สตรีผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ย "ดูท่าทางแม่หนูแล้ว คงกำลังดูใจเื่แต่งงานอยู่กระมัง? พอแต่งงานไป ไม่ช้าก็คงมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองแล้ว"
"ข้าแต่งงานแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบเสียงเบา ขณะเอ่ย ใบหน้าก็พลันระบายรอยเขินอายของเ้าสาวหมาดๆ
สตรีคนขายรองเท้ายิ้ม กล่าวว่า "อันที่จริง การทำรองเท้านี่ง่ายนิดเดียว หากคราวหน้าเ้ามาตลาดนัดอีก ข้าจะสอนให้"
"จะดีหรือเ้าคะ หากข้าเรียนไป ก็เท่ากับแย่งอาชีพท่านป้าน่ะสิ" อันซิ่วเอ๋อร์ส่ายหน้าปฏิเสธ "รอข้ามีลูกแล้ว ค่อยมาอุดหนุนท่านป้าก็ได้เ้าค่ะ วันๆ ข้าก็วุ่นอยู่กับการปักผ้า ทำงานฝีมือเล็กๆ น้อยๆ ไม่ค่อยมีเวลาทำอย่างอื่นหรอก"
"โอ๊ย การทำรองเท้าน่ะ ในหมู่บ้านเราผู้หญิงทำเป็กันแทบทุกคน ไม่นับว่าเป็วิชาพิเศษอันใดนัก เพียงแต่ข้าทำได้ประณีตกว่าผู้อื่นหน่อย ทั้งยังรู้จักลวดลายมากกว่า จึงพอจะยึดเป็อาชีพได้" สตรีผู้นั้นดูมีน้ำใจ ไม่ได้ใส่ใจเื่ที่อันซิ่วเอ๋อร์กังวลว่าจะไปแย่งอาชีพของนางเลย
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มตอบ "ท่านป้าช่างใจกว้างจริงๆ เ้าค่ะ ก็จริงอย่างที่ท่านว่า ของแบบนี้ต้องแล้วแต่ฝีมือใครฝีมือมัน อย่างข้านี่ ั้แ่เล็กก็ชอบทำงานฝีมือจุกจิกพวกนี้ ลวดลายหลายอย่างบนแผงข้า ก็เป็ข้าคิดขึ้นเองทั้งนั้น"
ขณะทั้งสองกำลังคุยกันอย่างออกรส ก็มีลูกค้ามาเลือกชมสินค้าที่แผงรองเท้า สตรีผู้นั้นจึงส่งยิ้มขออภัยให้อันซิ่วเอ๋อร์ แล้วหันไปต้อนรับลูกค้า อันซิ่วเอ๋อร์ก็หาได้ติดใจไม่ ไม่นานนัก ก็มีเด็กสาวแวะมาสอบถามสินค้าบนแผงของนางเช่นกัน พอสตรีผู้นั้นขายรองเท้าได้หนึ่งคู่ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ขายพู่ห้อยรูปก้อนทองได้หนึ่งชิ้นพอดี
เมื่อต่างฝ่ายต่างขายของได้ อารมณ์ก็พลอยเบิกบานขึ้น ทั้งสองจึงเริ่มสนทนากันอีกครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงมองสำรวจรองเท้าบนแผงของสตรีผู้นั้นด้วยความชื่นชม ไล่สายตาั้แ่รองเท้าปักลายไปจนถึงรองเท้าหัวเสือ สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่รองเท้าหุ้มข้อสำหรับบุรุษคู่หนึ่ง
นางใช่ว่าจะทำรองเท้าไม่เป็เสียเมื่อไร สมัยยังไม่ออกเรือน รองเท้าของทุกคนในบ้านล้วนเป็ฝีมือนางทั้งสิ้น เพียงแต่ตอนนั้น รองเท้าสำหรับใช้ในบ้าน เน้นความแข็งแรงเรียบง่าย รูปแบบเหมือนกันหมด ต่างแค่ขนาด
