บทที่ 49 เมืองซวนจ้งของตระกูลหลิน
ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียว เขาก็มาอยู่ที่นี่ได้ปีครึ่งแล้ว แต่จากที่ตู้เสวียนเฉิงกล่าวถึงมาทั้งหมด มันเป็เวลาที่ห่างจากชาติที่แล้วที่ตัวเขาตายไปหลายสิบปี และไม่รู้ว่ายังมีอีกกี่คนที่จำเขาได้
ในขณะที่ลู่อวี่กำลังเหม่อลอยมองทะเลสาบ และถอดใจอยู่นั้น การสนทนาระหว่างนักพรตหลายคนที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา ก็ทำให้เขากลับมามีสติอีกครั้ง
“เป็ ‘ไฟแท้จื่อเสวียน’ จริงหรือ? นี่คือไฟวิเศษของ์และโลก ที่สามารถหลอมทองคำได้เป็หมื่นเลยเชียว คิดไม่ถึงว่ามันจะมาอยู่กับเด็กผู้หญิงวัยสิบสองปีนางหนึ่ง เพียงก้าวเดียวก็ขึ้น์ได้แล้ว!”
“ใช่ ได้ยินมาว่ามีคนพบตัวเด็กคนนี้ในหมู่บ้านห่างไกลตรงเชิงเขาซีฉี นางอ่อนแอและป่วยมาั้แ่กำเนิด และเพราะคนในหมู่บ้านรวบรวมเงินส่งนางมารักษาตัวในเมือง ถึงถูกพบตัวเข้า”
“ถือว่าโชคดี!” อีกคนหยิบแก้วขึ้นมาดื่มรวดเดียว
“โชคดีที่ผู้าุโท่านหนึ่งของตระกูลหลินบังเอิญเดินผ่านมา และพบเด็กคนนี้เข้า นางเป็เด็กที่มีพร์ซ่อนอยู่ในตัว เขาจึงช่วยนางและพาตัวกลับไปที่ตระกูลหลิน ตอนนี้คนตระกูลหลินกำลังจัดพิธีคารวะรับศิษย์อย่างใหญ่โตเอิกเกริก เพื่อรับเด็กน้อยผู้นี้เข้าสำนัก!”
“มีเื่เช่นนี้ด้วยหรือ? เจ็ดตระกูลใหญ่เองก็ยอมรับคนนอกสกุล แต่ไม่เคยได้ยินว่าจัดพิธีคารวะรับศิษย์ใดๆ ดูเหมือนว่าตระกูลหลินให้ความสำคัญกับเด็กน้อยผู้นี้ยิ่งนัก!”
“พูดบ้าอะไร นั่นคือ ‘ไฟแท้จื่อเสวียน’ เชียว! นับเป็พลังวิเศษอันดับที่สิบเก้า ของไฟแท้์และโลก! ไฟนี้จะอยู่ในร่างกาย ฝึกฝนคาถาเวทไฟบางสิ่ง ออกแรงเล็กน้อยก็ได้ผลมากมายเท่าตัว ผู้อื่นฝึกฝนร้อยปีกว่าจะสำเร็จ แต่นางใช้เวลาเพียงสิบปีก็มากพอแล้ว! ‘คัมภีร์ไฟ์จื่อหยาง’ ที่สืบทอดโดยตรงจากตระกูลหลินสามารถเข้าถึงการฝึกฝนพลังคาถาของขั้นเกิดเทพเ้าได้โดยตรง แม้แต่ตระกูลหลิน ผู้สืบทอดที่ไม่ใช่สายตรงล้วนไม่มีคุณสมบัติให้ฝึกฝนได้ แต่ตระกูลหลินกลับส่งต่อเคล็ดวิชานี้ให้นาง ไม่เช่นนั้นคงไม่จัดพิธีคารวะรับศิษย์ที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ขึ้น”
“อืม ตระกูลหลินขึ้นชื่อเื่หลอมอาวุธในเทียนตู มีไฟแท้จื่อเสวียนนี้ ก็คงจะเหมือนเสือติดปีก และเชื่อว่าตระกูลหลินก็คงจะวางแผนเช่นนี้เหมือนกัน ถึงได้รับนางเข้ามาเป็ศิษย์ในสำนัก คิดจะผูกมัดนางไว้กับตระกูลไม่ให้ไปไหนได้ ก็ถือว่าเป็โชคดีของนาง!”
