หลังจากรับมือกับฮูหยินเยี่ยนเสร็จ เยวี่ยเจาหรานก็รีบวิ่งกลับเรือนของตน ไม่สนใจสีหน้าไม่เป็มิตรที่มองมาของสวี่ชิวเยวี่ยข้างหลังเลยแม้แต่น้อย จึงไม่รู้ว่าสวี่ชิวเยวี่ยลอบกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจะจิกทะลุฝ่ามืออยู่แล้ว
ผู้หญิงนี่นะ จัดการยากชะมัดเลย
กลับมาถึงเรือนเพียงลำพัง ชุ่ยเชี่ยวที่กำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อนั้น เมื่อเห็นเยวี่ยเจาหรานเข้ามาในเรือนถึงได้ถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปหา “เป็อย่างไรบ้างเ้าคะคุณชาย ฮูหยินเยี่ยนไม่ได้ติติงชาของท่านใช่หรือไม่เ้าคะ?”
“ไม่ถึงกับติติงหรอก แต่ก็ไม่ได้ชอบมากเหมือนกันน่ะสิ!” เยวี่ยเจาหรานดึงชุ่ยเชี่ยวไปอีกด้านหนึ่งอย่างขอไปที แล้วเดินไปนั่งลงที่ข้างโต๊ะ พลางรินน้ำชาให้ตน
“เอ๋?” ชุ่ยเชี่ยวเห็นท่าทางคุณชายของตนแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ถูกปฏิเสธ แล้วเหตุใดจึงดูไม่ค่อยดีใจนักเล่า? เยวี่ยเจาหรานแหงนคอกระดกชาหมดถ้วย แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่เป็ไรหรอก เ้าวางใจเถอะ ถึงแม้ข้าจะไม่ได้ประโยชน์ แต่อย่างไรเสียก็กระชากหน้ากากของสวี่ชิวเยวี่ยมาได้ชั้นหนึ่งแล้ว”
เมื่อได้ยินเยวี่ยเจาหรานเอ่ยเช่นนั้น ชุ่ยเชี่ยวก็ยิ้มกว้างออกมา ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าสวี่ชิวเยวี่ยผู้นั้นมักจะทำให้คุณชายของตนลำบากอยู่เสมอ แล้วยังทำให้เยวี่ยเจาหรานต้องนอนติดเตียงตั้งหลายวัน ตนที่คอยดูแลรับใช้ทั้งวันทั้งคืนย่อมทุกข์ทรมานไปด้วย เมื่อเป็เช่นนี้ สวี่ชิวเยวี่ยจึงนับว่าเป็วายร้ายที่ยากจะหาใครเทียม
เมื่อคนเลวถูกบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ตนก็ย่อมมีความสุข
ชุ่ยเชี่ยวเติมน้ำชาให้กับเยวี่ยเจาหรานด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นมาอีก “ท่านไม่รู้หรอก ไม่กี่วันมานี้คุณชายเยี่ยนผู้นั้น เขาวิ่งวุ่นอยู่กับการดูแลท่านและเรียนหนังสือทั้งสองด้าน มีหลายคืนที่ไม่อาจนอนหลับลง เท้าแก้มเท้าคางอยู่ข้างหน้าต่างทอดมองท้องฟ้าแล้วปาดน้ำตา... ทั้งยังต้องคัดอักษรท่องจำบทประพันธ์ไปด้วยอีกนะเ้าคะ!”
เยวี่ยเจาหรานรับถ้วยชาที่ชุ่ยเชี่ยวส่งให้ แทบจะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้นั้นน่ะหรือจะปวดใจกับตนจนนอนไม่หลับและร้องไห้ที่ข้างหน้าต่าง? จะเป็ไปได้อย่างไรกัน!
ดังนั้น เยวี่ยเจาหรานที่ไม่อาจเชื่อลงจึงไม่อาจควบคุมสีหน้า และถามด้วยความประหลาดใจ “เ้าพูดว่าอะไรนะ?”
