แต่ลูกแมวน้อยที่นอนซบอกของเขาก็ยังลืมตาขึ้นมาดู
“เดี๋ยวนี้เสี่ยวช่านยิ่งอยู่ยิ่งนอนเก่งแล้วนะ”
ตู้โซ่วโซ่วยื่นมือออกไปอุ้มแมวน้อยขึ้นมาเสี่ยวช่านบิดี้เีสองสามรอบแล้วเดินไปบนหน้าท้องที่อ่อนนุ่มของตู้โซ่วโซ่ว
“์ นี่เ้านำกระดิ่งไปแขวนไว้ที่คอเสี่ยวช่านจริงๆ หรือนี่”
ตู้โซ่วโซ่วมองไปบนคอของเ้าแมวน้อยที่ห้อยกระดิ่งแก้วอยู่“นี่เป็ถึงสมบัติล้ำค่าเชียวนะ เ้ายังกล้าเอาไปแขวนไว้ที่คอของเสี่ยวช่านอีกหรือหากมันออกไปเดินเล่นแล้วโดนคนอื่นจับไปจะทำอย่างไร?”
อันเจิงหัวเราะขึ้น “เ้าเคยเห็นเสี่ยวช่านออกไปเดินเล่นหรือ?วัน ๆ ก็มีแต่กินแล้วก็นอนเท่านั้นละ ที่ข้าแขวนกระดิ่งเอาไว้ที่คอของมันก็เพราะว่าหากใครเห็นดวงตาของเสี่ยวช่านขึ้นมาละก็ความโลภในตัวของพวกเขาก็จะเพิ่มทวี กระดิ่งแก้วเป็เพียงสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่เสี่ยวช่านเป็แมวที่สามารถหาสมบัติวิเศษเหล่านี้ได้”
ตู้โซ่วโซ่วเห็นด้วย “จริงของเ้า เสี่ยวช่านคือแมวหนึ่งเดียวในโลก”
แมวน้อยเหล่ตามองแล้วส่งเสียงร้อง “เหมียว”
ดูเหมือนว่าเ้าแมวกำลังตอบรับคำชมอยู่
ตู้โซ่วโซ่วหัวเราะเสียงดัง “ฉลาดจริง ๆ”
เขาก้มหัวลงมองไปยังกระดิ่งแก้ว “สมบัติวิเศษชิ้นนี้ช่างน่าแปลกยิ่งนักเป็ของที่ดูไม่มีความพิเศษใด ๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะมีฤทธิ์เดชมากถึงเพียงนี้ว่ากันว่าท่านจิ่วหัตถ์ิญญาผู้นั้น มีชื่อเสียงเื่ความโเี้อยู่ในแถบเจียงหูเขาทำทุกสิ่งเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหน ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็ฝ่ายผดุงความยุติธรรมหรือฝ่ายคนชั่วต่างก็หัวเสียเพราะเขาทุกคนตามล่าเขามาโดยตลอด เพียงแต่ท่านจิ่วมีมือที่เป็เลิศสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเองได้ จึงหลบซ่อนตัวได้อย่างแเี นึกไม่ถึงว่าการประลองกับหอสมุดมายาครั้งนี้จะดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
อันเจิงพยักหน้า เมื่อเทียบกับคดีที่เขาดูแลอยู่ที่กรมตุลาการก่อนหน้านี้ท่านจิ่วหัตถ์ิญญาเป็เพียงแค่คนปลายแถวในสายตาเขา แต่สำหรับเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นท่านจิ่วถือเป็คนชั่วรายใหญ่เลยก็ว่าได้ เมื่อเทียบกันระหว่างเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นกับจักรวรรดิต้าซีแล้วช่างแตกต่างจนไม่อาจเทียบกันได้เลยทีเดียว จักรวรรดิต้าซีเป็เหมือนอสุรกายตัวใหญ่ั์ที่ต่อให้เยี่ยนโยวสิบหกแคว้นมารวมกันทั้งหมด ก็ยังเทียบไม่ได้กับปลายขนของมัน
หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนโยวสิบหกแคว้นตั้งอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ที่เดินทางลำบากยากจะเข้าถึงละก็ทหารของจักรวรรดิต้าซีคงมายึดครองทั้งสิบหกแคว้นเล็ก ๆ นี้ไปแล้ว
ผู้เฒ่าฮั่วเดินเข้ามาในห้องด้วยร่างสั่นเทาอันเนื่องมาจากความชราเขาเดินพลางไอออกมาเป็ระยะ อาการเหมือนเป็ไข้เล็กน้อย ตู้โซ่วโซ่วรีบลุกขึ้นไปพยุงตัวผู้เฒ่าฮั่วให้นั่งลง“ผู้เฒ่าฮั่ว ข้าเห็นท่านไอขนาดนี้ก็อดเป็ห่วงไม่ได้”
ผู้เฒ่าฮั่วหัวเราะ “วางใจเถอะ ข้าไอแบบนี้มานานหลายปีแล้วข้าไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
ตู้โซ่วโซ่วพูดขึ้น “ไม่ใช่ข้ากลัวว่าท่านจะไอจนคอเคล็ดต่างหาก”
“ไสหัวไป” ผู้เฒ่าฮั่วไล่ส่ง
“ได้ จะไสหัวไปเดี๋ยวนี้ละ ข้ารู้ว่าท่านมีเื่อยากคุยกับอันเจิงข้าจะไปฝึกพลังวัตรก่อน”
เขาอุ้มเสี่ยวช่านแล้วเดินออกประตูไปหลังจากนั้นก็ปิดประตูอย่างมิดชิด
อันเจิงนั่งตัวตรงแล้วยกมือขึ้นคารวะ “ต้องขอบคุณท่านหากไม่ใช่ท่านที่คอยช่วยเหลือ วันนั้นข้าคงไม่รอด”
ผู้เฒ่าฮั่วส่ายหัว “เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับข้าเลยกระดิ่งนั่นต่างหากที่ช่วยเ้าไว้”
“หากท่านไม่ได้ไปหาเกาซานตัวการประลองในครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะวุ่นวายขนาดไหน จริงสิ ท่านกับเกาซานตัวรู้จักกันมาก่อนหรือ?”
“ไม่ได้รู้จักอะไรกันทั้งนั้น เพียงแต่หอสถิตดาราของข้าเป็ผู้สร้างพัดนั่นพัดของเกาซานตัวมีชื่อว่าพัดทิวเขา ของชิ้นนี้มีโครงสร้างไม่เลว หากผู้ที่มีวาสนาต่อกันสมบัติวิเศษชิ้นนี้จะทรงอิทธิฤทธิ์มากแต่เกาซานตัวเป็คนที่ไม่มีพร์ แค่สามารถฝึกพลังวัตรถึงขอบเขตสุมารุได้ก็ถือว่าเกินคาดแล้วดังนั้นเมื่อพัดนี้อยู่กับเขา จึงเหมือนเป็สมบัติวิเศษระดับสีขาวเท่านั้นเ้าก็น่าจะรู้ดี ผู้ที่สร้างสมบัติวิเศษนี้ขึ้นมา จะทนไม่ได้หากเห็นผู้ใช้มันอย่างไม่คุ้มค่าและการใช้สมบัติวิเศษอย่างไม่คุ้มค่าก็เหมือนเป็การหยามศักดิ์ศรีของสมบัติวิเศษชิ้นนั้นดังนั้นเมื่อตอนที่ข้าพบกับเกาซานตัวเป็ครั้งแรก จึงต่อว่าเขาไปเล็กน้อย”
“ข้าช่วยเขาดัดแปลงพัดทิวเขานิดหน่อยเดิมทีพัดทิวเขาสามารถปล่อยกระดูกพัดได้เพียงสามชิ้น แต่หลังจากข้าได้ปรับเปลี่ยนมันแล้วก็สามารถปล่อยได้ถึงสิบสามชิ้น ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณข้า”
อันเจิงพยักหน้า “ก็ถือได้ว่าเป็ผู้ที่รู้จักแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน”
“ในโลกมายาเต็มไปด้วยผู้คนที่หลากหลายไม่ว่าคนแบบไหนก็มีทั้งนั้น แม้เกาซานตัวจะมีชื่อเสียงที่ไม่ดี แต่แท้จริงแล้วในใจกลับแฝงคุณธรรมและความกล้าหาญส่วนเจินจวงปี้ที่มีชื่อเสียงในด้านดีกลับมีจิตใจต่ำช้า ฉะนั้นเ้าอย่าได้ประเมินโลกมายาที่เป็เมืองเล็กๆ นี้ต่ำเกินไปเชียว” ผู้สูงวัยเอ่ยเตือน