ปกติแล้ว หากไม่คิดจะซื้อ อันซิ่วเอ๋อร์ก็ไม่ค่อยกล้ามองสินค้านานนัก ด้วยเกรงจะถูกตำหนิว่าดูแล้วไม่ซื้อ แต่วันนี้เพราะพูดคุยกับสตรีผู้นี้ถูกคอ นางจึงถือโอกาสพินิจรองเท้าหุ้มข้อบุรุษคู่นั้นเป็พิเศษ
นางเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่า ส่วนสำคัญที่สุดของร่างกายคือเท้า หากเท้าอบอุ่น ร่างกายก็จะไม่เจ็บป่วยโดยง่าย จางเจิ้นอันต้องเดินเลียบแม่น้ำบ่อยครั้ง ซึ่งบริเวณนั้นมีความชื้นสูง น่าจะมีรองเท้าหุ้มข้อดีๆ สักคู่ไว้สวมใส่ ท่านพ่อของนางเองก็น่าจะ้าสักคู่เช่นกัน
ตอนนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้น เห็นทีจะใกล้ฤดูร้อนแล้ว แม้ฤดูร้อนอากาศจะร้อนอบอ้าว แต่ยามเช้าตรู่กลับเย็นสบาย ชาวนามักตื่นแต่เช้า ออกไปทำงานั้แ่ฟ้ายังไม่ทันสาง น้ำค้างยังไม่ทันจางหาย ทุกครั้งที่กลับมา ขากางเกงจึงมักเปียกชุ่ม หากได้สวมรองเท้าหนังดีๆ สักคู่ ก็คงไม่ต้องกังวลเื่นี้อีกต่อไป
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ่งมองก็ยิ่งชอบใจ อดไม่ได้ที่จะหยิบคู่นั้นขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง ยังไม่ต้องกล่าวถึงลวดลายปักอันประณีตงดงามบนตัวรองเท้า แค่ลองสอดมือเข้าไปััด้านในก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง พื้นรองเท้าทำจากไม้เนื้อดี ดูแข็งแรงทนทานกว่าพื้นรองเท้าที่ทำจากผ้าอัดหลายชั้น ทั้งยังกันน้ำได้ สวมแล้วคงจะสบายเท้ามากเป็แน่
"ท่านป้า รองเท้าคู่นี้มีวิธีทำอย่างไรหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ชื่นชอบมากจนอดเอ่ยถามไม่ได้ แต่ครั้นถามออกไปแล้วก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมนัก จะมีใครที่ไหนไปไต่ถามเคล็ดลับทำมาหากินของผู้อื่นกัน
เดิมทีนึกว่าป้าคนขายคงจะไม่ตอบ แต่ใครเลยจะรู้ นางกลับอธิบายให้อันซิ่วเอ๋อร์ฟังอย่างละเอียด "อันที่จริง รองเท้าคู่นี้ดูเหมือนทำยาก และมันก็ทำยากจริงๆ นั่นล่ะ พื้นรองเท้านี่ต้องให้สามีข้าช่วยทำให้ ต้องใช้เลื่อยฉลุพื้นรองเท้าให้เกิดร่องกันลื่นด้านล่าง ขัดด้วยกระดาษทรายจนเรียบ จากนั้นต้องใช้ตะปูชนิดพิเศษตอกนำให้เกิดรู เพื่อยึดแผ่นรองด้านในกับตัวรองเท้าเข้าด้วยกัน ขอเพียงทำส่วนพื้นนี่เสร็จ ส่วนอื่นๆ ก็ไม่นับว่ายากเท่าใดแล้ว"
"จริงด้วยเ้าค่ะ แค่ฟังก็รู้ว่าต้องใช้แรงมาก ข้าคงทำไม่ไหวเป็แน่ ขนาดเมื่อก่อนทำรองเท้าพื้นผ้าอัด ยังต้องให้ท่านแม่ช่วยเลย" อันซิ่วเอ๋อร์พิจารณารองเท้าคู่นั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะวางมันกลับที่เดิมอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเอ่ยถามขึ้นลอยๆ "ทำยากถึงเพียงนี้ ราคาคงแพงน่าดูนะเ้าคะ?"
