มาเยี่ยมพี่สาวข้าหรือ ญาติก็ไม่ใช่สหายก็ไม่เชิง เ้ามีเจตนาอะไรกันแน่?” กู้เหยาพูดอย่างไม่เกรงใจ
“เ้า” องค์หญิงสิบเอ็ดรู้สึกเสียหน้ามาก นางคิดจะหันหลังกลับทันที แต่พอนึกถึงความเ็าของท่านพี่รัชทายาทและท่านพี่ห้าที่มีต่อนาง นางจึงชะงักเท้าก่อนกล่าวกับคนตระกูลเสิ่นด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “พวกเ้าออกไปก่อนเถอะ”
“องค์หญิง ท่านมาเยี่ยมฮูหยินน้อยเสิ่นนะเพคะ” หมัวมัวกล่าวเตือน นางร้องโอดครวญอยู่ในใจ องค์หญิงพูดไม่เป็เอาเสียเลย
“อ้อ ใช่ พวกเ้าอยู่ก่อน” องค์หญิงสิบเอ็ดเพิ่งจะตระหนักได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นี้ของนางไม่เหมาะสม นางหันไปเอ่ยสั่งกับหมัวมัวคนสนิทว่า “เ้าเอาเก้าอี้ไปวางไว้ข้างฮูหยินน้อยเสิ่นให้เปิ่นกงจู่ก็พอ”
“เพคะ” กู่หมัวมัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก
กู้เจิงมองเก้าอี้ม้านั่งที่โผล่มาอยู่ข้างตัวนางโดยไม่มีสาเหตุ องค์หญิงสิบเอ็ดคิดจะทำอะไร?
องค์หญิงสิบเอ็ดมาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหัน ครอบครัวตระกูลเสิ่นที่ไม่เคยได้เข้าเฝ้าคนจากในวังล้วนทำตัวไม่ถูก พวกเขาจึงค่อยๆ เลี่ยงตัวออกไป
นายหญิงเสิ่นส่งสายถามลูกชาย เสิ่นเยี่ยนเข้าใจความใน เขากล่าวบอกเสียงต่ำว่า “ไม่เป็ไรหรอกขอรับ ท่านพ่อท่านแม่ทำตัวเป็ปกตินั่นแหละ”
“จ้าวหยวนหนิง เ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” กู้เหยาถามขึ้นตรงๆ
องค์หญิงสิบเอ็ดนั่งลงอย่างเรียบร้อย นางมองกู้เหยาพลางยิ้มเยาะ “ข้ามาพบกู้เจิง ไม่ได้มาพบเ้า เ้าไม่ต้องมาคุยกับข้า”
“ใครอยาก...” เสียงของกู้เหยาหยุดลงเพราะถูกสายตาของกู้เจิงห้ามไว้
องค์หญิงสิบเอ็ดมีดวงตาหงส์คู่งาม กู้เจิงสังเกตเห็นว่าท่าทางขององค์หญิงสิบเอ็ดไม่ได้จองหองและดูแคลนนางเหมือนแต่ก่อน แต่นางกลับมีท่าทีที่ไม่เป็ธรรมชาติอยู่บ้าง “ไม่ทราบว่าองค์หญิงเสด็จมาด้วยเื่อันใดหรือเพคะ?”
“แม้ว่าข้าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับฟู่ผิงเซียง แต่ข้าไม่ได้เป็คนออกคำสั่งให้ใครมาทำร้ายเ้า” องค์หญิงสิบเอ็ดขบกรามแน่น นางมองกู้เจิงตรงๆ “ข้ากับเ้า ญาติก็ไม่ใช่มิตรสหายก็ไม่เชิง และไร้บุญคุณความแค้นต่อกัน เ้าอาจจะคิดว่าข้าร่วมมือกับฟู่ผิงเซียง แต่ที่จริงแล้วข้าไม่รู้เื่ด้วยเลย”
“หม่อมฉันทราบว่าเื่นี้องค์หญิงไม่ได้เป็คนทำเพคะ” กู้เจิงกล่าว
“จริงหรือ?” ดวงตาขององค์หญิงสิบเอ็ดเป็ประกาย
กู้เจิงพยักหน้า “หม่อมฉันรู้ว่า องค์หญิงจะไม่ลดตัวลงมายุ่งกับเื่สกปรกแบบนี้หรอกเพคะ”
“นั่นก็ใช่ ถ้าไม่ใช่เพราะฟู่ผิงเซียงมักจะพูดถึงเ้าข้างหูข้าอยู่ตลอด เปิ่นกงจู่ก็ใช่ว่าจะแลเ้า” องค์หญิงสิบเอ็ดดีใจมากที่กู้เจิงเข้าใจนาง
กู้เจิง “...”