“ไฟแท้จื่อเสวียน?” ลู่อวี่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับตาเบิกกว้าง พลังไฟวิเศษเช่นนี้เขารู้จัก หากฝึกฝนมาจนถึงจุดสูงสุดมันจะสามารถหลอมทองคำเป็หมื่นได้ แต่เด็กผู้หญิงอายุเพียงสิบสองปีคนนั้น กลับมีไฟแท้จื่อเสวียนไว้ในแล้วตอนนี้ แต่น่าจะอยู่ในขั้นพื้นฐานที่สุดอยู่ หากไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน ก็คงไม่มีทางหลอมทองคำเป็หมื่นได้
แต่สิ่งนี้มันทำให้ลู่อวี่ประหลาดใจไม่น้อย ในฐานะปรมาจารย์ปรุงโอสถ ที่แทบจะรับมือกับเปลวไฟมาเกือบทั้งชีวิต ย่อมต้องรู้ประเภทของเปลวไฟ์และโลกดีอยู่แล้วว่า มันแบ่งออกเป็ไฟิญญา ไฟหยิน ไฟหยาง ไฟดิน ไฟ์ ไฟบริสุทธิ์ ไฟชั่ว ไฟศักดิ์สิทธิ์ และไฟแท้
ประเภทของเปลวไฟเหล่านี้ไม่แบ่งแยกสูงต่ำ ในนั้นยกเว้นไฟศักดิ์สิทธิ์และไฟแท้แล้ว เปลวไฟอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของ์และโลก มีไฟบางชนิดสามารถเปลี่ยนเป็ไฟแท้ได้ด้วยวิธีการพิเศษและถูกนักพรตควบคุมไว้ และมีบางชนิดที่ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตจะััได้ เพียงเข้าใกล้ก็มีความอันตรายที่รุนแรงมาก ไฟศักดิ์สิทธิ์เป็เปลวไฟที่เกิดจากการเผาไหม้ของพลังแห่งศรัทธามีคุณสมบัติลึกลับมากมาย ไฟแท้ที่เกิดเองตามธรรมชาติล้วนมีความมหัศจรรย์ไปคนละแบบ
อย่างไฟิญญาส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของ์และโลก ต่างมีรูปแบบเฉพาะของตัวเอง ตัวอย่าง ไฟแท้หนิงคงของลู่อวี่ซึ่งเป็หนึ่งในสิบอันดับแรกของไฟจาก์และโลก แต่อันที่จริง ไฟแท้หนิงคงของลู่อวี่ ต่อให้ได้รับการฝึกฝนจนถึงขีดสุด มันก็ไม่มีทางเหมือนกับไฟแท้หนิงคงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจาก์และโลกทั้งหมด
มันแตกต่างกันที่ไฟแท้หนิงคงของลู่อวี่ที่เกิดจากลมปราณผ่านวิธีการฝึกฝนแบบพิเศษ แต่ไฟแท้หนิงคงที่แท้จริงนั้นเกิดจากอากาศน้ำแข็งนับพันปีในสภาพแวดล้อมเฉพาะ คุณสมบัติของมันแตกต่างกัน และพลังก็ยิ่งต่างกันราวฟ้ากับเหว ไฟนี้ไม่ใช่นักพรตในโลกมนุษย์จะสามารถควบคุมได้ ความคล้ายคลึงกันมีเพียงคุณสมบัติเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นพลังของไฟแท้หนิงคงที่ลู่อวี่ฝึกฝนอยู่ก็ไม่ธรรมดา
เด็กผู้หญิง ที่คนพวกนี้กำลังพูดถึงมีอายุเพียงสิบสองปี ไฟแท้จื่อเสวียนในตัวก็ไม่ได้มาจากการฝึกฝน แต่เป็ไฟแท้ที่ติดตัวมาโดยกำเนิด แม้ว่าพลังจะอ่อนแอเมื่อแรกเกิด เมื่อเทียบกันแล้วก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าไฟธรรมดามากนัก แต่หากมีเคล็ดวิชาการฝึกฝนที่ลึกซึ้งและลึกลับ สักวันหนึ่งพลังของมันจะทัดเทียมกับพลังเปลวเพลิงที่เกิดขึ้นเองจากธรรมชาติของ์และโลกได้
