……
เวลาสี่ทุ่มสามสิบห้านาที กลุ่มนักเลงผู้เต็มไปด้วยาแที่ก้นมาดักรอเหอชูซานในซอยที่เขาใช้เดินกลับบ้านเป็ประจำหลังจากเลิกเรียนพิเศษ ก่อนจะใช้กระสอบป่านคลุมหัวเขาแล้วพากลับไปยัง ‘บริษัท’ โดยใช้เวลาเพียงสิบห้านาที
หากถามว่าเหอชูซานเป็ใคร เขาก็คือคนแรกในประวัติศาสตร์ของเมืองกำแพงเจียวหลงที่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งมีความหมายเหมือนกับการที่มีคนจากแดนห่างไกลและลึกลับในอดีตสอบจองหงวนได้ลำดับที่หนึ่งในยุคโบราณ แม่ของเขาคือเสิ่นเพ่ยเพ่ยผู้ซึ่งเคยเป็ถึงสาวสวยอันดับต้นๆ ของเมืองกำแพงเจียวหลง ทว่าโชคร้ายที่เธอสูญเสียการมองเห็นและแต่งงานกับมือกลองที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีแม้แต่อิทธิพลหรือเงินทองโดยบอกว่านี่เป็รักแท้ ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็เพราะหน้าตาของเขา ทั้งสองรักกันมากจนเสิ่นเพ่ยเพ่ยตั้งครรภ์ทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานและใน่เดือนที่สี่ของการตั้งครรภ์มือกลองก็ถูกฟันตายจนเละเทะ แม้จะโชคที่ดีที่ยังสามารถระบุตัวตนได้ก็ตาม
สาวสวยเสิ่นรู้สึกเศร้าเสียใจเป็อย่างยิ่งจึงตัดสินใจะโลงทะเลเพื่อฆ่าตัวตายขณะตั้งครรภ์ในค่ำคืนนั้น แต่หลังจากที่เธอจมลงไปในทะเลได้ไม่นาน หมอฟันเถื่อนไร้ใบอนุญาตที่เดินผ่านมาก็ได้ช่วยดึงเธอขึ้นมาจากความตาย หมอฟันคนนั้นแซ่เหอ หน้าตาไม่ดี แต่เป็คนซื่อสัตย์ ภรรยาของเขาหนีไปกับชายอื่น เขาจึงไม่รังเกียจที่จะเป็พ่อบุญธรรมให้กับลูกของคนอื่น สาวสวยเสิ่นนอนป่วยอยู่ในคลินิกของหมอฟันเหอเป็เวลาหกเดือนและเสียชีวิตในวันเดียวกันกับวันที่เธอให้กำเนิดลูกชาย ก่อนตายเธอกุมมือของหมอฟันเหอและบอกว่า “ให้ลูกชายใช้แซ่เหอและอย่าให้เขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกมืด”
หมอฟันเหอที่แม้จะไม่ได้แต่งงานกับเสิ่นเพ่ยเพ่ยกลับมุ่งมั่นในการเลี้ยงดูบุตรชายของเธออย่างตั้งใจ และเนื่องจากเขาเกิดในวันที่ 3 ของวันตรุษจีน เด็กชายจึงมีชื่อเต็มว่าเหอชูซาน มีชื่อเล่นว่าอาสาม และมีฉายาว่า ‘อิ้นตู้อาซาน [1]’ อิ้นตู้อาซานเป็เด็กที่น่ารักและเชื่อฟัง ั้แ่เด็กจนโตเขาไม่เคยตอบโต้ใครแม้จะถูกเยาะเย้ย ล้อเลียน ยั่วยุ หรือทำร้ายร่างกาย จนกลายเป็บุคคลที่บริสุทธิ์และอ่อนโยนแม้จะเกิดและเติบโตในเมืองกำแพงเจียวหลง เขาได้รับทุนการศึกษาและสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนระดับชั้นประถมและชั้นมัธยม ก่อนจะได้รับการตอบรับเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีหลงก่าง ซึ่งเพิ่มความประหลาดใจให้กับชาวเมืองกำแพงเจียวหลงที่ไม่เคยเห็นแสงสว่างมาก่อน
เมื่อหมอฟันเหอได้ยินข่าวการตอบรับเข้าศึกษา เขาก็ตื่นเต้นมากถึงขนาดจุดประทัดชุดหนึ่งบนถนนเพื่อฉลองจนทุกคนในเมืองกำแพงเจียวหลงรู้ข่าวกันทั่ว แต่โชคร้ายที่การจุดประทัดนั้นกลายเป็เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิตของเขา
ในคืนที่เกิดโศกนาฏกรรมนี้ เหอชูซานเพิ่งใช้เวลาทั้งวันในการท่องจำสูตรคณิตศาสตร์และศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย ตอนที่เขากำลังเดินกลับบ้านในซอยอันมืดครึ้มแสนคุ้นเคย อยู่ดีๆ เขาก็รู้สึกถึงมือที่พุ่งเข้ามาปิดปากและจมูกของเขา แล้วทันใดนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด! มีเพียงความรู้สึกสับสนปะปนกับความรู้สึกของการถูกยกให้ลอยขึ้นไปในอากาศเท่านั้น!
