คังอิงเพ่งมองให้ชัด ก็เห็นว่าเป็ลูกสุนัขตัวเล็กๆ ที่น่าจะเกิดได้ไม่นาน และยังไม่ลืมตาด้วยซ้ำ! สือเจียงหย่วนจับคอมันไว้ ทำให้ขาทั้งสี่ของมันแกว่งไปมาในอากาศ ดูอ่อนแอ น่าสงสาร และไร้ที่พึ่งจริงๆ
คังอิงพูดทั้งน้ำตา "สุนัขตัวเล็กแค่นี้ จะให้มันมาปกป้องฉัน ให้ความรู้สึกปลอดภัยกับฉันได้ยังไงคะ?"
สือเจียงหย่วนเกาหัว แล้วยิ้มแห้งๆ "สุนัขน่ะ ต้องเลี้ยงั้แ่เด็กๆ สิครับถึงจะมีความผูกพัน ผมไปจับสุนัขตัวโตๆ มา มันก็คงไม่ฟังคำสั่งคุณหรอก สุนัขโตเร็วมากเลยนะ อีกสามเดือนมันก็โตเป็หนุ่มแล้ว
คุณคงไม่หวังว่ามันจะช่วยคุณกัดคนร้ายจริงๆ ใช่ไหม ที่จริงถ้ามีคนคิดร้ายเข้ามา เสียงเห่าของมันก็เพียงพอจะข่มขวัญพวกนั้นแล้ว
ถ้าคุณยังรู้สึกไม่ปลอดภัย ผมจะติดตั้งสัญญาณเตือนภัยให้คุณที่ลานบ้าน เวลากลางคืนหลังจากที่คุณเข้านอนแล้ว ก็แค่กดสวิตซ์ ถ้ามีเสียงผิดปกติใดๆ สัญญาณเตือนภัยก็จะดังขึ้นเอง เป็ไงครับ?"
สือเจียงหย่วนคิดได้รอบคอบมาก คังอิงพยักหน้าเห็นด้วย "ก็ได้ งั้นคุณก็ช่วยติดตั้งสัญญาณเตือนภัยให้ฉันเถอะ"
ตอนนี้เธอคงหวังพึ่งเ้าลูกสุนัขตัวน้อยไม่ได้ ยังไงสัญญาณเตือนภัยก็ดูน่าเชื่อถือมากกว่า ถ้ามีคนมาทำให้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้น อย่างน้อยเพื่อนบ้านทั้งสี่ทิศก็จะได้ยิน
คังอิงรู้ว่า่นี้รัฐบาลได้ดำเนินการปราบปรามอย่างรุนแรงหลายครั้ง เพื่อพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น
แต่นี่ก็แสดงให้เห็นเช่นกัน ว่าอาจมีเื่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เธอจึงต้องเพิ่มความระมัดระวัง
เพราะตอนนี้เธอเพิ่งจะย้ายเข้ามา คนอื่นยังไม่รู้จักเธอดี แต่พออยู่ไปนานๆ คนอาจจะรู้ว่าเธอเป็ผู้หญิงที่หย่าร้างอาศัยอยู่คนเดียว ยากที่จะรับประกันได้ว่าจะไม่มีคนคิดร้ายกับเธอ...
คังอิงรับลูกสุนัขตัวน้อยมาอุ้มไว้ในอ้อมแขน แล้วพูดกับสือเจียงหย่วน
"ลูกสุนัขตัวนี้เพิ่งเกิดได้ไม่นานใช่ไหม คุณอุ้มมันมาจากไหน? ดูท่าคุณจะมีเส้นสายมากมายในอำเภอหลี่ว์เลยนะคะ ถึงได้หาลูกสุนัขมาให้ฉันได้เร็วขนาดนี้"
"ไม่ใช่ว่าผมมีเส้นสายมากมายหรอก แต่นี่เป็ความสามารถของพวกพี่ชายน้องชายผมต่างหาก พวกเขาเป็คนท้องถิ่น เกิดและเติบโตที่นี่ อำเภอหลี่ว์เล็กนิดเดียว ใครๆ ก็รู้จักกันหมด แม้แต่เื่เล็กน้อยอย่างลมพัดต้นหญ้าไหวยังรู้กันเลย
บังเอิญว่าเพื่อนร่วมชั้นของน้องชายผมเลี้ยงหมาป่าเอาไว้ เมื่อคืนมันเพิ่งคลอดลูกออกมาครอกหนึ่ง กำลังกลุ้มใจอยู่ว่าจะหาคนรับเลี้ยงพวกมันไม่ได้ น้องชายผมก็เลยไปรับลูกสุนัขตัวนี้มา เพื่อนของน้องชายผมยังรู้สึกขอบคุณมากอยู่เลย"