ทันใดนั้นลู่อวี่ก็อดสงสัยในตัวเด็กผู้หญิงที่มีพร์ไฟแท้ไม่ได้ ในเวลาเดียวกันก็แอบใกับความโชคดีของตระกูลหลินเช่นกัน อันที่จริงไฟแท้จื่อเสวียนสามารถหลอมทองคำนับหมื่นได้จริงๆ และยังนำมาใช้ปรุงยาอายุวัฒนะได้ด้วย แต่ก็เพียงใช้ได้เท่านั้น เพราะไม่นับว่าเป็เปลวไฟที่เหมาะสมจะนำมาใช้ปรุงยาอายุวัฒนะ มิเช่นนั้นลู่อวี่ก็อยากที่จะรับตัวเด็กผู้หญิงคนนี้เข้าสำนักตัวเองเหมือนกัน
แม้ว่าลู่อวี่ในชาติก่อนจะเป็ปรมาจารย์ปรุงโอสถ แต่ก็ไม่ยอมรับลูกศิษย์คนใดเลย เพียงรับลูกศิษย์ในนามไม่กี่คนซึ่งมีคุณสมบัติและพร์ที่ค่อนข้างดี แม้ว่าภายใต้การชี้แนะของตัวเอง จะก้าวไปถึงระดับคนปรุงโอสถขั้นห้าหรือขั้นสี่แล้ว แต่เมื่อคิดจะก้าวไปอีกขั้นก็ไม่ง่าย เพราะทุกวันนี้้าฝึกฝนในอีกเส้นทางหนึ่งที่ยากมากขึ้น หากสามารถหาลูกศิษย์ที่มีพร์ดีเยี่ยมมาถ่ายทอดวิชาปรุงโอสถของตัวเองได้ ก็จะไม่ทำให้ผิดหวังทั้งในชาติที่แล้วและชาตินี้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ลู่อวี่จึงตัดสินใจไปร่วมพิธีคารวะรับศิษย์ของตระกูลหลิน หากว่ามันคุ้มค่า ถึงเวลานั้นก็จะมอบยาอายุวัฒนะสักเม็ดเป็ของขวัญแสดงความยินดีก็แล้วกัน แต่ก่อนไปจะต้องคิดหาวิธีส่งกลับแม่นางน้อยทั้งสองนี่เสียก่อน
เวลานี้ อาหารบนโต๊ะลู่อวี่ถูกจัดวางครบเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดเป็อาหารที่อุดมไปด้วยพลังวิเศษที่ผู้ฝึกฝนชื่นชอบ
หลังจากผู้ฝึกตนจำนวนมากจำศีลภาวนา ก็จะมีความอยากอาหารน้อยลง แต่ก็ยังมีอีกมากที่ชื่นชอบอาหารและเครื่องดื่มจนติดเป็นิสัย ดังนั้นในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร จึงไม่ได้มีผู้ใดอดอาหารกันจริงๆ และแม้แต่ในบันทึกโบราณของสำนัก ที่ก่อตั้งขึ้นก็มีบันทึกไว้ จะเห็นได้ว่าเส้นทางแห่งธรรมนี้ เหตุใดถึงยังเจริญรุ่งเรืองสืบต่อกันมาเป็เวลานาน ความจริงแล้วล้วนมีเหตุผล
แม้ว่าลู่อวี่ในชาติที่แล้ว จะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปรุงโอสถและบำเพ็ญเพียร แต่ก็ชอบอาหารอร่อยๆ มาก ถึงกระทั่งว่ามี่หนึ่งที่เขารวบรวมสูตรอาหาร แล้วนำคุณโทษของยาและอาหารมาศึกษาร่วมกันจนได้อาหารอันโอชะหลายอย่างที่มีผลลัพธ์ต่างกันออกมา
แต่ต่อให้ร้านอาหารแห่งนี้พยายามรังสรรค์เมนูอาหารออกมาเหมือนกัน แต่สำหรับลู่อวี่แล้วมันดูเหมือนทำอะไรลวกๆ เพราะอาหารแต่ละอย่างมีรสชาติพอไปวัดไปวาได้เท่านั้น แต่เพราะร้านนี้มีเครื่องดื่มให้ แม้จะจืดไปหน่อย แต่มันมีกลิ่นหอมเป็พิเศษ ขนาดตัวเขาเองยังเผลอดื่มไปสองสามอึก
แต่น้องสาวทั้งสองชอบอาหารเหล่านี้ยิ่งนัก เพียงแต่ท้องเล็กเกินไป จึงกินทุกอย่างได้อย่างละเล็กละน้อยเท่านั้น
หลังจากที่ทั้งสามคนคุยกันเื่นี้ เพราะลู่อวี่มีแผนการที่วางไว้ ดังนั้นจึงพาพวกนางไปเที่ยวเล่นจนหนำใจที่เมืองเทียนอวิ๋น และซื้อของชิ้นเล็กๆ ที่พวกนางชอบอย่างจุใจ จนกระทั่งถึงยามซื่อ ก็แสร้งทำเป็มองท้องฟ้าแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ วันนี้พอเท่านี้ก่อน วันหลังยังมีโอกาสอยู่ค่อยมากันอีก”
