Chapter 25
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“สวัสดีค่ะ”
เสียงเล็กพยายามะโให้คนในกระท่อมได้ยิน แต่มันกลับแ่เบา เวลาผ่านไปหลายวินาทีแต่ยังไม่มีใครมาเปิดประตู แซ็กคารีในร่างหญิงสาวจึงเคาะประตูเก่า ๆ อีกครั้ง
“สวัสดีค่ะ ฉันคือ… เ้าหน้าที่จากมูลนิธิเด็กยากไร้ค่ะ”
มูลนิธิแห่งนี้มีอยู่จริง แต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ซึ่งตอนนี้เขาไม่รู้ว่ามันปิดตัวลงหรือเปลี่ยนชื่อไปแล้วหรือไม่ แต่สำหรับคนยากจนที่อาศัยในกระท่อมชั้นล่างสุดของกำแพง ใต้สายตาของหน่วยงานที่ควรเข้ามาช่วยเหลือเช่นนี้ คงดีใจที่มีมูลนิธิสักอย่างหนึ่งมาเคาะประตูบ้านด้วยภาพลักษณ์ที่เป็มิตร แซ็กคารีหวังว่าหญิงในกระท่อมจะคิดอย่างนั้น
เสียงตึงตังดังจากด้านในอยู่สักพัก ตามด้วยเสียงเด็กทารกร้องไห้ดังออกมา ทำให้แซ็กคารียิ้มเอ็นดู ริมฝีปากเป็กระจับสวยในร่างที่ไฮเดนมอบให้ประดับบนใบหน้าหวานงดงาม เมื่อประตูเปิดจากด้านใน หญิงยากจนในชุดกันหนาวเก่า ๆ ที่อุ้มทารกในอ้อมแขนพร้อมโยกตัวเบา ๆ จึงได้เห็นรอยยิ้มน่ารักนั้น
“สวัสดีค่ะ ฉันเป็เ้าหน้าที่จากมูลนิธิเด็กยากไร้ ได้ยินว่ามีเด็กน้อยอยู่ที่นี่น่ะค่ะ”
เสียงเล็กเอ่ยอย่างเขินอาย มือข้างขวายกขึ้นจับเส้นผมยาวสีน้ำตาลทัดหู หญิงสาวก้มหัวเล็ก ๆ อย่างนอบน้อมขณะแนะนำตัว กิริยาท่าทางเช่นนี้มาพร้อมกับความสามารถในการแปลงกายของเทพไฮเดน ผสมรวมกับประสบการณ์ที่แซ็กคารีสะสมมา
“คงไม่ได้มาเพื่อเอาลูกฉันไปหรอกนะ” หญิงอุ้มทารกในอ้อมแขนเบี่ยงตัวไม่ให้แซ็กคารีเห็นเด็กน้อย แววตาของเธอยังคงหวาดระแวงคนแปลกหน้า
“ไม่ใช่นะคะ คือว่าฉัน…” แซ็กคารีคิดข้อแก้ตัวไม่ออก แล้วเหลือบเห็นเสื้อกันหนาวตัวหนาที่เด็กน้อยสวมอยู่พอดี
“เสื้อตัวนี้… เหมาะกับลูกของคุณมากเลยนะคะ สวมพอดีหรือเปล่า” ทันใดนั้น แววตาหวาดระแวงก็เป็ประกาย
“คุณคือซานตาคลอสเหรอ ใช่ไหม ในคืนวันคริสต์มาส”
“อ้อ คือ… จะเรียกอย่างนั้นเหรอคะ ฉันแค่เอาของขวัญมาให้ ขอโทษที่เสียมารยาทแล้ววางทิ้งไว้ดื้อ ๆ แบบนี้นะคะ”
“แค่คุณตั้งใจเอามาให้แมรี่ก็พอแล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ฉันนึกว่าแมรี่จะผ่านฤดูหนาวนี้ไปไม่ได้เสียแล้ว”
