ยามเที่ยงผู้คนในเมืองหลวงและเมืองจินจุ่นต่างได้รับข่าวสะท้านฟ้ากันถ้วนหน้า
เริ่มจากสำนักเมฆัที่อยู่ทางประตูเมืองทิศตะวันออกของอาณาจักร ประกาศกับเหล่าลูกศิษย์ทั้งหลายว่า เ้าสำนักเมฆัสิ้นชีพแล้ว โดยมิได้ระบุสาเหตุว่าตกตายอย่างไร ทางสำนักก็ประกาศแต่งตั้งเ้าสำนักคนใหม่ ศิษย์น้องของอดีตเ้าสำนักขึ้นแท่นรับ่ต่อตำแหน่งเ้าสำนัก
เ้าสำนักเมฆัคนใหม่นามว่า โบ๋เวิน ปีนี้อายุเพิ่งย่างสามสิบ คนเล่าขานกันว่ามีพร์สูงเยี่ยมยิ่งกว่าศิษย์พี่ ทว่าเพราะเป็คนลุ่มหลงในการฝึกตน จึงไม่สนใจเื่การปกครองสำนักและไม่ชอบสุงสิงกับชนชาวยุทธ์
ยามนี้ศิษย์พี่ที่อยู่ร่วมกันมานับสิบปีตกตาย จึงได้ถูกผู้าุโในสำนักเชื้อเชิญออกจากการกักตัว โบ๋เวินทันทีที่รับรู้เื่ราวดวงตาพลันสาดประกายเจิดจ้า หลังจากที่กักตัวฝึกตนมาสี่ปีเต็ม ระดับขั้นฝึกตนจึงบรรลุระดับจิตไร้ขอบได้สำเร็จ เป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกล้าคนหนึ่ง
สำนักเมฆัมีลูกศิษย์หลายร้อยพัน ตั้งอยู่นอกประตูเมืองตะวันออก บนยอดเขาัเมฆา
ยอดเขาสูงต่ำสามยอดมักมีเมฆหนาปกคลุมสุดปลาย ดังนั้นจึงตั้งชื่อยอดเขาว่าัเมฆา และหลังจากมีสำนักก่อตั้งขึ้นจึงได้ใช้ชื่อใกล้เคียงกับยอดเขา ตั้งว่า สำนักเมฆั
ผู้ก่อตั้งสำนักเมฆัในอดีตเป็ผู้คุ้มกันขบวนพ่อค้าคาราวาน วันหนึ่งเมื่ออายุราวสี่สิบเศษเดินทางจากทางใต้สุดของเจ็ดดินแดน คุ้มกันพ่อค้าคาราวานเข้าสู่เมืองหลวง ในตอนนั้นขณะเคลื่อนขบวนผ่านชายแดนใต้ก็ประสบการณ์ซุ่มโจมตีจากเผ่ามารแดนิอวี้ อยู่ในสภาพปางตาย
หลังจากสามารถหนีรอดมาจนถึงเมืองหลวง ผู้ก่อตั้งได้เดินทางผ่านมายังยอดเขาเมฆา ยามนั้นตั้งใจว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานนี้จะเลิกเป็ผู้คุ้มกัน ขึ้นไปใช้ชีวิตสงบสุขอยู่บนยอดเขา ทว่าเหมือนโชคชะตากำหนดให้ยิ่งใหญ่
เมื่อเดินทางขึ้นยอดเขาเมฆา กลับพบเคล็ดวิชาที่ยอดคนในอดีตเคยทิ้งเอาไว้ เขาอาศัยเวลาสามปีฝึกปรือจนสำเร็จ ก้าวสู่ระดับเทพปรากฏ จากนั้นจึงก่อตั้งสำนักเมฆัขึ้นมา
โบ๋เวินเดินอยู่ในเก๋งลอยกลางทะเลสาบ มีลักษณะโดดเด่นของยอดคน เพียงกวาดตามองแวบเดียวก็สามารถรับรู้ได้ว่าคนผู้นี้มีบางอย่างแตกต่างจากผู้อื่น เป็กลิ่นอายเฉพาะของผู้เฉลียวฉลาดล้ำลึก
โบ๋เวินเพียงฟังรอบเดียวก็พอรู้เื่ราวคร่าวๆ ศิลาหัวใจของศิษย์พี่แตกสลาย ย่อมหมายความว่าคนแตกดับไปแล้วเช่นกัน ศิษย์พี่เป็ผู้ฝึกยุทธระดับจิตไร้ขอบมาหลายปี ทั้งยังไปพร้อมกับเ้าสำนักพิรุณพายุ แต่กลับตกตายพร้อมกัน แสดงว่าอีกฝ่ายมีฝีมือไม่ธรรมดา