สือเจียงหย่วนพูดพลางหัวเราะอย่างมีความสุข ่เวลาที่อยู่กับคังอิง เขารู้สึกว่ามีเื่ราวมากมายให้พูดคุย ไม่ว่าจะพูดเื่อะไร เขาก็รู้สึกว่าน่าสนใจและดูมีพลังอย่างยิ่ง แม้จะเป็เื่เล็กน้อย เขาก็รู้สึกสนุกไปกับมัน
หากพวกเพื่อนจอมเ้าเล่ห์ในเมืองหลวงได้เห็นท่าทางของสือเจียงหย่วนตอนนี้ คงต้องตกตะลึงแน่ๆ ในสายตาของพวกเขา สือเจียงหย่วนเป็คนเคร่งขรึมดุจเหล็กกล้า คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้ความสนใจที่มาของสุนัขตัวหนึ่งอย่างละเอียดขนาดนี้ ช่างทำลายภาพลักษณ์ของเขาเสียจริง
แต่คังอิงไม่รู้จักสือเจียงหย่วนในอดีต เธอแค่รู้สึกว่าสือเจียงหย่วนช่างเอาใจใส่ มีมารยาทแบบสุภาพบุรุษ และเป็คนตลก เธอรู้สึกว่าการพูดคุยกับสือเจียงหย่วนนั้นผ่อนคลายมาก
เขาไม่ดูถูกที่เธอเป็ผู้หญิงหย่าร้าง มีความเห็นอกเห็นใจ และยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือใน่เวลาที่เธอตกทุกข์ได้ยากที่สุด ทั้งยังรู้จักสำนึกบุญคุณ และตอบแทน
สองประการหลังนี้คังอิงให้ความสำคัญมาก เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เธอทำธุรกิจ ก็เจอคนไม่ซื่อสัตย์มานับไม่ถ้วน
อาจเป็เพราะเธอทำธุรกิจมานานเกินไป และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ซับซ้อนแบบนั้น คังอิงจึงคุ้นเคยกับการใช้ความคิดเพื่อรับมือกับเื่ราวของผู้คนมากมายในแต่ละวัน แม้ตอนนี้เธอจะมีความกังวลทั้งเื่เล็กและใหญ่ แต่กลับรู้สึกผ่อนคลายแปลกๆ
คังอิงอุ้มลูกสุนัขตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน โดยธรรมชาติแล้วผู้หญิงมักจะมีความรักใคร่ และเอ็นดูสัตว์น้อยๆ ที่เพิ่งเกิดใหม่เช่นนี้
หลังจากหยอกล้อกับเ้าตัวน้อยอยู่นาน คังอิงก็ร้องอุทานขึ้นมาทันใด "แย่แล้ว ฉันลืมเอาจักรยานเข้ามา กับข้าวก็อยู่ข้างนอกหมดเลย หวังว่าคงไม่มีใครขโมยมันไปนะ"
สือเจียงหย่วนกล่าวพร้อมหัวเราะว่า "คุณคิดว่าความปลอดภัยของที่นี่แย่ขนาดนั้นเชียว?"
คังอิงวางลูกสุนัขลง จากนั้นก็รีบเดินออกจากประตูไปดู เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้จักรยานจะไม่ได้ล็อกเอาไว้ แต่มันก็ยังคงอยู่ที่เดิม กับข้าวบนรถก็ไม่มีใครขโมยไป
คังอิงรีบเข็นรถจักรยานเข้ามาในลานบ้าน จากนั้นหยิบของที่ซื้อมาจากตะกร้าหน้า แล้วพูดกับสือเจียงหย่วนว่า
"ฉันเห็นจักรยานในโกดังของคุณป้ารอง เลยเข็นออกมาปั่น คงไม่มีปัญหาใช่ไหมคะ?"