หญิงผู้เป็มารดาแย้มยิ้มกว้าง ดวงตาเธอกล่าวคำขอบคุณจากใจเช่นเดียวกับเสียงจากริมฝีปาก
“ฉันเอานี่มาให้ค่ะ” แซ็กคารีหยิบกระเป๋าผ้าขนาดใหญ่ที่บรรจุของในนั้นจนแทบล้นขึ้นระดับสายตาของเธอ
“ในนี้มีนมผง ขวดนม ผ้าอ้อม ของเล่น แล้วก็—” เสียงเล็กยังไล่รายการของที่อัดแน่นในกระเป๋าไม่จบ ลมหนาวก็พัดพาเข้ามาชวนให้ใจหวิว หญิงผู้เป็มารดากอดลูกน้อยแนบอกแน่น
“เข้ามาคุยข้างในดีไหมคะคุณ”
“ดีเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ”
หญิงสาวแย้มยิ้มกว้างเพราะรอคอยคำชวนมานาน เธอก้าวเท้าเข้าไปด้านในกระท่อมเก่าทันทีที่เ้าของกระท่อมเบี่ยงตัวหลบทางให้ แม้ประตูปิดสนิทแล้ว แต่ความหนาวเย็นภายในกระท่อมกลับแตกต่างจากด้านนอกแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“นั่งรอตรงนี้ก่อนนะคะ ฉันจะเติมฟืนให้ก่อน”
เธอโบกมือให้แขกนั่งลงที่พื้นพรมหน้าเตาผิง หญิงผู้เป็มารดาไม่เคยรับแขกมาก่อนเธอจึงวิ่งวนอย่างสับสน และวางทารกตัวน้อยลงในตะกร้ารองด้วยเบาะยัดนุ่นกับผ้าห่มอุ่น ๆ แทนเปลเด็ก ซึ่งตะกร้าใบนี้เมื่อมีทารกอายุหนึ่งปีนอนอยู่ก็แทบเต็ม หนูน้อยแมรี่ตัวใหญ่เกินไปสำหรับมันแล้ว
ระหว่างที่เ้าของกระท่อมเก่าวิ่งวุ่นหาฟืนมาเติมเตาผิงให้อุ่นขึ้นอีก แซ็กคารีในร่างหญิงสาวจึงได้สบตากับหนูน้อยแมรี่ ดวงตาของทารกกลมโตสีน้ำตาลอ่อน ยิ่งเปล่งประกายเป็สีทองเมื่อแสงจากเปลวไฟตกกระทบ แก้มสองข้างเป็สีนวลกลมน่าเอ็นดู ปลายจมูกกลม ๆ เป็สีแดง
แมรี่ กริฟฟินคือเหลนของเอเดน กริฟฟิน เขาคือทวดของทวดของทวดเด็กน้อยคนนี้ ซาตานในร่างหญิงสาวที่มีความทรงจำชาติก่อนเต็มเปี่ยมแย้มยิ้มกว้างหยอกล้อกับเด็กตากลมใสแป๋วในตะกร้า หนูน้อยแมรี่ขยับแขนขาตอบอย่างร่าเริง เผยอปากเล็ก ๆ ที่แซ็กคารีคิดเข้าข้างตัวเองว่าเด็กน้อยกำลังยิ้มให้
“ขอโทษทีนะคะ อุ่นพอหรือเปล่า”
“ฉันอุ่นแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ส่วนหญิงตรงหน้าก็เป็ทายาทของกริฟฟินเช่นกัน เธอคือมาร์ธา กริฟฟิน เหลนอีกรุ่นหนึ่งของเอเดน ซาตานในร่างหญิงสาวจึงมองใบหน้าของเธอให้ชัดเจนด้วยหลากหลายความรู้สึก ที่ความรู้สึกผิดดำเข้มจนโดดเด่นชัดเจนที่สุด