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขาล่องลอยอยู่ในอากาศ จู่ๆ เขาก็รู้สึกเหมือนตกลงมาอย่างแรง ความมืดพลันหายไป แสงสว่างจ้าสะท้อนเข้ามาในสายตาของเขา!
เขาสังเกตเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ไกลๆ หนุ่มหล่อผิวแทนคนนั้นสวมเสื้อกล้ามสีดำแนบเนื้อ เผยให้เห็นลำแขนและแผ่นหลังแกร่งที่มีมัดกล้ามแน่นเรียงกันสวยงาม หนุ่มหล่อคนนั้นยกขาภายใต้กางเกงยีนส์รัดรูปข้างหนึ่งวางพาดบนโต๊ะ ชายหนุ่มมีใบหน้าที่ดูเ็าไม่เป็มิตร มีดวงตาดูคล้ายกับดวงดาว แม้จะมีท่าทางที่ดูเยือกเย็น แต่ตอนนี้เขากำลังทำตัวสบายๆ กินหนิวจ๋า [2] ขณะตั้งใจดูทีวีไปพลาง
ในทีวีขาวดำกำลังฉายหนังเื่《The Godfather》ซึ่งมีมาร์ลอน แบรนโด (Marlon Brando) ยืนอยู่ข้างเตียงและพูดภาษาอังกฤษที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ สำหรับเหอชูซานที่เติบโตในย่านสลัมและเคยเห็นทีวีแค่ในตู้โชว์ของห้างสรรพสินค้า การได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้นับเป็ประสบการณ์ที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นยิ่งนัก เขาจึงหลงใหลและมุ่งความสนใจไปที่ทีวีทันที!
หลังจากที่ทั้งสองคนจ้องมองไปยังทีวีอย่างไม่ละสายตา ในที่สุดชย่าลิ่วอีที่แม้จะอ่านตัวหนังสือออกแต่ก็ไม่มากและเริ่มอ่านคำบรรยายไม่ทันก็ทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้น “เสี่ยวหม่า!”
ชายหน้าบากในผมทรงปาดเสยเดินออกมาจากห้องข้างๆ เขาพูด “ครับ! พี่ลิ่วอี!”
“มีเสียงพากย์ภาษาจีนไหม”
“อ๋อ หนังเื่นี้ไม่มีเสียงพากย์ภาษาจีนครับ!”
“...”
“อืม!!!” เสี่ยวหม่าแย้มรอยยิ้มกว้างพยายามเอาใจ
“ไป!”
“ครับพี่!” เสี่ยวหม่ารีบเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
“กลับมาก่อน”
“ครับพี่!” เสี่ยวหม่ารีบกลับมา
“นี่ใคร?” ชย่าลิ่วอีกดสายตามอง
“นักเขียนบทที่พี่ให้ผมจับตัวมาเมื่อตอนบ่ายไง” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วและมองเหอชูซานั้แ่หัวจรดเท้า “นี่… เขาโตแล้วแน่หรือ?”