“อาวุธประจำสำนักและของวิเศษล้วนถูกเอาไปด้วย ยามนี้ในสำนักไม่มีอาวุธชั้นเลิศแล้ว” ผู้าุโด้านหลังกล่าวอย่างเ็ปสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
เพื่อความแน่ใจเ้าสำนักเมฆัจึงได้นำอาวุธประจำสำนักและของวิเศษไปหลายชิ้น ยามนั้นทุกคนเห็นด้วยว่านี่เป็การกระทำที่เหมาะสม เพราะไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คาดคิด นอกจะจะพ่ายแพ้ยังถึงกับตกตายไปด้วย
ยอดเขาัเมฆาไม่มีพยุหะป้องกัน ยามนี้ไม่มีอาวุธประจำสำนักและของวิเศษ เหล่าลูกศิษย์และผู้าุโแตกตื่นจึงเป็เื่เข้าใจได้ ยามผู้คนเผชิญภัยจิตใจเป็เื่สำคัญ
โบ๋เวินกลับยืนอย่างปลอดโปร่ง สีหน้าไร้ซึ่งความหนักอึ้งสายตาจ้องมองผิวน้ำ ปลาหลายตัวะโพ้นผิวน้ำจากนั้นตกลงเกิดเป็ระลอกคลื่นวงกลมหลายวง โบ๋เวินกล่าวอย่างเฉื่อยชาเรียบเฉยว่า
“เื่เหล่านี้ไม่ต้องกังวล อาวุธประจำสำนักและของวิเศษเสียแล้วก็เสียไป ยามนี้ที่สำคัญที่สุดคือรักษายอดเขาัเมฆาเอาไว้ให้ได้ ตอบเรามาว่ากำลังรบของเราเทียบได้เท่าใดกับปกติ”
ผู้าุโนั้นมองโบ๋เวินในใจรู้สึกแปลกประหลาด คนผู้นี้แม้นเป็ศิษย์น้องของเ้าสำนักทว่าลักษณะและบุคลิกต่างกันอย่างใหญ่หลวง ยามเผชิญเภทภัยยังสงบนิ่งได้ขนาดนี้ ผู้าุโพานใจเย็นลงหลายส่วนตอบว่า
“เหลือเพียงสองในสิบเท่านั้น ผู้าุโใหญ่ล้วนติดตามเ้าสำนักออกไป ยามนี้เ้าสำนักไม่รอด พวกเขาคงไม่มีหวัง โชคดีที่ท่านออกจากการกักตัว ทำให้สำนักเมฆัเรายังมียอดฝีมือ”
“ช่างเป็เ้าสำนักที่โง่เขลายิ่งนัก ศิษย์พี่เมื่อยี่สิบปีก่อน ท่านก็พ่ายแพ้ หลายสิบปีให้หลังก็ไม่อาจเทียบเขา สู้กันกี่หนล้วนไม่เคยชนะ เหตุใดไม่รู้จักยอมรับว่าตนเองมีฝีมือเพียงเท่านั้น สู้เขามิได้ ยังจะดึงสำนักไปจมในปลักโคลนด้วย” กล่าวจบก็หันกายกลับมา ดวงตาลึกล้ำราวกับสายนที
โบ๋เวินสวมชุดสีขาวด้านนอกคลุมเซิ่นอีสีฟ้า ใบหน้าธรรมดามิได้หล่อเหลา ทว่าบุคลิกสงบนิ่งนี้กอปรเป็รูปลักษณ์ของยอดคนที่เฉลียวฉลาด สายคาดเอวสีเหลืองตัดกับชุดคลุมสีฟ้าแขวนถุงหอมเอาไว้
ผิวกายขาวซีดตามลำคอและข้อแขนที่โผล่พ้นจากอาภรณ์ปรากฏเส้นเืปูดโปน รูปร่างมิได้สูงมากทว่ามีแขนและขาที่ยาวเหยียด เป็รูปลักษณะของผู้ที่มีท่าร่างปราดเปรียวว่องไว
โบ๋เวินจ้องมองผู้าุโ สายตาคล้ายคนง่วงนอนหนังตาปรือจะปิดคล้ายปิดคล้ายเปิดกล่าวว่า
“ประมุขสำนักพันปีเรียกร้องสิ่งใดมาหรือไม่”
ผู้าุโรู้สึกประหลาดตา เมื่อเทียบกับท่าทางและนิสัยของเ้าสำนัก พลันรู้สึกว่าศิษย์น้องของเขาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทว่าแตกต่างส่วนแตกต่าง เขากลับรู้สึกว่าโบ๋เวินผู้นี้ยังน่าเกรงขามยิ่งกว่า ผู้ที่สงบนิ่งได้แม้เหตุการณ์เลวร้าย แสดงว่าเขามีจิตใจแข็งแกร่ง