“ทารกตัวโตเร็ว ฉันเลยรีบนำมาให้เพิ่มค่ะ” แซ็กคารีเลื่อนกระเป๋าผ้าให้เธออีกครั้ง มาร์ธารับมันไปด้วยรอยยิ้ม ดวงตาเป็ประกายด้วยม่านน้ำตา ริมฝีปากที่ยกขึ้นเริ่มบิดเบี้ยวเพราะกลั้นร้องไห้
“ขอบคุณจริง ๆ ไม่เคยมีใครมองเห็นพวกเราเลย ขอบคุณ”
น้ำตาหนึ่งหยดไหลจากดวงตาของมาร์ธา เมื่อเธอเปิดกระเป๋าและเห็นกล่องนมผงสำหรับเด็กทารก พร้อมขวดนม เพราะหนึ่งปีที่ผ่านมาั้แ่หนูน้อยแมรี่เกิด สามีของเธอต้องทำงานหาเงินอย่างยากลำบากเพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับค่านมให้ลูก ส่วนตัวเธอเองกับสามีพึ่งพาพืชผลที่สามีเก็บได้จากนอกกำแพง
ไม่เคยมีหน่วยงานใดมองเห็นกลุ่มคนยากจนที่อาศัยอยู่ชั้นล่างสุดของกำแพงสูงแห่งนี้ เพราะพื้นที่ตรงนี้มีกฎหมายห้ามสร้างที่พักอาศัย เนื่องจากอยู่ใกล้รางรถไฟขนส่งสินค้าจึงอาจเกิดอันตรายได้ทุกเมื่อ แต่ยังคงมีคนยากจนไร้ทางเลือกแอบสร้างกระท่อมเล็ก ๆ อยู่ เพราะไม่มีเงินพอเช่าบ้านชั้นบนแม้เป็แค่ห้องแคบก็ตาม
เมื่อที่อยู่ของพวกเขาผิดกฎหมาย ความเป็อยู่และคุณภาพชีวิตของพวกเขาจึงอยู่หลังความถูกต้อง ที่คนชั้นบนของกำแพงต้องโต้เถียงกันไปมาว่าพวกเขาทำผิดหรือทำถูก เมื่อยังไม่ได้ข้อสรุปแน่นอนจึงเงียบหายและคนแกล้งลืมพวกเขาไป ความช่วยเหลือจึงไม่เคยมาถึงอย่างจริงจัง มีแต่แซ็กคารีเท่านั้นที่มองเห็นพวกเขา และเห็นกระท่อมเก่า ๆ โดยรอบด้วย
“ฉันกลัวแต่ว่ามันจะเป็ของคนอื่น ตอนที่สวมให้ลูกก็กังวล แต่ชีวิตหนูแมรี่สำคัญกว่าเื่อย่างนั้น” มาร์ธาจับเสื้อกันหนาวที่แซ็กคารีมอบให้เมื่อคืนวันคริสต์มาส ซึ่งหนูน้อยแมรี่สวมได้พอดี
“คุณทำถูกแล้วนะคะ”
ความเงียบเข้ามาเช็ดน้ำตาของความซาบซึ้งให้มาร์ธาจนแห้ง เธอสะบัดหน้าเบา ๆ แล้วยิ้มมองหญิงสาวใจดีที่กลายเป็ซานตาคลอสของครอบครัวเธอ โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วคือทวดของเธอเอง
“คุณชื่ออะไรคะ”
“อ้อ… ฉันลิลลี่ค่ะ” ชื่อผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด คือคุณยายลิลลี่ แม่นมของเขาเมื่อชาติก่อนผุดขึ้นมาในหัวเป็ชื่อแรก มาร์ธาขมวดคิ้วแปลกใจเล็กน้อยที่ตอบเพียงชื่อสั้น ๆ