"ไม่แพงหรอก คู่ละร้อยอีแปะเท่านั้น" สตรีผู้นั้นกล่าวพลางยิ้ม
อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากนิ่งไป ร้อยอีแปะ... หากนางขายของบนแผงได้ทั้งหมด ก็พอจะซื้อได้คู่หนึ่งอยู่หรอก แต่ปัญหาก็คือ นางยังต้องเก็บเงินไว้ใช้จ่ายซื้อของจำเป็อื่นๆ ด้วย คิดดังนั้นจึงได้แต่ตัดใจล้มเลิกความตั้งใจไป
ครู่ต่อมา บนถนนก็เริ่มมีผู้คนเดินขวักไขว่มากขึ้น แผงของอันซิ่วเอ๋อร์ตั้งอยู่่กลางถนนพอดี ผู้คนจึงยิ่งพลุกพล่าน สินค้าของพวกนางเป็งานฝีมือสำหรับสตรี จึงมีลูกค้าแวะเวียนมาถามไถ่ไม่ขาดสาย ทำให้ทั้งคู่ไม่มีเวลาได้สนทนากันอีก
ของที่อันซิ่วเอ๋อร์ทำนั้นประณีตงดงาม ราคาก็สมเหตุสมผล คนทั่วไปจึงพอจะตัดสินใจซื้อหาได้ไม่ยาก อีกทั้งนางยังช่างเจรจา ใครซื้อผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง นางก็มักจะแถมเชือกถักให้เส้นหนึ่งเป็ของกำนัล ด้วยเหตุนี้ สินค้าบนแผงจึงขายออกไปเกือบหมดในเวลาอันรวดเร็ว
ภาพนี้ทำให้แม่ค้าขายรองเท้าและแม่ค้าขายแผ่นรองรองเท้าที่อยู่ข้างๆ อดนึกอิจฉาไม่ได้ โดยเฉพาะสตรีที่ขายแผ่นรองรองเท้า นางตั้งแผงมาเนิ่นนาน มีคนเข้ามาสอบถามมากมาย แต่กลับยังขายไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว
สาเหตุหลักก็เพราะแผ่นรองรองเท้านั้นทำได้ง่ายดายเกินไป เพียงมีเศษผ้าก็สามารถทำขึ้นได้แล้ว ชาวบ้านชนบทส่วนใหญ่มักไม่ยอมเสียเงินซื้อของเช่นนี้ ส่วนคนในเมืองก็มักจะทำใช้กันเอง หรือหากเป็ครอบครัวที่พอมีฐานะ ก็มักจะมีบ่าวรับใช้ที่ทำงานฝีมือเป็อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีผู้ซื้อน้อยมาก
อันซิ่วเอ๋อร์นั่งขายอยู่ครู่ใหญ่ สินค้าบนแผงก็ถูกบรรดาเด็กสาวซื้อไปเกือบหมดสิ้น เมื่อเห็นว่าจางเจิ้นอันยังไม่กลับมา นางจึงชะเง้อมองหาเขาตามเส้นทางที่เขาจะกลับมา
ยังไม่ทันเห็นร่างของจางเจิ้นอัน นางกลับเห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมชุดผ้าฝ้ายสีคราม บนศีรษะโพกผ้า กำลังเดินไล่เก็บเงินจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าอยู่ อันซิ่วเอ๋อร์ไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน จึงรู้สึกแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะหันไปถามสตรีคนขายรองเท้าข้างๆ "ท่านป้าเ้าคะ คนผู้นั้นเขากำลังทำอะไรอยู่หรือ?"
"เก็บค่าคุ้มครองน่ะสิ" พอเห็นชายผู้นั้น แววตาของสตรีขายรองเท้าก็ฉายประกายหวาดหวั่นระคนรังเกียจออกมา พอได้ยินคำถามของอันซิ่วเอ๋อร์ สตรีคนขายแผ่นรองรองเท้าอีกข้างก็สบถด่าขึ้นทันที "พวกปลิงดูดเื! แม้แต่เงินเล็กน้อยที่พวกเราหามาด้วยความยากลำบาก พวกมันก็ยังไม่เว้น!"