ชุ่ยเชี่ยวมองไปยังคุณชายของตนอย่างหมดคำพูด แล้วยกมือขึ้นหยิกหูของเยวี่ยเจาหราน แปดส่วนนั้นคิดว่าหูของเยวี่ยเจาหรานคงมีปัญหาอะไรถึงได้ฟังคำที่ตนพูดได้ไม่ชัดเจน แต่ถึงที่สุดเขาก็เป็คุณชายของตน จะไปทำอะไรได้กันเล่า ก็ต้องตามใจเขาสิ
ไม่มีทางเลือก ชุ่ยเชี่ยวทำได้เพียงเอ่ยคำที่ตนเพิ่งพูดไปซ้ำอีกรอบหนึ่ง พูดจบก็ก้มหน้าก้มเดินออกไป ไม่สนใจเยวี่ยเจาหรานที่ทำหน้างงเป็ไก่ตาแตกอีก
ในใจของเยวี่ยเจาหรานนั้น เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วคือสตรีแกร่งมาตลอด ภาพลักษณ์สูงส่งและทรงพลังยิ่ง เว้นเสียแต่... เว้นเสียแต่ตอนที่นางร้องกระจองอแงครั้งที่ตนพลั้งตัว ร่วมหลับนอนกับนางหลังจากร่ำสุราในครั้งนั้น เยวี่ยเจาหรานก็ไม่เคยเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเป็หญิงสาวธรรมดานางหนึ่งเลย อย่าบอกนะว่าแม่นางผู้นี้จะชอบตนเข้าแล้วจริงๆ จึงรู้สึกเป็ทุกข์กับตนที่ถูกโรคภัยรุมเร้า ไม่เพียงแต่ร้องไห้ยังนอนหลับไม่ลงอีก?
คิดไปคิดมา เยวี่ยเจาหรานก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ คืนนี้จะต้องเห็นด้วยตาตัวเองให้ได้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วผู้นั้นกันแน่!
ความพยายามไม่เคยทรยศใคร เยวี่ยเจาหรานที่ได้ตัดสินใจแล้วในที่สุดก็เบิกตาอดหลับอดนอน รอดูเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วหลั่งน้ำตาที่ข้างหน้าต่างฉากนั้น ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเดิมทีไม่ได้แอบไปร้องไห้เพราะตนต้องนอนซมอยู่บนเตียงอยู่แล้ว เช่นนั้นเขาก็รอโดยเปล่าประโยชน์ถึงค่อนคืนอย่างนั้นหรือ?
น่าโมโหชะมัด เพื่อไม่ให้เวลาของตนต้องสูญเปล่า เยวี่ยเจาหรานจึงตัดสินใจถามเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วว่ามีปัญหาอะไรกันแน่ บางทีตนอาจจะเป็ที่ปรึกษาทางใจ ช่วยเพื่อนร่วมห้องแก้ไขปัญหาด้านอารมณ์ความรู้สึกให้ได้
“เยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว”
เยวี่ยเจาหรานยืนขึ้นในความมืดอย่างเงียบๆ ถือเชิงเทียนสีแดงเอาไว้ แล้วเอ่ยเสียงเรียบอยู่ข้างหลัง
ถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ได้ดัง แต่ก็ยังทำให้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่ใ ผ่านแผ่นหลังอันลนลานนั้น เยวี่ยเจาหรานจึงมองออกว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่้าให้ใครรู้ว่าตนกำลังร้องไห้มากเพียงใด
“หา?” แม้ว่าน้ำเสียงที่สั่นเครือปนสะอื้นของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะหักหลังนาง แต่เห็นได้ชัดว่าเยวี่ยเจาหรานไม่ได้ใส่ใจ ในมือของเขาถือเชิงตะเกียง เดินเข้าไปใกล้เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วอย่างช้าๆ เมื่อพิจารณารอบด้านแล้ว จึงเอ่ยตอบไปอย่างไม่อ้อมค้อม “เ้า คับข้องใจสิ่งใดหรือ?”
ที่แท้การอำพรางที่ตนตั้งใจขนาดนี้ก็ถูกคนจับได้แล้ว เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลง และยังคงนิ่งเงียบ แต่เมื่อเห็นตำราและการบ้านที่ตั้งกองพะเนินอยู่บนโต๊ะของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็พอจะเดาออกไม่ใช่ก็ใกล้เคียง ความคับข้องใจหลายวันมานี้ของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับอาจารย์อวี้เป็แน่
เยวี่ยเจาหรานวางเชิงตะเกียงในมือลง หยิบบทประพันธ์เล่มหนึ่งบนโต๊ะของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วมา แล้วอ่านดูเล็กน้อย “นี่มัน ขุนนางแห่งเจิ้งพิชิตต้วน ณ เมืองเยียน [1] ?”
