ชายวัยกลางคนรู้ว่าทั้งสามคนหวาดระแวง จึงยิ้มพร้อมกับจะหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มจนหมดแก้วเสียเอง “ได้ยินว่าเมืองเทียนหลิงอยู่ห่างจากต่างแคว้นไม่กี่ลี้ ท่านอาเกี่ยวข้องอย่างไรกับท่านพ่อ หรือว่าเคยร่วมสู้รบกับท่านพ่อของข้า” หนิงมู่ฉือกล่าวอย่างล้อเล่น พร้อมทั้งค่อยๆ เริ่มลดความหวาดระแวงที่มีต่อท่านอาที่กำลังส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนมาให้นางลง
“แม่นางพูดได้ถูกต้อง ข้ากับแม่ทัพหนิงเมื่อก่อนเคยร่วมสู้รบด้วยกัน ปีนั้นตอนทำศึกกับต่างแคว้น ข้าเป็รองแม่ทัพของท่านแม่ทัพหนิง” ชายวัยกลางคนเอ่ยจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มอีกแก้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
หนิงมู่ฉือตาโตด้วยความใ จ้าวซีเหอได้ฟังเช่นนั้นจึงมองชายวัยกลางคนอย่างประหลาดใจ ศึกกับต่างแคว้นปีนั้นโด่งดังไปทั่ว แล้วเหตุใดเขาถึงไม่รู้เื่ของรองแม่ทัพผู้นี้เลย
แม้หนิงมู่ฉือจะมีสีหน้าท่าทางเรียบเฉย ทว่ามือทั้งสองข้างที่กำลังสั่นเทาได้เผยให้ทุกคนเห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงจนหมดสิ้น “ท่านอาพูดจริงหรือ เช่นนั้นท่านก็น่าจะรู้ว่ารองเเม่ทัพที่เคยร่วมสู้รบกับท่านพ่อของข้ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
“เ้าช่างฉลาดมีไหวพริบเสียจริง กำลังสงสัยข้าหรือ” ท่านอาส่ายศีรษะพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เหม่อมองออกไปไกล ก่อนจะหลับตาลง “ปีนั้นมีรองแม่ทัพทั้งหมดสองคน หนึ่งคนคือท่านแม่ทัพเจียงในปัจจุบัน และรองเเม่ทัพอีกคนก็คือข้าผู้นี้”
หนิงมู่ฉือลุกขึ้นยืน เอามือไพล่หลัง ก่อนจะเดินเข้าไปหาท่านอา “ถูกต้อง ปีนั้นมีรองเเม่ทัพอยู่สองคน แต่ท่านพ่อบอกกับข้าว่า มีแม่ทัพคนหนึ่งหลังจากจบศึกได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมามีทหารนายหนึ่งบอกกับท่านพ่อของข้าว่า รองแม่ทัพคนนั้นได้เสียดินแดนให้แก่ต่างแคว้น และต่อมาก็กลายเป็คนของต่างแคว้นไปแล้ว ถ้าท่านอาพูดเช่นนี้ก็หมายความว่า แม่ทัพที่หายตัวไปคนนั้นคือท่านอา?”
“เหลวไหล!” ครั้นท่านอาได้ฟังก็ตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโห ใบหน้าแดงก่ำ “ผู้ใดเป็คนพูดคำพูดเหลวไหลพวกนี้ออกมา ตอนนั้นข้าถูกพวกเ้าเล่ห์อย่างพวกต่างแคว้นจับตัวไปต่างหาก จนข้าหนีออกมาได้ พอกลับมาที่ค่ายก็ไม่เจอใครแล้ว!”
ทว่าเมื่อหนิงมู่ฉือได้ยินกลับไม่เชื่อ “ถูกต่างแคว้นจับตัวไป? เช่นนั้นข้าขอถามท่าน ไม่ทราบว่าท่านอาเอาตัวรอดกลับมาได้อย่างไร”
“ข้า…” ท่านอาถอนหายใจ ทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ยิ้มขมขื่นพร้อมกับกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าโดนดูถูกสารพัด ข้าอาศัย่ที่พวกนั้นออกไปรบแอบหนีออกมา ข้าหนีจนไปถึงหน้าผา เกือบจะต้องจบชีวิตที่ตรงนั้น แต่สุดท้ายก็รอดมาได้ ทว่าข้ากลับสลบไป พอข้าฟื้นขึ้นมาจึงกลับไปที่ค่าย ทั้งค่ายและทหารก็ไม่อยู่แล้ว”
หนิงมู่ฉือปรบมือให้กับคำโกหกของชายวัยกลางคน “ท่านอา ท่านอย่ามาหลอกข้าเลย”
“เหตุใดเ้าถึงไม่เชื่อ” ท่านอาไม่คิดเลยว่าเื่จริงที่ตนเองเผชิญมาจะกลายเป็เพียงเื่ขบขันสำหรับคนอื่น จึงขุ่นเคืองยิ่ง
หนิงมู่ฉือที่นั่งอยู่ด้านข้างขมวดคิ้ว “สำหรับข้า เื่ที่ท่านอาเล่ามาช่างเหลวไหลสิ้นดี”
“ได้ยินว่าท่านแม่ทัพหนิงตอนนี้ได้จากโลกนี้ไปแล้ว” สีหน้าท่านอาเปลี่ยนเป็เศร้าเสียใจ “จะเชื่อหรือไม่เชื่อคุณหนูตัดสินใจเองเถิด”
จ้าวซีเหอสังเกตมองไปรอบๆ ห้อง พบว่าข้างเตียงมีกล่องเก่าๆ ใบหนึ่งว่างอยู่ เื่ของรองแม่ทัพผู้นี้เขาไม่รู้เื่ราวใดเลย รู้แต่เื่แม่ทัพเจียงในปัจจุบันว่าคือรองแม่ทัพที่เคยสู้รบกับต่างแคว้นร่วมกับท่านเเม่ทัพหนิงในตอนนั้น