ลู่หนาน และมู่เสวียนถูกลู่อวี่พาเที่ยวเล่นจนหนำใจมาตลอดทั้งวัน ก็สนุกมากจนไม่ร้องขออะไรอีกแล้ว และตามเขากลับูเาเทียนฉยงอย่างว่านอนสอนง่าย
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา แสงสีแดงก็บินพรวดออกมาจากูเาเทียนฉยง และลอยอยู่บนท้องฟ้าสักพักหนึ่ง จากนั้นก็บินตรงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ
“สหายน้อยจะไปที่ใด? เอ๊ะ พลังยุทธ์ของสหายน้อยบรรลุถึงขั้นฟันฝ่าแล้ว ยินดีด้วย!” เสียงแ่เบาดังขึ้นในหัวของ ลู่อวี่ เสียงนั้นคือเสียงของตู้เสวียนเฉิงนั่นเอง
“ขอบคุณมาก พลังยุทธ์ของผู้เฒ่าตู้ ฟื้นตัวอย่างไรบ้าง?” พลังยุทธ์ของลู่อวี่บรรลุขั้นขึ้นมาถึงขั้นฟันฝ่าแล้ว ไม่จำเป็ต้องพึ่งพาอาวุธวิเศษเหาะเหินเดินอากาศเพื่อเดินทางอีกต่อไป เวลานี้ร่างกายและกระบี่บินได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ และบินไปทางตระกูลหลิน ด้วยความเร็วสูง ไม่ด้อยไปกว่าอาวุธวิเศษที่เหาะเหินเดินอากาศที่เคยใช้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นมันยังเร็วกว่าและที่สำคัญคือมันแล่นไปได้ตามที่ใจปรารถนา รู้สึกได้ถึงความอิสระและเสรีภาพ มันทั้งผ่อนคลายและสบายตัวยิ่งนัก
“ฮ่าฮ่า มันไม่ได้ง่ายถึงเพียงนั้น หากคิดจะฟื้นตัวกลับไปสู่่กลางของขั้นเกิดเทพเ้า จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบปี หาก้าฟื้นตัวกลับไปสู่ขั้นหวนสู่สัจธรรม จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งร้อยปีในการฝึกฝนและสะสม ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นเมื่อทุกอย่างราบรื่น ไม่เช่นนั้นจะล่าช้าไปอีกหลายสิบปี ถือเป็เื่ปกติทั่วไป โชคดีที่ข้ามีอายุยืนยาวเพียงพอ รอสักสามถึงห้าร้อยปีก็ไม่เป็ปัญหา!”
ลู่อวี่รู้ดีว่าอายุขัยของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ในขั้นหวนสู่สัจธรรมจะมีอายุยืนยาวที่สุดถึงสามพันปี แต่ตอนนี้เพียงพันกว่าปีเท่านั้น ซึ่งไม่มีอะไรเลยจริงๆ เมื่อนึกถึงคำถามของตู้เสวียนเฉิงเมื่อสักครู่นี้ จึงกล่าวว่า “ได้ยินว่าตระกูลหลินกำลังจะจัดพิธีใหญ่รับคารวะจากศิษย์ เพื่อรับเด็กผู้หญิงที่อายุเพียงสิบสองปีและมีพร์ ‘ไฟแท้จื่อเสวียน’ งานนี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ และเชิญผู้คนมาร่วมงานด้วยไม่น้อย จึงถือได้ว่าเป็การรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรในเร็ววันนี้ ดังนั้น่นี้ข้าว่างไม่มีอะไรทำ จึงอยากจะไปดูสักหน่อย”
“อ้อ? เป็เื่ยากมากที่เด็กผู้หญิงจะเกิดมาพร้อมกับ ‘ไฟแท้จื่อเสวียน’ มันยังเป็ที่รู้จักกันในนาม ‘ไฟสีม่วงทอง’ อีกด้วย เป็หนึ่งในเปลวไฟที่ดีที่สุด ที่ใช้ในการหลอมอาวุธ นางอายุเพียงสิบสองปี หากฝึกฝนดีๆ ย่อมมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่แท้ พลังยุทธ์ในขั้นหวนสู่สัจธรรม ข้าไม่กล้าพูดถึง แต่พลังยุทธ์ขั้นเกิดเทพเ้า มีโอกาสอย่างน้อยหกในสิบส่วน มันคุ้มค่าที่จะไปดูจริงๆ!”