“ฉันมาร์ธา กริฟฟินค่ะ เรียกว่ามาร์ธาก็ได้ ส่วนลูกสาวของฉันชื่อแมรี่ กริฟฟิน ยินดีที่ได้พบคุณนะคะลิลลี่ คุณกลายเป็ซานตาคลอสของพวกเราไปแล้ว ฉันอยากให้สามีมาพบคุณด้วยจัง” มือของมาร์ธาทั้งสองข้างคว้าจับมือของแซ็กคารี ความหยาบกร้านจากการทำงานหนักโอบมือเรียวเล็กเอาไว้ บีบเขย่าแ่เบาถ่ายทอดคำขอบคุณ
“สามีคุณไม่อยู่เหรอคะ”
“เขาไปทำงานน่ะค่ะ ที่จริงแล้วเขาแทบจะไม่ได้อยู่บ้านเลย จริงด้วย ลิลลี่ คุณอยากได้ชาร้อน ๆ ไหมคะ ฉันขอไปต้มน้ำก่อน” มาร์ธากำลังลุกขึ้น มือเรียวเล็กคว้าข้อมือไว้ให้นั่งลงเช่นเดิม
“ไม่เป็ไรค่ะมาร์ธา ฉันไม่อยากรบกวนคุณ”
“แขกต้องดื่มชาก่อนสักถ้วยสิคะ”
“ไม่เป็ไรจริง ๆ ค่ะ ฉันมาเพื่อทำจิตอาสา จะทำให้คุณเหนื่อยกว่าเดิมได้ยังไงล่ะคะ” ด้วยเหตุผลนี้ มาร์ธาจึงยอมนั่งลง
“งานของมูลนิธิ…” มาร์ธาขบริมฝีปากล่างอย่างครุ่นคิด หนูน้อยแมรี่ในตะกร้าก็สะบัดแขนขาไปด้วย “เป็แบบไหนเหรอคะ”
“ฉันมา… ช่วยคุณดูแลหนูแมรี่ค่ะ” เสียงเล็กของหญิงสาวเอ่ยติดขัดเล็กน้อย เพราะไม่ได้เตรียมคำโกหกมาล่วงหน้า แต่แซ็กคารีสามารถกลบเกลื่อนได้อย่างแเีด้วยท่าทางเขินอายไม่มั่นใจ
“แค่เอาของพวกนี้มาให้ก็ช่วยได้มากแล้วแท้ ๆ”
ริมฝีปากของมาร์ธาบิดเบี้ยวราวจะร้องไห้อีกรอบ แซ็กคารีจึงรีบเปลี่ยนเื่ เขาสอนเธอชงนมผงอย่างถูกวิธี และสอนใช้ของต่าง ๆ ที่เขาเตรียมใส่ไว้ในกระเป๋า ระหว่างที่รอให้นมที่เพิ่งชงอุ่นลง ของเล่นสำหรับเด็กน้อยในกระเป๋าได้ออกมาสู่สายตาทารกน้อย
หนูน้อยแมรี่ตาใสเป็ประกายเมื่อเห็นของเล่นสีสดใสมีเสียงกระดิ่งเวลาขยับ เสียงหัวเราะร่าเริงดังทั่วกระท่อมหลังเล็ก สร้างความอบอุ่นได้มากพอกับเปลวไฟในเตาผิง พร้อมความไว้ใจที่เริ่มก่อตัวขึ้น มาร์ธาจึงให้หญิงสาวอาสาที่ชื่อลิลลี่อุ้มหนูน้อยแมรี่
แซ็กคารีในร่างหญิงสาวดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อได้อุ้มเหลน หนูน้อยแมรี่ก็หลับตาซุกอกอุ่น ๆ ของซาตานปลอมตัว แล้วดูดนมที่เขาป้อนจนหมดขวด เคลิ้มหลับไปอย่างง่ายดายในอ้อมกอดของเขา
“แมรี่ต้องชอบคุณแน่ ๆ เลยลิลลี่” แซ็กคารียิ้มดีใจขณะมองทารกหลับปุ๋ยในตะกร้า
“แล้ว… พวกคุณมีกันแค่สามคนเหรอคะ” บรรยากาศอบอุ่นเคล้าความสบายใจที่ฟุ้งกระจายสะกิดเตือนแซ็กคารีให้รีบเอ่ยถามข้อสงสัยั้แ่ตอนนี้ นาฬิกานับถอยหลังหนึ่งชั่วโมงก็เริ่มเหลือเวลาน้อยลงทุกที
“ใช่ค่ะ เรามีกันแค่นี้”
“กริฟฟินเป็นามสกุลของสามีคุณใช่ไหมคะ”