กู่หมัวมัวที่อยู่ข้างๆ ได้ยินดังนั้นก็รีบกระตุกแขนเสื้อเพื่อเตือนองค์หญิง
“องค์หญิงกับน้องสี่ของข้ามีนิสัยคล้ายกันมากเลยนะเพคะ” กู้เจิงพูดยิ้มๆ เมื่อก่อนนางรู้สึกว่าองค์หญิงสิบเอ็ดมีความสุขุมอยู่หลายส่วน แต่ตอนนี้ดูแล้วองค์หญิงก็เป็เหมือนเด็กที่แสดงออกอย่างตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ช่างน่าแปลกจริงๆ ทั้งกู้เหยาและองค์หญิงต่างมีนิสัยที่คล้ายกันเช่นนี้น่าจะเป็เพื่อนที่ดีต่อกันได้ เหตุใดถึงได้ไม่ถูกกันขึ้นมา
“จะเป็ไปได้ยังไง?” องค์หญิงสิบเอ็ดและกู้เหยาต่างพูดเป็เสียงเดียวกัน ก่อนจะตวัดหน้าไปคนละทาง
“กลิ่นอะไร หอมจังเลย” องค์หญิงสิบเอ็ดสูดจมูกดมตามกลิ่น
ชุนหงใร้องขึ้น “อ๊ะ ข้าเผามันเทศไว้” นางรีบวิ่งไปที่หลังบ้าน
“มันเทศเผาหรือ? ดีจริง” กู้เหยารีบเดินตามชุนหงไปอย่างตื่นเต้น
“มันคืออะไรกัน?” องค์หญิงสิบเอ็ดสงสัย นางมีชีวิตอยู่แต่ในวังหลวง ทุกอย่างข้างนอกล้วนเป็สิ่งแปลกใหม่ กลิ่นมันเทศเผานี้ก็เป็ครั้งแรกที่นางเคยได้กลิ่นแบบนี้
ความจริงแล้วกู้เจิงเองก็ไม่ได้มีใจที่จะเจ็บแค้นองค์หญิงสิบเอ็ดผู้นี้ นางจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “มันเทศเผาเป็ของกินเล่นชนิดหนึ่งเ้าค่ะ กินตอนร้อนๆ จะทั้งหอมทั้งหวาน เหมาะที่สุดที่จะกินในวันที่อากาศหนาวเช่นนี้ ถ้าองค์หญิงไม่ทรงรังเกียจจะลองชิมดูก็ได้นะเพคะ”
“จริงหรือ? ในเมื่อเ้าเชิญข้าแล้ว ข้าก็จะลองชิมดู” พูดจบ นางก็เดินไปทางหลังบ้าน กู่หมัวมัวรีบตามไป
ชั่วขณะนั้น บริเวณทางเดินเหลือเพียงกู้เจิงกับแม่เฒ่าฉินสองคน
กู้เจิงเห็นเสิ่นเยี่ยนที่อยู่กลางลานบ้านมองมาทางตน ก็ส่งยิ้มหวานให้
“คุณหนูใหญ่ บ่าวขอไปดูคุณหนูสี่กับองค์หญิงนะเ้าคะ หากทะเลาะกันขึ้นมา เกรงว่าจะแย่แน่” แม่เฒ่าฉินกล่าว
“ได้สิ”
แต่ทั้งองค์หญิงสิบเอ็ดและกู้เหยาต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน แม้บางครั้งจะมีการถกเถียงกันบ้าง แต่ก็ผ่านไปด้วยดี จนกระทั่งถึงยามไฮ่* ทั้งคู่จึงจากไปโดยมีแม่เฒ่าฉินและกู่หมัวมัวคอยเร่งเร้า
(*คือเวลา 21.00 น. – 23.00 น.)