เมื่อสือเจียงหย่วนที่กำลังตอกตะปูลงบนแผ่นไม้ได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบกลับโดยไม่เงยหน้า "ไม่มีปัญหาหรอกครับ ของที่นี่ไม่ได้ใช้งานแล้ว คุณ้าอะไรก็หยิบไปใช้ได้เลย ไม่มีปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น รถจักรยานก็เหมือนบ้าน ยิ่งใช้งานก็ยิ่งดี ถ้าไม่ใช้ ปล่อยทิ้งไว้เดี๋ยวก็พัง"
คังอิงพยักหน้าเห็นด้วย "จริงด้วยค่ะ ตอนที่ฉันเจอจักรยาน ยางก็แบน แถมโซ่ยังหลวมอีก"
สือเจียงหย่วนกล่าว "เื่เล็กน้อยครับ เดี๋ยวผมจะช่วยซ่อมให้ รับรองว่าปั่นได้ดีขึ้นแน่ๆ"
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สือเจียงหย่วนก็ทำกล่องไม้นั่นเสร็จแล้ว เนื่องจากเขาได้รับาเ็ที่หลังด้านซ้าย เขาจึงไม่กล้าขยับตัวมากเกินไป หลังจากทำเสร็จ เขาก็ยกกล่องไม้นั่นขึ้นด้วยมือข้างเดียว แล้ววางมันไว้ที่มุมหนึ่งของกำแพงที่ติดกับประตูใหญ่
คังอิงเพิ่งรู้ตอนนี้ว่า สือเจียงหย่วนกำลังทำบ้านสุนัข! ด้านหน้ากล่องมีช่องสำหรับเข้าออก ตัวกล่องมีขนาดใหญ่มาก ต่อให้ลูกสุนัขจะโตเต็มวัยแล้ว ก็ยังสามารถอาศัยอยู่ได้
สือเจียงหย่วนยังปูผ้าปูกันน้ำไว้้ากล่องไม้ แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวฝนตกแล้ว
"นี่เป็บ้านสุนัข ให้มันอยู่ข้างประตูเหล็ก ถ้ามีอะไรผิดปกติ มันจะได้รู้ทันที" สือเจียงหย่วนอธิบาย
"ตัวเล็กขนาดนี้ ถ้าให้อยู่ข้างนอกตอนนี้ ฉันกลัวว่าจะเลี้ยงไม่รอด รออีกสักเดือน ค่อยให้มันย้ายไปอยู่ตรงนั้นละกันเนอะ"
คังอิงมองดูลูกสุนัขตัวน้อย เธอรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะโยนมันลงไปในกล่องไม้ตอนนี้
สือเจียงหย่วนพูดต่อ "ถ้ามันอยู่ในห้อง มันจะส่งเสียงดังมากเลยนะ เ้าพวกนี้พลังงานเยอะจะตายไป คุณวางใจเถอะ เดี๋ยวผมจะเอาผ้าฝ้ายกับเบาะนุ่มๆ ใส่ไว้ในบ้านให้มันอยู่สบายๆ"
คังอิงที่ลองคิดดูก็คิดว่าจริงอย่างว่า ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมาก่อน เธอไม่ชอบให้สัตว์เลี้ยงวิ่งไปวิ่งมาในห้อง หรือแม้แต่ะโขึ้นเตียงนอนของเธอ เพราะไม่รู้ว่ามันจะมีเห็บติดมาหรือเปล่า เธอค่อนข้างรักสะอาด จึงพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อเห็นว่าสือเจียงหย่วนช่วยเธอหาลูกสุนัขตัวน้อย แล้วยังทำบ้านสุนัขให้อีก คังอิงก็รู้สึกปล่อยให้เขาทำงานฟรีๆ ไม่ได้ จึงบอกว่า
"งั้นเที่ยงนี้คุณกินข้าวที่นี่นะ ฉันเพิ่งซื้อของมาพอดี"
"ได้เลยครับ!" สือเจียงหย่วนตอบตกลงโดยไม่ลังเล
น้ำเสียงของเขาทำให้คังอิงรู้สึกเหมือนเขาตั้งหน้าตั้งตารอให้เธอพูดประโยคนี้อยู่แล้ว
คังอิงยิ้มแบบไม่คิดอะไรมาก เธอเดินไปที่ห้องครัว เอาของไปเก็บในตู้เย็น จากนั้นค่อยเริ่มคิดว่าจะทำเมนูอะไรดีสำหรับมื้อเที่ยง
ปลาทอด น้ำแกงฟักเขียวลูกชิ้นหมูสับ ผัดผักกวางตุ้ง ทั้งเนื้อสัตว์และผักก็ดูครบถ้วน คนสองคน กินแค่นี้ก็น่าจะพอ
เธอแค่ไม่รู้ว่าสือเจียงหย่วนจะมากินข้าวเที่ยงที่นี่ เธอเลยไม่ได้ซื้อวัตถุดิบที่ช่วยสมานแผลมา เช่น ปลากะพงอะไรทำนองนี้ น่าเสียดายจริงๆ
คังอิงสวมผ้ากันเปื้อน แล้วเริ่มลงมือทำอาหารในครัว ใช้เวลาประมาณสี่สิบนาที เธอก็ทำอาหารและหุงข้าวเสร็จ
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าสือเจียงหย่วนชอบรสเค็ม ดังนั้นตอนทำอาหาร เธอจึงปรับรสชาติตามความชอบของเขาด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้