“จริงอยู่ เดิมทีข้าไม่ได้ตระหนักถึงโลกมายานี้มากนักแต่หลังกลับมาจากเทือกเขาชางหมานครั้งนั้น ข้าก็รู้แล้วว่าตัวเองมองผิดไป”
“อืม” ผู้เฒ่าฮั่วเปล่งเสียงออกมา “ที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะอยากมาเตือนเ้ากระดิ่งแก้วของเ้าได้ก่อเื่ขึ้นแล้ว คงมีคนไม่น้อยที่อยากชิงสมบัติวิเศษชิ้นนี้จากเ้าพวกเขาเพียงแอบดูอยู่ห่าง ๆ เพราะต่างไม่แน่ใจว่า เ้าอาจมีผู้ที่มีพลังแกร่งกล้าคอยช่วยเหลืออยู่ก็ได้อีกทั้งพวกเขาก็ยังกลัวอิทธิฤทธิ์ของกระดิ่งแก้วอยู่ จึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงออกมา่ชิงเป็คนแรกทว่าพวกเขาคงเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจได้อีกไม่นาน อย่างไรเสียคงต้องมีสักคนที่ทนไม่ไหวแล้วปรากฏตัวออกมาในไม่ช้า”
“ข้าก็คิดอยู่เหมือนกันหรือเราควรจะย้ายออกจากที่นี่ จากพลังบ่มเพาะของพวกเราในตอนนี้ คงไม่สามารถต้านทานความโลภจากผู้คนจำนวนมากในโลกมายานี้ได้”
ผู้เฒ่าฮั่วไม่เห็นด้วย “อย่าเพิ่งรีบย้ายหนีตอนนี้เลยในโลกมายานี้อาจมียอดฝีมืออยู่บ้าง แต่พวกเขาที่้าซ่อนตัวจากยุทธภพคงไม่มีความโลภต่อกระดิ่งแก้วของเ้าและด้วยพลังที่กระดิ่งแก้วมีอยู่ หากเทียบกับพลังของพวกที่มีความโลภเ่าั้กระดิ่งแก้วสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนั้นความปลอดภัยของพวกเ้าก็ไม่ใช่เื่ที่น่าเป็ห่วง”
“เช่นนั้นก็ดี อย่างไรข้าคงต้องรอดูสถานการณ์อีกครั้ง”
ผู้เฒ่าฮั่วหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้น“กระดิ่งแก้วเป็สมบัติวิเศษ โดยปกติแล้วสมบัติวิเศษที่อยู่ในระดับสีขาวจะทำให้ผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตกิเลสมารสามารถนำพลังออกมาใช้ได้อย่างสูงสุด กระดิ่งแก้วนี้สามารถฆ่าท่านจิ่วหัตถ์ิญญาได้อย่างง่ายดายดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอยู่ในระดับสีแดงขึ้นไปแน่ แต่มันเป็สมบัติวิเศษที่สามารถจู่โจมได้ด้วยตัวเองถึงข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับสมบัติวิเศษประเภทนี้มากนัก แต่ก็เดาว่าอย่างน้อย ๆกระดิ่งแก้วต้องอยู่ในระดับสีทอง หรืออาจเป็ระดับสีม่วงเลยก็ได้”
“ด้วยโชคที่ดีเกินฟ้าลิขิตอย่างเ้าเป็ไปได้มากที่กระดิ่งแก้วจะอยู่ในระดับสีม่วง ดูจากสมบัติวิเศษที่เ้ามีอยู่ในตอนนี้แล้วมีชิ้นไหนที่ไม่ใช่สมบัติวิเศษระดับสีม่วงบ้าง? เพราะฉะนั้นข้าเกรงว่าเ้าจะผยองและไม่เห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้รับมาเ้าน่าจะรู้ดี ต่อให้เป็ผู้ที่มีพลังวัตรอยู่ในขอบเขตมหภาคก็ไม่ได้แปลว่าจะมีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงเพราะโดยส่วนมากพวกมันมักจะถูกโดยผู้ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตแห่ง์เสียหมด”