เขาเดินตรงไปที่กล่องใบนั้นด้วยความสงสัย กลับคาดไม่ถึงว่าท่านอาที่นั่งอยู่จะมีปฏิกิริยาว่องไว ยื่นแขนมาจับมือเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ประสงค์ดี “เ้าจะทำอันใด”
“ข้าเเค่เห็นกล่องใบนั่นแล้วรู้สึกสงสัยเท่านั้น จึงอยากจะเปิดดูว่าข้างในมีสิ่งใด”
ท่านอาถอนหายใจยาว มองหน้าจ้าวซีเหออยู่สักครู่ก่อนจะเอ่ยว่า “เ้าคือซื่อจื่อแห่งตำหนักอ๋องสินะ”
จ้าวซีเหอคาดไม่ถึงว่าชายวัยกลางคนที่บุคลิกท่าทางดูธรรมดาตรงหน้าจะเดาออกว่าเขาเป็ใคร เขาคว้าเสื้ออีกฝ่ายไว้ด้วยความรู้สึกแปลกใจ “เ้าเป็ใครกันแน่”
“รองแม่ทัพของท่านแม่ทัพหนิง เฉิน...เหว่ย” ชายวัยกลางคนพูดชื่อตัวเองออกมาทีละคำอย่างชัดเจน หนิงมู่ฉือที่กำลังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มได้ยินชื่อนี้ถึงกับพ่นน้ำที่เพิ่งดื่มเข้าไปใส่หน้าเฉินเกอ
เฉินเกอถึงกับคิ้วกระตุก ขณะใช้มือเช็ดน้ำออกจากใบหน้า หนิงมู่ฉือยิ้มแห้ง มองเฉินเกออย่างรู้สึกผิดก่อนจะรีบหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดที่ใบหน้าให้เฉินเกอ
เฉินเกอมองผ้า ขมวดคิ้วก่อนจะเอี้ยวตัวหลบ “ข้าเช็ดเองดีกว่า”
“จอมยุทธ์น้อยเฉิน ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นะ” เอ่ยจบหนิงมู่ฉือรีบวิ่งเข้าไปหาเฉินเหว่ยด้วยความตื่นเต้น แม้แต่น้ำเสียงก็เต็มไปด้วยความตื่นใ “ท่านคือเฉินเหว่ยจริงๆ หรือ”
เฉินเหว่ยพยักหน้า ก่อนจะเปิดกล่องเก่าๆ ที่วางอยู่ข้างเตียงขึ้น สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาทำให้หนิงมู่ฉือตื่นใเป็ยิ่งนัก
สิ่งที่อยู่ภายในกล่องคือหมวกและเสื้อเกราะซึ่งมีลักษณะเป็เกล็ดปลาสีทอง บนนั้นมีรอยโดนฟันมากมายที่แสดงให้เห็นถึงความดุเดือดของากับต่างแคว้นในปีนั้น
มือของหนิงมู่ฉือสั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า นางค่อยๆ ยื่นมือไปลูบหมวกและเสื้อเกราะ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือ “ถูกต้อง นี่คือหมวกและชุดเกราะของรองแม่ทัพที่สู้รบกับต่างแคว้นในปีนั้น”
นางหันไปมองเฉินเหว่ยด้วยน้ำตาคลอ น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเทาอย่างชัดเจน “ท่านคือท่านอาเฉินจริงๆ หรือ”
นางไม่ทันระวัง ขณะที่ลูบมือไปบนเกล็ดปลา นิ้วมือถูกส่วนที่แหลมคมของเกล็ดปลาบาดเข้า เืจึงไหลออกมาจากนิ้วมือ เืสีแดงสดตัดกับผิวขาวของนาง เห็นแล้วดูน่าใยิ่งนัก
เืสีแดงไหลหยดจากนิ้วมือของนางลงบนเสื้อเกราะสีทอง
เฉินเหว่ยพยักหน้า ก่อนจะเข้าไปกอดหนิงมู่ฉือ เอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “คุณหนู หนึ่งปีกว่ามานี้ท่านต้องได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจแล้ว ข้าได้ยินเื่ที่เกิดขึ้นกับแม่ทัพหนิงแล้ว”
ประโยคนี้ของเฉินเหว่ยตรงกับปมในใจของหนิงมู่ฉือพอดี ปีกว่าที่ผ่านมาไม่รู้ว่านางต้องเก็บกดเื่นี้ไว้ในใจนานเท่าใด นางมองใบหน้าคนคุ้นเคยตรงหน้า น้ำตาไหลออกมาอย่างกลั้นเอาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
“ท่าน…ท่านอา…ข้าขอโทษ…เมื่อครู่ข้าเข้าใจท่านผิดไป” หนิงมู่ฉือซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของเฉินเหว่ย น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสะอึกสะอื้น ทำให้คนที่ได้ยินอดไม่ได้ที่จะปวดใจตามไปด้วย
เฉินเหว่ยแย้มยิ้ม ยกมือลูบผมหนิงมู่ฉือ ถอนหายใจพร้อมกับเอ่ยว่า “คุณหนู ได้เจอท่านอีกครั้งข้าก็วางใจแล้ว ข้ามีความทรงจำเกี่ยวกับท่านถึงตอนที่ท่านอายุแค่ห้าหกขวบเท่านั้น ท่านในตอนนั้นมักจะไว้ผมเปีย แล้วชอบเล่นซุกซนเป็อย่างยิ่ง”