"เป็คนของทางการหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงไม่เข้าใจนัก เพราะครั้งก่อนที่นางมา ยังไม่มีการเก็บค่าคุ้มครองเช่นนี้เลย
"ที่ไหนกันเล่า! พวกนักเลงหัวไม้แถวนี้นั่นแหละ ได้ยินว่า่นี้พวกมันเพิ่งตั้งกลุ่มอะไรขึ้นมาใหม่ ก็เลยพากันมาไล่เก็บเงินจากพวกเรา" สตรีคนขายรองเท้าอธิบาย นางมาขายของที่นี่เป็ประจำ จึงค่อนข้างรู้เื่ราวเหล่านี้ดี
"แล้วทางการไม่เข้ามาจัดการหรือเ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ยิ่งไม่เข้าใจ นางเคยได้ยินว่าโลกภายนอกนั้นวุ่นวาย แต่เมืองเล็กๆ แห่งนี้สงบสุขมาโดยตลอด การที่จู่ๆ มีกลุ่มอันธพาลผุดขึ้นมาเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
"ทางการที่ไหนจะมาสนใจเื่หยุมหยิมเช่นนี้ ก็พวกเดียวกันทั้งนั้นแหละ!" สตรีคนขายรองเท้าแค่นเสียงเ็า ใบหน้ากลมๆ ที่ปกติมักดูใจดี บัดนี้กลับบึ้งตึงจนน่ากลัว ทุกครั้งที่ต้องเสียเงินหนึ่งอีแปะไปโดยเปล่าประโยชน์ นางย่อมรู้สึกขุ่นเคืองเป็ธรรมดา
ทว่า พออันธพาลผู้นั้นเดินมาถึงหน้าแผง นางกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็ยิ้มแย้มในทันที รีบยื่นเงินส่งให้ก่อนเป็คนแรก ทั้งยังกล่าวประจบเอาใจว่า "นายท่านคอยดูแลความสงบเรียบร้อยให้พวกเราที่นี่ คงจะลำบากแย่เลยนะขอรับ"
พอได้ยินคำพูดเอาอกเอาใจเช่นนั้น สีหน้าของอันธพาลก็ดูดีขึ้นมาก เขารับเงินไปแล้วกล่าวว่า "นับว่าเ้ารู้ความ หากมีผู้ใดมาก่อเื่วุ่นวายในถนนสายนี้ ก็ไปแจ้งพวกข้าได้"
"เ้าค่ะๆ ขอบพระคุณนายท่านเ้าค่ะ แต่หากไม่มีเื่อันใด พวกเราไหนเลยจะกล้ารบกวนนายท่านเล่า" สตรีคนขายรองเท้าช่างเจรจาเสียจริง อันธพาลผู้นี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่อันธพาลเต็มตัวนัก รับเงินแล้วก็เดินจากไป ไม่ได้หยิบฉวยข้าวของหรือก่อกวนอันใดเพิ่มเติม
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นทุกคนล้วนจ่ายเงินแต่โดยดี พอถึงคราวนาง นางจึงยื่นเงินหนึ่งอีแปะออกไปเงียบๆ อันธพาลรับเงินแล้วก็ไม่ได้เอ่ยว่ากระไร เพียงเดินต่อไปยังแผงถัดไป อันซิ่วเอ๋อร์มองตามไป พบว่าแม้แต่ขอทานริมถนน เขาก็ยังตามไปเก็บเงินหนึ่งอีแปะ แต่ก็นับว่ายังคงทำตามกฎเกณฑ์ ขอเพียงจ่ายเงิน ก็จะไม่หาเื่วุ่นวาย
เมื่อเห็นดังนี้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ถือเสียว่าจ่ายเงินซื้อความสงบ หนึ่งอีแปะนี่ แค่นางขยันถักเชือกเพิ่มอีกสักเส้นก็ได้คืนแล้ว
นางก้มหน้าลง กำลังจะหยิบงานในมือขึ้นมาทำต่อ แต่พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ก็เห็นจางเจิ้นอันยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว เขายังคงหิ้วกระบุงปลา ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "ไอ้คนเมื่อครู่มันมาทำอะไร? มารังแกเ้ารึ?"