เขายกไหเหล้าขึ้นดื่มไปหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างเชื่องช้า“ได้ยินมาว่าใต้หล้านี้ มีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงหนึ่งร้อยเก้าสิบเก้าชิ้น หากรวมตราประทับท้าทาย์ของข้าที่ต้องใช้เวลาในการสร้างถึงสามสิบหกปีบวกกับการใช้ทรัพยากรที่หอสถิตดารามีทั้งหมด ก็ยังไม่เกินสองร้อยชิ้นอยู่ดียิ่งไปกว่านั้น เมื่อเทียบกันระหว่างตราประทับท้าทาย์กับสมบัติวิเศษชิ้นอื่นๆ ที่อยู่ในระดับสีม่วงแล้ว ถือว่ายังห่างชั้นกันไม่น้อย ตราประทับท้าทาย์ของข้ายังถือว่าเป็สมบัติวิเศษที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าระดับสีม่วงด้วยซ้ำไป”
“ปิ่นแมลงปอทับทิมของเ้ามีพลังอยู่ในระดับสีม่วงขั้นต่ำ ส่วนสร้อยลูกประคำโลหิตที่เ้าสวมอยู่ในมือนั้น...ก็เป็ไปได้มากว่าอาจอยู่ในระดับสีม่วงขั้นกลางหรืออาจเป็ระดับสีม่วงขั้นสูงเลยก็ว่าได้ เมื่อพูดถึงของชิ้นนี้ ข้าก็อยากจะถามเ้าสักหน่อยร่างกายเ้ามีส่วนไหนที่ผิดแปลกไปบ้างหรือไม่?”
อันเจิงส่ายหัว “ไม่มีเลยครั้งนี้ร่างกายข้าหายได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่รู้สึกว่าร่างกายได้สูญเสียเืไปแม้แต่น้อย”
ผู้เฒ่าฮั่วจึงพยักหน้า “เช่นนั้นก็ดีแล้วสมบัติวิเศษชิ้นนี้คงไม่ได้มีคำสาปจริง ๆ ถึงแม้สร้อยลูกประคำโลหิตจะไม่ใช่ของปีศาจแต่ก็ถือได้ว่าเป็สิ่งของที่ชั่วร้ายมากที่สุด อย่างไรเ้าก็ควรระวังตัวเอาไว้ด้วยข้าเคยบอกแล้ว ชะตาชีวิตของเ้าช่างประหลาดยิ่งนัก หากไม่มีสมบัติวิเศษที่มีพลังระดับสีม่วงมาหาเ้าในยามคับขันจริง ๆ เกรงว่าใครก็คงช่วยเ้าไม่ได้แล้ว”
อันเจิงยิ้มแล้วพูดต่อ “อันที่จริงเื่นี้ข้าควรย่ามใจได้สิ”
ผู้เฒ่าฮั่วยิ้มตอบ “ไร้สาระ เื่นี้ไม่ควรย่ามใจอีกต่อไปเพราะมันไม่คุ้มเลย เ้าลองคิดดู ตราประทับท้าทาย์กับปิ่นแมลงปอทับทิมที่มีพลังอยู่ในระดับสีม่วงแม้ตอนนี้ทั้งสองชิ้นจะยังไม่อาจแสดงถึงศักยภาพสูงสุดของมันได้ แต่นั่นก็เป็สมบัติวิเศษในระดับสีม่วงอยู่ดีอีกทั้งยังมีกระดิ่งแก้วและสร้อยลูกประคำโลหิต ใต้หล้านี้มีสมบัติวิเศษระดับสีม่วงเพียงสองร้อยชิ้นเ้าเพียงคนเดียวก็ได้ถึงสี่ชิ้นแล้ว หากจะย่ามใจก็คงไม่ใช่เื่แปลกอะไร”
เขาก้มหัวลงมองไปยังสร้อยลูกประคำโลหิตของอันเจิง“ตอนนี้เ้ามีพลังบ่มเพาะแล้ว หากข้าเดาไม่ผิด ระดับการบ่มเพาะของเ้าคงอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามกระมัง?”