กลางดึก ดอกไม้ไฟส่องสว่างไปทั่วเมืองต้าเยว่ เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็โลกสีทองระยิบระยับ
กู้เจิงนึกถึงบทกวีขึ้นบทหนึ่ง ‘โต๊ะหยก คืนงานโคม’ ของซิ่นฉีจีที่ว่า ‘ลมบูรพายามราตรีพัดพันบุปผาไหว กลีบก้านใบร่วงโรยรายดุจสายฝน*’ เมื่อดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็เหมือนกับการโปรยปรายดุจสายฝนมิใช่หรือ?
(*หมายถึง ฉากโคมลอยไปทั่วทุกสารทิศ เหมือนกับดอกไม้นับพันที่ร่วงโรย)
ดอกไม้ไฟอันสุดท้ายที่ตระกูลเสิ่นเตรียมไว้ถูกนำไปจุด เสิ่นเยี่ยนทำหน้าที่จุดไฟ โดยมีทุกคนในครอบครัวยืนลุ้นมองอยู่ ยามที่ดอกไม้ไฟเปล่งประกายอยู่กลางท้องฟ้า สีหน้าของสองแม่ลูกดูเฉยเมย แต่นายท่านเสิ่นดูมีความสุขราวกับเด็กๆ กู้เจิงฉีกยิ้มอย่างตื่นเต้น ส่วนชุนหงยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ นางะโโลดเต้นไม่หยุด
ก่อนนอนทุกคนล้วนได้กินเกี๊ยวแปดลูก และนอนหลับเต็มอิ่ม
เช้าวันแรกของวันปีใหม่ กู้เจิงกับเสิ่นเยี่ยนนอนกันจนตะวันโด่ง ยามแสงอาทิตย์ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง พวกเขาถึงได้ตื่นจากการหลับใหล
เมื่อกู้เจิงตื่นขึ้นมาเห็นเสิ่นเยี่ยนยืนแต่งตัวอยู่ในห้อง นางก็อึ้งเล็กน้อย นางไม่ค่อยชินกับการเห็นชายคนนี้ในยามเช้าตรู่ เพราะเขามักไปทำงานแต่เช้าก่อนนางจะตื่น
เห็นภรรยามองมาที่เขาอย่างนิ่งอึ้ง เสิ่นเยี่ยนจึงถามเสียงเรียบ “เป็อะไรหรือ?”
“ไม่ค่อยชินกับการตื่นมาเจอท่านแต่เช้าน่ะเ้าค่ะ” กู้เจิงพูดตามความจริง นางลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าบ้าง
“คุณหนู ท่านบุตรเขย บ่าวยกน้ำมาให้เ้าค่ะ” เสียงชุนหงดังขึ้นจากนอกห้อง
“เข้ามาเถอะ”
เช้าวันแรกของปีใหม่ เป็วันที่สตรีที่ออกเรือนไปแล้วจะต้องกลับไปที่บ้านของตนเอง ตอนที่กู้เจิงล้างหน้าล้างตาเสร็จก็เห็นแม่สามีเตรียมของที่เอาไว้ให้นางนำกลับไปที่จวนแล้ว ล้วนเป็ของที่ทำเอาเอง เช่น ปลาแห้ง กุ้งแห้ง ฟักทองแห้ง และขนมเข่งรวมถึงของเล็กๆ น้อยๆ มากมาย
อาหารเช้าวันนี้เป็เกี๊ยวหมูที่นายหญิงเสิ่นห่อไว้ กู้เจิงคนเดียวก็กินไปสิบห้าชิ้นแล้ว ที่จริงนางอยากจะกินเพิ่มอีก แต่ถูกนายหญิงเสิ่นห้ามไว้ก่อน เพราะกลัวว่านางจะอาหารไม่ย่อย
“อาเยี่ยน อาเจิง นี่คือเงินยาซุ่ย* ของพวกเ้า” นายท่ายเสิ่นยื่นถุงเงินสองใบให้เสิ่นเยี่ยนกับกู้เจิง
(*หรือที่คนไทยเรียกว่า เงินอั่งเปา เป็เงินที่ให้ในวันตรุษจีน)
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่เ้าค่ะ”
“ขอบคุณท่านพ่อท่านแม่ขอรับ”
กู้เจิงพลิกดูถุงเงินอย่างเบิกบานใจ นางอดอุทานออกมาไม่ได้ “เป็ถุงเงินที่สวยจริงๆ” หลังจากหยิบเศษเงินออกไปแล้ว กู้เจิงก็พลิกด้านในของถุงออกมาดู “ปักสองด้านหรือ?”