"ไม่มีอะไรเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เกรงว่าเขาจะผลีผลามเข้าไปมีเื่กับคนเ่าั้ จึงรีบอธิบาย "เขาบอกว่าเป็คนมาเก็บค่าคุ้มครองน่ะเ้าค่ะ ทุกคนในถนนสายนี้ต้องจ่ายคนละหนึ่งอีแปะ"
"อ้อ" จางเจิ้นอันเพียงขานรับเสียงเรียบ แล้วเดินอ้อมแผงไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังนาง ถามว่า "ยังขายไม่หมดอีกรึ?"
"ยังเหลืออีกเล็กน้อยเ้าค่ะ ท่านรอข้าสักครู่นะเ้าคะ เดี๋ยวถ้ายังขายไม่หมด ข้าว่าจะนำไปฝากขายที่ร้านด้านใน" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบ จางเจิ้นอันจึงวางกระบุงปลาในมือลง แล้วยืนรออยู่ข้างหลังนางอย่างเงียบๆ
"แม่หนู นี่ใช่สามีเ้ารึ..." สตรีคนขายรองเท้าข้างๆ เอ่ยถามขึ้น
"คงเป็คนอื่นกระมัง แม่หนูยังสาวหน้าตาสะสวยเพียงนี้ จะไปแต่งกับชายเช่นนี้ได้อย่างไร" สตรีคนขายแผ่นรองรองเท้าอีกข้างได้ยินเข้าก็พูดแทรกขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
"นี่สามีข้าเองเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์รีบแก้ต่าง "เขาดูมีอายุไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วยังไม่แก่หรอกเ้าค่ะ"
ป้าคนขายแผ่นรองรองเท้าได้ฟังดังนั้นจึงเงียบไป ส่วนสตรีคนขายรองเท้ารีบส่งยิ้มให้จางเจิ้นอันอย่างขอโทษ
"เอ่อ...สามีเ้าดูแข็งแรงกำยำดีนะ อยู่กับเขา เ้าคงไม่อดอยากเป็แน่" สตรีคนขายรองเท้าสมกับเป็แม่ค้า รู้ตัวว่าพูดไม่เข้าหูเข้าแล้ว จึงรีบหาคำพูดดีๆ มาแก้ต่าง
"แน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ สามีข้าเก่งจะตายไป" อันซิ่วเอ๋อร์กลับยืดอกรับคำชมนั้นอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็ลงมือเก็บผ้าปูพื้นและข้าวของบนแผง กล่าวลาว่า "ขอให้ท่านป้าทั้งสองขายดีๆ นะเ้าคะ ข้าขอตัวก่อนล่ะ"
"เออๆ ไปเถอะจ้ะ" ทั้งสองคนก็ไม่ได้เอ่ยรั้ง เพราะอันซิ่วเอ๋อร์ไปแล้ว แผงของพวกนางก็จะได้ขยับขยายให้กว้างขึ้นอีกหน่อย อีกอย่าง การมีจางเจิ้นอันยืนทะมึนอยู่ตรงนี้ ก็ทำให้พวกนางรู้สึกอึดอัดอยู่ไม่น้อย
"เพราะข้ามา เ้ารีบเก็บของเลยรึ?" จางเจิ้นอันลูบจมูกเบาๆ เดินเคียงข้างอันซิ่วเอ๋อร์ไป
"ก็ใช่น่ะสิเ้าคะ ไม่อยากให้ท่านต้องรอนาน ของที่เหลือนี่ ข้าเอาไปฝากขายที่ร้านก็ได้" อันซิ่วเอ๋อร์มือหนึ่งถือห่อผ้า อีกมือจูงใจแน่วแน่ นางมุ่งหน้าไปยังร้านเ้าประจำด้วยรอยยิ้มมั่นใจ