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เงียบกันมาตลอดทางและมุ่งหน้าตรงไปที่ “เมืองเสวียนจ้ง” ซึ่งเป็ที่ตั้งของตระกูลหลินในทางทิศตะวันตก ตู้เสวียนเฉิงยังคงซ่อนตัวและแอบดูอยู่ในความมืด ตามความปรารถนาของลู่อวี่ เพียงปกป้องเขาอย่างลับๆ และจะไม่ปรากฏตัว นอกเสียจากว่าจะเป็หรือตาย
เทือกเขาเปลวไฟทมิฬ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของภูมิภาคตะวันตก มันกินพื้นที่ไปเกือบครึ่งของพื้นที่ทั้งหมด เปรียบเสมือนัดำตัวหนึ่งที่เข้ายึดครองดินแดนของภาคตะวันตกทอดยาวเหยียดเป็พันลี้ มันอยู่ห่างจากเมืองเทียนอวิ๋นของตระกูลลู่มากกว่าพันห้าร้อยลี้ ด้วยความรวดเร็วของกระบี่บินของลู่อวี่ จึงใช้เวลาเพียงเจ็ดหรือแปดก้านธูปก็เดินทางมาถึงที่แห่งนี้
นี่เป็เพราะว่าลู่อวี่ มียาอายุวัฒนะเพียงพอที่จะฟื้นฟูลมปราณและพลังเวทในตัว หากเป็นักพรตในระดับเดียวกัน เดินทางมาถึงสองก้านธูปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ คงใช้ลมปราณและพลังเวทไปหมดแล้ว คงไม่สามารถมาถึงได้ภายในหนึ่งวัน
ในเมื่อตระกูลหลินมีชื่อเสียงเื่หลอมอาวุธในเทียนตู ก็เป็เื่ธรรมดาที่จะพิถีพิถันในการเลือกที่ตั้งของตระกูลมากเช่นกัน เทือกเขาเปลวไฟทมิฬ เกิดจากการปะทุของูเาไฟจำนวนมหาศาล จนนับแทบไม่ถ้วนในสมัยโบราณ ไม่เพียงแต่มีแร่ธาตุที่อุดมสมบูรณ์มากเท่านั้น แต่ยังมีูเาไฟจำนวนมากที่หลงเหลืออยู่ั้แ่สมัยโบราณที่ยังคงคุกรุ่นอยู่และปะทุเป็ครั้งคราว เป็ผลให้ พื้นที่ส่วนใหญ่ของเทือกเขาทั้งหมดปกคลุมไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด พร้อมกับสีสันสดใส บ้างก็เป็สีดำสนิท ดังนั้นจึงเรียกว่าเทือกเขาเปลวไฟทมิฬ
เท่าที่ลู่อวี่รู้มาเมืองเสวียนจ้งของตระกูลหลิน ถูกสร้างขึ้นภายใต้ยอดเขาเมืองเสวียนจ้ง ทางตอนเหนือของเทือกเขาเปลวไฟทมิฬ และสภาพแวดล้อมของภูมิภาคตะวันตกทั้งหมด ยังได้รับผลกระทบจากเทือกเขาเปลวไฟทมิฬแห่งนี้ มนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ไม่มีพลัง หรือนักพรตที่ไม่มีพลังแข็งแกร่งที่จะสามารถตั้งค่ายกลกระบี่ปกป้องตัวเองได้ ก็ยากมากที่จะอยู่รอดในที่นี้
แม้แต่ตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ก็ไม่เต็มใจที่จะก่อร่างสร้างฐานของตระกูลไว้ที่นี่ ยกเว้นตระกูลที่มีความ้าเฉพาะเท่านั้นที่จะตั้งรกรากอยู่ที่นี่ได้ เช่นเดียวกับตระกูลหลินที่อาศัยการหลอมอาวุธเป็เครื่องมือในการสนับสนุนตระกูล