“ยังไม่ แต่คาดว่าคงอีกไม่นาน ข้าคิดว่าเราควรอาศัยเวลานี้ที่อีกฝ่ายอยู่นิ่ง เปิดฉากโจมตีเข้าไป”
โบ๋เวินสีหน้านิ่งเฉยกล่าวว่า
“พวกเ้าล้วนโง่เขลากันทั้งหมด เป็เพราะได้รับอิทธิพลจากศิษย์พี่ของข้าหรือ แม้แต่สองเ้าสำนักกับผู้าุโหลายคนยังตกตายพร้อมกัน เ้าบอกว่าสำนักเหลือกำลังเพียงสองในสิบ แปดในสิบที่ออกไปสู้ยังตกตายอย่างอนาถ เ้าคิดว่าตนเองมองเห็นหนทางชนะ? เ้าคิดว่าตนเองเป็เซียนนิรันดร์รึ”
ผู้าุโคนนั้นถึงกับหน้าเจื่อน ยามกะทันหันมิอาจกล่าววาจาต่ออีก ในใจเขาคิดว่า แม้นเ้าสำนักสู้คนผู้นั้นไม่ได้ แต่จะอย่างไรก็ต้องสร้างาแฉกรรจ์ให้อีกฝ่ายไม่มากก็น้อย
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการยกกำลังไปสู้ในเวลานี้จึงเหมาะสมที่สุด หาไม่รอคอยให้อีกฝ่ายฟื้นฟูสภาพ เช่นนั้นสำนักเมฆัคงกลายเป็สุนัขให้อีกฝ่ายทุบตีถ่ายเดียว
“เื่นี้ พวกเ้าอย่าได้ยุ่งเกี่ยวแล้ว ที่เหลือข้าจะจัดการเอง” โบ๋เวินเดินออกจากเก๋งลอยน้ำ เดินไปสามก้าวพลันหยุดเท้ากล่าวว่า
“เ้าลูกเต่าของศิษย์พี่ นำไปขังในถ้ำสดับจิต สามปีค่อยปล่อยออกมา”
“ท่านเ้าสำนัก อี้ฟานเป็ศิษย์ที่เปี่ยมพร์ที่สุดของรุ่นนี้ หากขังสามปีเกรงว่าจะไล่ตามผู้อื่นไม่ทันแล้ว”
“คำพูดของข้าถือเป็เด็ดขาด เ้าลูกเต่านั้นเอาแต่ะโชักจูงลูกศิษย์ให้ล้างแค้น มันคิดว่าตนเองแข็งแกร่งนักหรือไร รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่ม ให้เขากักตัวฝึกตนสักสามปี ใช้ความแค้นนี้เป็บันไดเสีย” กล่าวจบก็เดินจากไป โบ๋เวินก้าวเท้าไม่ยาวเท่าใด ทว่ายามก้าวหนึ่งครั้งกลับเดินสองจั้ง เพียงครู่เดียวก็หายวับไปแล้ว
ผู้าุโในเก๋งลอยมองท่าร่างอย่างตื่นตะลึงอยู่ในใจปากพึมพำว่า
“ฝีมือของเขาเกรงว่ายังแกร่งกว่าท่านเ้าสำนัก ไม่พบกันเพียงไม่กี่ปี กลับมีฝีมือรุดหน้าถึงขั้นนี้แล้ว”
ยอดเขาัเมฆากปกติมีเมฆหนาปกคลุม วันนี้กลับฟ้าใสกระจ่างไร้ปุยเมฆ แสงอาทิตย์สาดแสงอบอุ่น ที่เท้าของโบ๋เวินมีก้อนเมฆอยู่ก้อนหนึ่งราวกับอสรพิษเลื้อยตัวขดเคี้ยวไปมา เมื่อเข้าใกล้ประตูเมืองตะวันออก โบ๋เวินพลันหยุดนิ่งสายตาจ้องมองไปด้านล่าง ใบหน้าที่สงบนิ่งเฉยชาพลันเคร่งขรึมขึ้นมาหลายส่วน แม้แต่สองมือก็ปรากฏเหงื่อซึม
คนยืนขวางอยู่หน้าประตู กำแพงเมืองสูงล้อมรอบสุดลูกหูลูกตา กลับให้ความรู้สึกเตี้ยเล็กยิ่งกว่าคนที่ยืนขวาง ผมเผ้าสีขาวสยายไปด้านหลังปลิวไสวโดยไร้ลม สายตาสาดส่องก่อเกิดเป็เงาสีดำยืดยาวไปด้านหลัง