“เปล่าหรอกค่ะ เป็นามสกุลของฉันเอง แต่เหมือนเป็ธรรมเนียมครอบครัว ว่าถึงจะเป็ผู้หญิงแต่ถ้ามีลูกก็ต้องให้ลูกนามสกุลกริฟฟินด้วย” แซ็กคารีไม่เคยได้ยินเื่ธรรมเนียมครอบครัวเช่นนี้มาก่อน คิดว่าธรรมเนียมเพิ่งเกิดหลังจากเอเดนตายไปแล้ว
“สมัยนี้ก็มีแบบนี้เยอะนะคะ ที่ให้ลูกใช้นามสกุลภรรยา หรือไม่ก็ใช้ทั้งสองนามสกุล”
“ไม่ใช่เพราะเื่ความเท่าเทียมแบบที่คนข้างบนชอบพูดกันหรอกค่ะ” มาร์ธาส่ายหน้ารัว เหลือบมองข้างบนเพื่อสื่อถึงผู้คนที่อาศัยอยู่ชั้นบนของกำแพง
“เพราะไม่ให้สายตระกูลขาดต่างหาก”
“ทำไมเหรอคะ” หญิงสาวหน้าหวานเอียงคอแสดงความใคร่รู้
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ทำตามธรรมเนียมก็กลัวเื่ความโชคร้ายที่จะตามมา”
“โชคร้าย… หมายความว่ายังไงเหรอคะ”
“เป็เื่เล่าของตระกูลกริฟฟินน่ะค่ะ ว่าถ้าไม่ให้ลูกใช้นามสกุลกริฟฟินต่อ ทวดเอเดนที่ไม่เอาไหนจะมาตามหลอกหลอน”
แซ็กคารีหูผึ่งทันทีเมื่อได้ยินชื่อของตัวเอง เขาพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ ถามแบบลดความสงสัยลงเป็การพูดคุยเื่เล่าตำนานทั่ว ๆ ไป
“ทวดเอเดนที่ไม่เอาไหนเหรอคะ”
“ใช่ค่ะ ตระกูลกริฟฟินน่ะ มีอายุเก่าแก่ อยู่มาหลาย่อายุคนแล้วนะคะ” มาร์ธาแย้มยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้เล่าเื่ราวของตนเอง เป็สิ่งเดียวที่เธอใช้โอ้อวดกับคนอื่น ๆ ได้
“เล่าต่อ ๆ กันมาว่าตระกูลกริฟฟินเคยร่ำรวยล้นฟ้า เป็เศรษฐี ถ้าเทียบกันน่าจะรวยกว่าคนที่อยู่ชั้นบนสุดของกำแพงอีก” มือหยาบกร้านกระชับผ้าห่มให้ลูกสาวตัวน้อยแล้วพูดต่อ
“แต่ตระกูลกริฟฟินต้องมาตกอับอย่างนี้เพราะทวดเอเดนที่ไม่เอาไหน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็เพราะเขา พอเกิดเื่อะไรขึ้น พวกเราก็ชอบพูดว่าเป็เพราะทวดเอเดนพาโชคร้ายมาหาพวกเรา”
มาร์ธาเอ่ยอย่างยิ้มแย้มราวเป็เื่ตลกขบขัน เพราะในวัยเด็กพ่อแม่ของมาร์ธาเคยเอ่ยโทษทวดเอเดนที่ไม่เอาไหนกับทุก ๆ เื่ ั้แ่หมาจรจัดหิวโซขโมยรองเท้าบูทไป หรือขนมปังในตู้ที่ขึ้นรา