“รีบบอกพี่ลิ่วอีสิว่าอายุเท่าไร!” เสี่ยวหม่าเปลี่ยนท่าทีหันไปตะคอกเหอชูซาน
“ยี่สิบเอ็ดครับ” เหอชูซานพูดอย่างว่านอนสอนง่าย
ทันใดนั้นเสี่ยวหม่าก็เตะเข้าที่หลังเข่าของเหอชูซาน ทำให้เขาร้องออกมาพร้อมกับทรุดตัวคุกเข่าลงไป “ไอ้เวร พูดว่าอายุยี่สิบเอ็ดหรือ! สิบหกก็น่าจะพอแล้วมั้ง! พูดให้มันจริงหน่อย!”
เหอชูซานก้มลงไปหยิบกระเป๋านักเรียน เสี่ยวหม่าเห็นท่าทางเหมือนเขาจะหยิบอาวุธจึงเตะเขาจนกระเด็นออกไปสองเมตร ก่อนจะดึงเหอชูซานขึ้นมาตั้งใจจะซ้อมต่อ แต่ชย่าลิ่วอียกมือขึ้นห้ามไว้
เหอชูซานยกมือขึ้นกุมหน้าอกที่ถูกเตะพร้อมทั้งไอออกมาอย่างหนัก มือสั่นเทาหยิบบัตรประชาชนออกจากกระเป๋านักเรียน เสี่ยวหม่าเห็นดังนั้นจึงรีบคว้ามันมาดูปีเกิดและพบว่าเขาอายุยี่สิบเอ็ดปีจริง
“เฮ้ย!” เสี่ยวหม่าสบถออกมา ไอ้หนุ่มคนนี้แขนเล็กขาเล็กดูเหมือนลูกไก่ตัวเล็ก หน้าก็ละอ่อน จะอายุยี่สิบเอ็ดปีได้อย่างไรกัน?
เหอชูซานกุมหน้าอกของตัวเองและไม่พูดอะไร ชีวิตบนถนนนั้นไร้เหตุผล เขาเข้าใจดี ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าคนพวกนี้จับตัวเขามาทำไม ดังนั้นการเงียบจึงเป็สิ่งที่ดีที่สุด
ชย่าลิ่วอีโบกมือไล่เสี่ยวหม่าออกไปแล้วเงยหน้าขึ้นเป็สัญญาณให้เหอชูซานนั่งลง ก่อนที่เขาจะหันกลับไปจดจ่อกับการดูทีวีต่อ
เหอชูซานรู้สึกเจ็บที่หน้าอกอยู่สักพัก แต่ไม่นานความสนใจของเขาก็ถูกดูดกลับไปที่ทีวีอีกครั้ง
หลังจากที่ทั้งสองคนเงียบและดูทีวีไปประมาณสิบนาที ชย่าลิ่วอีที่พลาดคำบรรยายอีกครั้งก็ขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า “เขาพูดว่าอะไร?”
“เขาพูดว่า ‘ฉันจะให้เงื่อนไขที่เขาปฏิเสธไม่ได้’”
ชย่าลิ่วอีเป่าปากส่งเสียง แสดงท่าทีที่พอใจอย่างมาก
“แล้วประโยคนี้ล่ะ?”
“กับศัตรูของนาย ต้องใกล้ชิดมากกว่ากับเพื่อนของนาย”
ครั้งนี้ชย่าลิ่วอีขมวดคิ้วเล็กน้อย
หลังจากดูต่ออีกสักพัก ชย่าลิ่วอีก็หยิบหนิวจ๋าขึ้นมากินต่อก่อนจะยื่นจานใบนั้นไปให้เหอชูซาน
“ไม่ล่ะครับ ขอบคุณมาก” เหอชูซานพูด
“ไอ้เวรนี่! พี่ลิ่วอีให้แกกินแกก็ต้องกิน!” คนร่างใหญ่ที่ยืนเฝ้าอยู่ตรงประตูะโด้วยเสียงที่ดังเหมือนฟ้าผ่า
ผลคือชย่าลิ่วอีใช้เรียวขายาวนั่นเตะจานหนิวจ๋าทั้งหมดใส่เขา พร้ะโกนกร้าว “เสียงดังเกินแล้ว ไปให้พ้น!”