ทหารรักษาเมือง ทหารเฝ้าประตูเมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัวยังไม่กล้าอยู่ใกล้ ต้องเดินหลบลี้หนีห่างไปไกล ทหารรักษาเมืองหลายนายยืนอยู่บนทางเดินกำแพง เป็ดั่งที่ทุกคนคาด เกิดเื่ใหญ่ขึ้นแล้ว
เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อน มีข่าวหนึ่งสร้างความแตกตื่นให้แก่ทุกคนในเมืองหลวง ข่าวนี้เหล่าทหารและขุนนางรับรู้ก่อนชาวบ้าน สำนักพิรุณพายุถูกลบล้างหายไปจากแผ่นดินชางไห่ ยามนั้นได้ยินทุกคนยังรู้สึกเหลือเชื่อ
ผู้บัญชาทหารรักษาเมืองเห็นว่าข่าวนี้เหลวไหล จึงสั่งมือดีของตนเองควบม้าอย่างบ้าคลั่ง เดินทางไปยังเมืองจินจุ่นที่อยู่ไม่ไกล ผู้ที่มีฝีมือระดับหนึ่งก็ขี่กระบี่เหินไปยังเมืองจินจุ่น จากนั้นไม่นานทุกคนก็กลับมาพร้อมกับสีหน้าเหลือเชื่อ แตกตื่นจนลูกตาแถบถลนออกจากเบ้า
หอพิรุณของสำนักพิรุณพายุหายไปแล้วจริงๆ ไม่มีแม้แต่เศษซาก หลังจากสอบถามจากชาวบ้าน จึงได้รู้เื่ราวว่ามีคนผู้หนึ่งมาพร้อมกับกระบี่เหินสีแดง ชาวบ้านเมืองจินจุ่นเห็นแล้วนึกว่าเทพเซียน สำหรับชาวบ้านธรรมดา แม้อยู่ใกล้เมืองหลวงทว่าไม่ค่อยได้เห็นผู้ขี่กระบี่เหินบินไปมาบ่อยนัก
แม้นว่าในเมืองจินจุ่นจะมีสำนักพิรุณพายุ ทว่าสำนักพิรุณพายุส่วนใหญ่ฝึกยุทธ์ไม่มีความสามารถใช้กระบี่เหินบิน ทุกคนจึงมองว่าแปลกตา
ดังนั้นชาวบ้านทุกคนจึงก้มศีรษะไม่กล้ามอง หลายคนยังคุกเข่ากราบพื้นอย่างศรัทธา ไม่นานหลังจากนั้น ได้ยินเสียงดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่ากัมปนาท พลันดังจากทิศที่ตั้งหอพิรุณของสำนักพิรุณพายุ เมื่อทุกคนเงยศีรษะขึ้นมองก็พบว่า หอสูงนั้นหายไปแล้ว เหลือเพียงเรือนสี่ประสานที่เคยล้อมรอบ
ชาวบ้านที่ขวัญกล้าหลายคนเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งเข้าใกล้ไปสืบดู ที่สร้างความตะลึงแก่ทุกคนก็คือ ภายในเรือนสี่ประสานกลับว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต
เหล่าโจร นักเลงที่คิดชุบมือเปิบอาศัยโอกาสนั้นเข้าไปขโมยของ กลับพบว่าภายในเรือนไม่มีแม้แต่กระดาษสักแผ่น ชาวบ้านทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึงไปเป็แถบ
สำหรับชาวบ้านเมืองจินจุ่น สำนักพิรุณพายุก็ถือเป็เทพเซียนที่พบได้ยากแล้ว ยามนี้กลับมีคนคนหนึ่งทำให้ทั้งสำนักหายไปอย่างไร้ร่องรอย ยิ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เมื่อมือดีที่ออกไปสืบข่าวคราวกลับมาบอกเล่าเช่นนี้ ทุกคนจึงเข้าใจ ในเมืองจินจุ่นผู้คนอาจไม่ทราบว่ากระบี่สีแดงเป็ของใคร ทว่าพวกเขาที่เป็ทหารรักษาเมือง ทหารในเมืองหลวง มีผู้ใดไม่รู้จักกระบี่สีแดงเล่มนี้? ยามได้ยินชื่อยังขวัญผวา