“ภรรยาข้ารีบทำมันเมื่อสองวันก่อน” นายท่านเสิ่นพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ท่านแม่ เมื่อไหร่ท่านจะสอนข้าบ้างเ้าคะ” กู้เจิงชอบถุงเงินใบนี้มาก นางผูกมันเอาไว้กับเอว
“เ้าอยากเรียนเมื่อไหร่ก็มาบอกข้าแล้วกัน” นายหญิงเสิ่นยิ้ม “นี่ก็สายแล้ว พวกเ้าควรไปได้แล้ว”
ขณะที่สองสามีภรรยาเสิ่นกำลังส่งกู้เจิงขึ้นรถม้า ก็มีเพื่อนบ้านเดินเข้ามาพูดคุย “แม่นางเสิ่น แม่นางเสี่ยวชินกำลังคลอด เบ่งมาตลอดทั้งคืนแล้ว ได้ยินว่าคลอดยากนัก เ้าอยากจะไปดูกับข้าหรือไม่?”
“เชิญหมอมาแล้วหรือยัง?” นายหญิงเสิ่นมีสีหน้าเป็ห่วง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“พวกเ้ารีบไปกันเถอะ ข้าจะไปดูที่บ้านของเสี่ยวชินสักหน่อย” นายหญิงเสิ่นหันมาบอกกับกู้เจิงและเสิ่นเยี่ยนเสร็จก็เดินไปกับเพื่อนบ้านคนนั้น
“การคลอดบุตรของสตรีนั้นถือเป็ก้าวสู่ประตูนรกเชียวนะ” นายท่านเสิ่นทำหน้าหวาดผวา คล้ายเคยประสบพบเจอมาก่อน เขาพูดกับลูกชายและลูกสะใภ้ว่า “เสี่ยวเจาเด็กคนนั้นเป็คนกตัญญู ทั้งยังทำงานให้พวกเรามาตลอด ข้าเองก็จะไปดูเหมือนกัน”
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า
“เสี่ยวเจาคือเด็กที่เลี้ยงวัวให้บ้านเรามาตลอดหรือเ้าคะ?” ในเมื่อพ่อสามีบอกว่าทำงานให้บ้านเรามาตลอด กู้เจิงคิดไปคิดมา คนที่มีความเป็ไปได้ก็มีแค่เด็กเลี้ยงวัวคนนั้น
เสิ่นเยี่ยนพยักหน้า “เป็เด็กคนนั้นแหละ”
“ที่แท้เขาชื่อเสิ่นเจานี่เอง เป็ชื่อที่ดีจริงๆ เ้าค่ะ” ชุนหงกล่าว
“เขาไม่ได้แซ่เสิ่น เขาแซ่สวี่” เสิ่นเยี่ยนประคองกู้เจิงขึ้นรถม้า ครั้งนี้ไม่ได้ให้ชุนหงเป็สารถี แต่เป็ตัวเขาเอง ทว่ากู้เจิงไม่ชอบนั่งข้างใน จึงออกมานั่งกับเสิ่นเยี่ยนข้างนอกรถ
ชุนหงไหนเลยจะกล้านั่งข้างในรถได้ ร่างเล็กของนางจึงนั่งติดอยู่ด้านหลังกู้เจิง
“ตระกูลสวี่ไม่ใช่ตระกูลใหญ่ มีเพียงครอบครัวหนึ่งถึงสองครอบครัว ฐานะทางบ้านก็ยากจน บางครั้งอาหารสามมื้อต่อวันก็ยากที่จะได้กิน ท่านแม่เห็นอาเจาชอบอ่านหนังสือ จึงช่วยดูแลทางบ้านเขา” เสิ่นเยี่ยนเล่าให้ฟังขณะขับรถ