ชายร่างใหญ่รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ชย่าลิ่วอีหันกลับไปดูทีวีต่อ มือหนึ่งถือหนิวจ๋าที่เหลืออยู่แล้วยื่นไปให้เหอชูซาน เหอชูซานลังเลไม่กล้ารับ ชย่าลิ่วอีไม่ได้หันกลับมามองแต่อย่างใด เพียงแค่ส่ายไม้หนิวจ๋าไปมาและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “กินเถอะ”
เหอชูซานเหมือนสุนัขจรจัดที่หลงเข้ามาในบ้านหรู แม้จะถูกพนักงานในบ้านดุแต่กลับได้รับการปลอบโยนจากเ้าของบ้านอย่างอ่อนโยน เขานิ่งงันรับหนิวจ๋ามากัดคำหนึ่ง ก่อนจะพบว่าเป็รสชาติของร้านข้างๆ คลินิกของพ่อเขา ‘ร้านของเจ๊อ้วน’
เหอชูซานที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนรู้สึกว่าคนใหญ่คนโตในโลกใต้ดินคนนี้แตกต่างจากที่เคยเห็นหรือเคยได้ยิน— เขาเป็หนุ่มหล่อ ท่าทางอ่อนโยนและเข้ากับคนง่าย ดูเหมือนจะสามารถพูดคุยและทำความเข้าใจกันได้
เหอชูซานจึงค่อยๆ ขยับสะโพกเพื่อผ่อนคลายตัวเอง รู้สึกว่าคืนนี้อาจมีโอกาสได้กลับออกไปอย่างปลอดภัย
เขากินหนิวจ๋าเสร็จ อ่านซับไตเติลจบ และทำตามคำสั่งของชย่าลิ่วอีที่ให้ปิดทีวี หลังจากนั้นลูกพี่ใหญ่ในโลกใต้ดินที่ ‘ท่าทางอ่อนโยน’ ก็เริ่มพูดเื่สำคัญขึ้นมาอย่างสบายๆ ว่า “รู้ไหมว่านายมาทำไม?”
เหอชูซานส่ายหัว
“เคยได้ยินคำว่า ‘นักเขียนบท’ ไหม?”
เขาส่ายหัวไปมาอย่างต่อเนื่อง
ชย่าลิ่วอีอธิบายด้วยความอดทนว่า “ฉัน้าสร้างหนังเื่หนึ่ง และ้าให้นายเขียนบทให้ฉันภายในสามวัน”
เหอชูซานกะพริบตาเข้าใจในที่สุด แต่เนื่องจากเขาเป็คนหัวสมัยใหม่ที่มีแต่สูตรคณิตศาสตร์และศัพท์ภาษาอังกฤษในหัว เขาจึงไม่รู้ว่าจะเริ่มเขียนอย่างไร
“ผมเรียนการเงิน...” เขาเปิดปากพูด
— ผมเขียนบทไม่เป็
ยังไม่ทันได้พูดประโยคหลังออกมา เสี่ยวหม่าที่ออกไปก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามาอย่างหัวเสียและพูดว่า “พี่ลิ่วอี! ผมโทรไปหาน้องสาวของไล่เฉวียนเพื่อทวงเงิน เธอบอกว่าพวกเขาเลิกติดต่อกันแล้ว ชีวิตของไล่เฉวียนไม่เกี่ยวกับเธอ!”
ชย่าลิ่วอียักคิ้วขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดว่า “หืม?”
“แม่งเอ๊ย น้องสาวของเขาวางสายใส่ผมด้วย!” เสี่ยวหม่าพูดด้วยความโมโห
ชย่าลิ่วอีไม่รีบร้อน เขาหันไปจุดบุหรี่ด้วยสีหน้าสบายๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่เร่งรีบว่า “พาเขาเข้ามา”
ไม่ถึงสิบวินาที ไล่เฉวียนที่หน้าตาบวมช้ำก็ถูกพวกคนตัวใหญ่พาเข้ามา
เหอชูซานเหงื่อท่วมหลัง มองดูชย่าลิ่วอีที่สูบบุหรี่อย่างใจเย็นขณะหยิบเก้าอี้ฟาดไล่เฉวียนจนหมดสภาพ! ท้ายที่สุดก็ให้คนจับเขาไว้ที่โต๊ะ ถอดถุงเท้าออก แล้วเอามันอุดปากเขาก่อนจะใช้คีมดึงเล็บทีละนิ้ว!