อันเจิงพยักหน้า “ใช่แล้ว”
“ข้าไม่เคยเจอใครที่มีชีพจรแปลกเหมือนเ้ามาก่อนก่อนหน้านี้ทะเลปราณของเ้าไม่ปกติ การฝึกพลังบ่มเพาะจึงเป็เื่ยาก แต่เมื่อเ้าสามารถบ่มเพาะพลังได้ก็ข้ามไปอยู่ในขอบเขตจุติ์ขั้นสามเลยทีเดียวเ้าบอกว่าเสี่ยวชีเต้ามีพร์ที่ไม่ได้เกิดมาจากโลกนี้ ข้าว่าเ้าก็เช่นกันตอนนี้เ้ามีระดับการบ่มเพาะอยู่ในขอบเขตจุติ์แล้ว หลังจากนี้ก็สามารถเข้าไปฝึกฝนพลังวัตรที่ตราประทับท้าทาย์ได้แล้วข้าจะลองดูว่า จะสามารถย้ายสวนสมุนไพรในสร้อยลูกประคำโลหิตออกมาใส่ที่ตราประทับท้าทาย์ได้หรือไม่”
อันเจิงพยักหน้า “รบกวนผู้าุโแล้ว”
ผู้เฒ่าฮั่วจ้องดูอย่างละเอียดจากนั้นก็ยื่นมือออกมาลูบลูกประคำโลหิต ฉับพลันหัวคิ้วก็ขมวดมากขึ้นเรื่อย ๆ “นี่ไม่ถูกต้อง...เห็นได้ชัดว่าลูกประคำโลหิตนี้ดูดซับเืของเ้าไปไม่น้อยทำไมเ้าถึงไม่รู้สึกอะไรเลย? ดูนี่ รอยเืที่อยู่บนลูกประคำสว่างไสวและชัดเจนขึ้นกว่าเดิมมาก”
หลังจากที่อันเจิงดูอย่างละเอียดจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนไปก่อนหน้านี้เขาไม่เคยใส่ใจเื่พวกนี้เลย
“ใช่แล้ว!”
ผู้เฒ่าฮั่วเอามือตบหัวตัวเองเบา ๆ ทันที“ข้าลืมคิดสิ่งนี้ไปได้อย่างไรกัน...ลูกประคำโลหิตของเ้า จะมีหนึ่งเม็ดที่เก็บสวนสมุนไพรโดยเฉพาะลูกประคำเม็ดหนึ่งดูดซับเืในร่างกายของเ้า แต่อีกเม็ดหนึ่งก็ดูดซับสมุนไพรจากสวนสมุนไพรมาบำรุงร่างกายเ้าเช่นกันการทำงานของลูกประคำทั้งสองเม็ดนี้เป็ไปอย่างสมดุล ดังนั้นร่างกายของเ้าจึงไม่ได้รับผลร้ายใดๆ เลย ประหลาด ประหลาดจริง ๆ!”
อันเจิงนึกถึงร่างไร้ิญญาของผู้าุโที่อยู่บนเทือกเขาชางหมานจากนั้นก็พูดขึ้นในใจว่า ‘ขอบคุณ’
ลึกเข้าไปในเทือกเขาชางหมาน ซากศพแห้ง ๆ ที่อยู่ในโลงแก้วเจียระไนได้เปลี่ยนไปแล้วเมื่อเทียบกับตอนที่อันเจิงเจอครั้งแรก เขาในตอนนี้ดูไม่เหมือนร่างไร้ิญญาที่ผอมแห้งอีกิัของเขาได้กลับคืนสู่สภาพเดิมไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่นัก
ในเวลาที่อันเจิงกล่าวขอบคุณนั้น ปากของร่างซูบผอมก็ขยับตอบกลับ‘ไม่ต้องเกรงใจ’
หากอันเจิงได้เห็น ไม่แน่ว่าอาจใจนขวัญบินขึ้นฟ้าไปเลยก็ได้