เดิมเป็คำพูดที่เอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดอะไร แต่มันกลับกระตุ้นความรู้สึกในแววตาของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วให้แปรเปลี่ยนไปฉับพลัน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา “เ้ารู้จักหรือ? มันอ่านยากมาก แม้แต่ตัวอักษรข้ายังรู้จักไม่หมดเลย”
หากไม่ใช่เพื่อปกป้องความภาคภูมิของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว และกลัวว่าเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วจะร่ำไห้ไม่จบไม่สิ้นกับตนอีกครั้ง เยวี่ยเจาหรานคงจะต้องกลอกตาแน่ ถึงอย่างไรบทประพันธ์นี้สำหรับผู้รู้หนังสือแล้ว เกือบจะนับได้ว่าเป็เพียงระดับเบื้องต้น
“อืม เคยอ่านมา” หลังจากเรียบเรียงถ้อยคำอยู่นาน เยวี่ยเจาหรานจึงเอ่ยอย่างสุภาพ พร้อมกับวางบทประพันธ์ในมือลง เมื่อเห็นเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วไม่ตอบกลับมา เขาจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เป็เพราะอาจารย์อวี้อย่างที่คิด เ้าเล่ามาเถอะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เยวี่ยเจาหรานถือโอกาสนั่งลงข้างกายเยี่ยนอวิ๋นหลิ่ว และในที่สุดเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วที่บ่ายเบี่ยงมานานก็อธิบายอย่างละเอียดถี่ถ้วน ว่าแท้จริงแล้วเป็เพราะตนถูกอาจารย์อวี้บีบคั้น แม้ว่าตนตัดสินใจที่จะตั้งใจร่ำเรียนกับอาจารย์อวี้แล้ว แต่ด้วยพื้นฐานนั้นย่ำแย่จริงๆ จึงมักจะทำให้อาจารย์อวี้ทั้งโมโหและเอือมระอา ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตำหนิตนอยู่เสมอ
ทั้งอาจารย์อวี้ก็เป็ถึงนักปราชญ์เลื่องชื่อ แม้แต่การด่าทอถากถางก็ยังอ้างอิงจากตำรา บางครั้งเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็พยายามอย่างมากที่จะใคร่ครวญว่ามันหมายความว่าอะไรกันแน่ และก็มักจะจบลงไปทั้งอย่างนั้น ไปๆ มาๆ ศักดิ์ศรีของผู้หญิงที่มีอยู่ไม่มากในใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็ถูกอาจารย์อวี้ทำร้ายจนแตกสลายเป็ชิ้นๆ ร่วงหล่นแตกกระจายเต็มพื้น อยากจะเก็บขึ้นมาก็ทำไม่ได้
ได้ฟังจนจบ เยวี่ยเจาหรานกลับหัวเราะออกมาอย่างไม่คิดอะไรก่อนเป็อันดับแรก แม้แต่ท่าทางน้อยอกน้อยใจของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วตรงหน้าเขาก็ยังรู้สึกว่าน่ารักมาก
“เ้าว่า ข้าจะทำเช่นไรดี ข้าคิดว่า หากข้ายังตามการสอนของอาจารย์อวี้ไม่ทันอีก เขาจะต้องใช้ปากนั่นของเขาด่าทอข้าจนต้องอับอายแทบแทรกแผ่นดิน ให้คว้านท้องตายไปเสียเลย...”
เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วเล่นพู่กันเส้นเล็กที่ยังไม่จุ่มหมึกในมือ พลางทำปากยื่นอย่างน้อยใจ แล้วเอ่ยออกมาเช่นนั้น
“เช่นนั้นเ้าก็พยายามขึ้นอีกหน่อย อย่าให้ใครมาดูถูกเสียสิ” เยวี่ยเจาหรานที่เฉลียวฉลาดอย่างหาตัวจับยากมาั้แ่เด็ก มีพร์ด้านการร่ำเรียนหนังสือ สำหรับความลำบากของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วในตอนนี้ โดยเบื้องต้นจึงไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ ดังนั้นเขาจึงพูดออกมาอย่างสบายๆ
สีหน้าของเยี่ยนอวิ๋นหลิ่วยังคงเต็มไปด้วยความมืดมน ภายในรู้สึกว่าเยวี่ยเจาหรานกับอาจารย์อวี้ก็เป็คนประเภทเดียวกัน เป็พวกที่ถือศีลธรรมXอยู่สูงส่งเหนือมวลชน โดยที่ไม่ได้ตระหนักเข้าใจถึงความทุกข์ยากของโลกนี้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าในชั่วขณะนั้นเอง เยี่ยนอวิ๋นหลิ่วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางคว้าแขนของเยวี่ยเจาหรานเอาไว้อย่างประจบ แล้วเอ่ยอย่างขลาดๆ “ในเมื่อเ้าฉลาดขนาดนี้ เช่นนั้นเ้าสอนข้าได้หรือไม่?”
ชั่วขณะนั้น เยวี่ยเจาหรานก็ได้เข้าใจถึงความน่ากลัวของสตรี ต่อให้จะเป็สตรีที่ดูไม่คล้ายสตรีเลยก็ตาม แต่ก็ยังเป็มือดีเื่การเซ้าซี้พัวพัน โดยที่ไม่เหลือเหตุผลหรือโอกาสให้ตนได้ปฏิเสธเลย
เชิงอรรถ
[1] ขุนนางแห่งเจิ้งพิชิตต้วน ณ เมืองเยียน (郑伯克段于鄢) บทประพันธ์หนึ่งใน กู่เหวินกวนจื่อ (古文观止) หรือรวมบทความชั้นยอดในสมัยโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้