“ไม่รู้จะทำยังไงหรือ? จะให้พี่ลิ่วอีช่วยคิดไหม?” ชย่าลิ่วอีกดปลายบุหรี่จี้ไปยังปลายนิ้วที่เต็มไปด้วยเืของไล่เฉวียน “คิดเอาเองนิ้วเดียว พี่ลิ่วอีช่วยคิดสามนิ้ว”
“อืออืออืออืออือ!” ไล่เฉวียนกัดถุงเท้าเหม็นๆ นั่นแน่นและร้องไห้อย่างหนัก หัวของเขาส่ายไปมาจนแทบจะหลุดออก
ชย่าลิ่วอีโบกมือ เสี่ยวหม่าเห็นดังนั้นก็ตอบรับและเดินไปข้างหน้าเพื่อดึงถุงเท้าออกจากปากของไล่เฉวียน
“ผะ ผมจะโทรหาคุณแม่ ขอให้คุณแม่ไปขอร้องเธอ” ไล่เฉวียนพูดด้วยเสียงสะอื้นและอ่อนแรง
“ดีมาก” ชย่าลิ่วอีเอ่ยพลางลูบหัวเขา “หนึ่งนิ้ว”
เสี่ยวหม่าเดินมาทำตามคำสั่ง ตัดนิ้วของไล่เฉวียนอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงฉับดังขึ้นหนึ่งครั้ง! ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเ็ปจากลำคอที่ดังขึ้น!
“อ๊าก!!!”
หัวใจอันอ่อนไหวที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวของเหอชูซานถูกเสียงกรีดร้องสุดท้ายนี้ทำลายจนพังยับเยิน! เขานั่งนิ่งอย่างตกตะลึงมองดูไล่เฉวียนที่หมดสภาพถูกพวกมาเฟียลากออกไป เสี่ยวหม่าห่อชิ้นส่วนที่ถูกตัดออกมาแล้วบอกให้ลูกน้องส่งมันไปให้แม่ของไล่เฉวียนด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นเขาก็เช็ดโต๊ะที่เต็มไปด้วยเือย่างคล่องแคล่วแล้วรีบเดินออกไป
ชย่าลิ่วอีเดินกลับมานั่งที่เดิมแล้วยกขาวางพาดไว้บนโต๊ะอีกครั้ง “เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ?”
เหอชูซานอึ้งไปชั่วครู่ เขาพูด “ผมเรียนด้านการเงิน...”
“หืม?”
“ผมเขียนบทได้”
“ดีมากเด็กดี”
เกร็ดท้ายตอน
1. ‘เมืองกำแพงเจียวหลง’ ที่ปรากฏในเื่นี้ แท้จริงแล้วคือ ‘เมืองกำแพงจิ่วหลง’ (Kowloon Walled City) ที่ถูกรื้อถอนไปแล้ว เนื่องจากมีการแต่งเติมเนื้อหาและการตั้งค่าที่แตกต่างออกไป จึงเปลี่ยนชื่อเป็ ‘เมืองกำแพงเจียวหลง’ เพื่อให้เกิดความแตกต่าง
2. ในระบบแก๊งฮ่องกงมักมีการใช้ตัวเลขเฉพาะเพื่ออ้างถึงตำแหน่งต่างๆ เช่น หัวหน้าแก๊ง รองหัวหน้าแก๊ง มือขวา (หงกุ้น) นักบัญชี (ไป๋จื่อซั่น) และที่ปรึกษา (เฉ่าเสีย) เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น ตำแหน่งเหล่านี้จะถูกแปลเป็ภาษาไทยโดยตรง
เชิงอรรถ
[1] อิ้นตู้อาซาน เป็คำที่ใช้เรียกคนอินเดียในประเทศจีนซึ่งมีความหมายในเชิงดูถูก ประมาณคนไทยเรียกว่า ‘แขกอินเดีย’
[2] หนิวจ๋า เป็อาหารจีนประเภทหนึ่ง ทำจากเครื่องในวัวที่นำไปตุ๋นจนเปื่อยนุ่ม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้