แต่แซ็กคารีกลับชะงักนิ่งงัน ดวงตาที่ไม่แตกต่างจากเดิมมากนักสั่นไหว เขาหลุบตามองพื้นพรมด้วยความสับสนพร้อมข้อมูลมากมายที่ตีกันในหัว ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็เพราะเขา คำคำนี้ผุดขึ้นมาซ้ำ ๆ หลายครั้ง มาร์ธาเป็เหลนที่ไม่ได้เจอเอเดนตอนยังมีชีวิต แต่เขากลับเชื่อคำพูดและเื่เล่าจากปากเธอ
เพราะภาพความทรงจำก่อนตายของเขาชัดเจนและสอดคล้องกับคำพูดของเธอ เอเดน กริฟฟินในตำแหน่งรองประธานที่วิลเลียม กริฟฟินมอบหมายให้ทำงานเหมือนกับหุ่นยนต์ ทำตามคำสั่งด้วยหัวใจอันเลื่อนลอย บางทีความร่ำรวยของตระกูลในครั้งนั้นที่พลิกสลับขั้วมาเป็แบบทุกวันนี้อาจเป็เพราะเขาจริง ๆ
นี่คือเหตุผลที่แซ็กคารีรู้ว่าทายาทที่เหลืออยู่อยู่ที่ไหนมานานหลายเดือนแล้ว แต่ยังลังเลไม่กล้าเข้ามาค้นหาคำตอบ เพราะเขากลัวความจริงโหดร้ายที่กำลังทำร้ายจิตใจเขาอยู่ขณะนี้ การต่อต้านครอบครัวที่บังคับเขาเมื่อครั้งเป็เอเดน กริฟฟินไม่มีประโยชน์อะไรเลย และการฝืนตามคำสั่งก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน มีแต่สร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมากมาย
ทั้งมาร์ธาและแมรี่ต่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับความผิดที่วิลเลียม กริฟฟิน หรือแม้แต่เอเดน กริฟฟินก่อขึ้นมา ทั้งคู่เป็คนบริสุทธิ์ที่เกิดในตระกูลตกอับ ซึ่งเขาเป็ผู้นำความยากจนนั้นมาหาด้วยตนเอง พวกเขากลับต้องชดใช้ความผิดที่คนในตระกูลก่อ โดยที่ไม่รู้เื่อะไร
“ลิลลี่ คุณเป็อะไรไปหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ เปล่าค่ะ” แซ็กคารี่ในร่างหญิงสาวสะดุ้งเมื่อมาร์ธาแตะแขนเธอเบา ๆ นาฬิกานับถอยหลังใกล้หมดเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาจึงต้องรีบกลับ
“ฉันต้องรีบกลับก่อนนะคะ คือ… ต้องเอาของไปให้เด็ก ๆ อีกหลายบ้านเลย”
“อ้อ โชคดีนะคะ แล้วก็ขอบคุณอีกครั้งค่ะ ฉันไม่รู้จะพูดขอบคุณยังไงแล้ว”
“ไม่เป็ไรค่ะ”
แซ็กคารีรีบลุกขึ้นยืน มองหนูน้อยแมรี่ที่หลับสบายเป็ครั้งสุดท้ายด้วยความรู้สึกผิด และรีบเดินออกมาจากกระท่อมหลังเล็ก โดยโบกมือห้ามไม่ให้มาร์ธาเดินตามมาส่ง
ร่างกายผอมบางแปรเปลี่ยนเป็สูงใหญ่กำยำ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มยาวสั้นลงและเป็สีขาวซีด ผิวนวลละเอียดกลับมาเป็สีแทนแดดเล็กน้อย เสื้อผ้าชุดโค้ตกันหนาวที่ไฮเดนให้มาพร้อมกับพลังแปลงกายเปลี่ยนเป็เสื้อโค้ตตัวใหญ่เก่า ๆ ของแซ็กคารีตามเดิม
ดวงตาสีเฮเซลเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน เช่นเดียวกับความรู้สึกผิดในแววตา แซ็กคารีคาดเดาด้วยข่าวที่พอหาได้เกี่ยวกับตระกูลกริฟฟินหลังจากเอเดนตาย ว่าเขาอาจเป็ต้นเหตุของความตกอับจนคนอื่นในตระกูลที่ไม่ได้เป็ผู้ก่อความผิดต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่เป็เพียงแค่การคาดเดาผนวกกับไม่อยากยอมรับความจริง การฟังคำจากปากของมาร์ธา คล้ายกับการใช้ค้อนหนักทุบกระจกบาง ๆ ที่ขัดขวางไม่ให้เขามองเห็นความจริง
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็สีเข้มอย่างรวดเร็วในฤดูหนาว อากาศหนาวเย็นจนลมหายใจขึ้นไอควัน ซาตานหนุ่มไม่สะทกสะท้านกับลมเย็น รองเท้าบูทเหยียบหิมะสร้างรอยเท้าเอาไว้ แซ็กคารีเดินหน้าอย่างล่องลอย กระทั่งดวงตาสีเฮเซลที่เอาแต่ก้มมองพื้นมองเห็นเท้าสองข้างที่สวมรองเท้าบูทสูงราวรองเท้าขี้ม้า
“ท่านโจไซอา”
โจไซอายืนรอแซ็กคารีที่ด้านนอกกระท่อมอยู่ครึ่งชั่วโมง พร้อมกับอากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อย ๆ ทำลาย่เวลาสั้น ๆ ของโรครักระทมที่ให้โอกาสเทพหายใจหายคอ เทพร่างผอมบางจึงโอบแขนกอดตัวเอง และยืนตัวสั่น ใบหน้าเป็สีซีด ฟันกระทบกันส่งเสียงกึกกึก ไม่สามารถเอ่ยเรียกชื่อซาตานหนุ่มได้
แซ็กคารีอยู่ในร่างของซาตาน โอบแขนรวบเทพร่างผอมแนบอกอย่างง่ายดาย และเสี่ยงอันตรายในการบินขึ้นฟ้าทั้งที่ยังไม่มืดดี เพื่อพาโจไซอาไปที่กระท่อมในคฤหาสน์กริฟฟินให้เร็วที่สุด
เทพร่างผอมจ้องใบหน้าสีขาวซีดราวหินสลักของซาตานหนุ่มขณะลอยอยู่กลางอากาศ มองเห็นเพียงเลือนรางเพราะลมหนาวทำให้ดวงตาแห้งแสบจนต้องหลับตาเอาไว้แทน แต่มุมปากกลับยกยิ้มบาง ด้วยความอบอุ่นจากผิวกายซาตานที่โอบล้อมร่างกายเอาไว้
เมื่อมองจากภายนอกซาตานดูแข็งทื่อเหมือนหิน ผิวก็ดูเย็นะเืราวไม่มีชีวิต แต่หากได้ัักลับตรงกันข้าม ผิวของซาตานอบอุ่น นุ่มอ่อนโยน และแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน
แซ็กคารีวางร่างเทพผอมบางลงบนเตียงเดี่ยวที่เดิม ห่มผ้าให้จนมิดชิด พร้อมถอดเสื้อโค้ตของตัวเองให้สวมเพิ่มอีกหนึ่งชั้น จากนั้นก็หายไปหาฟืนมาจุดไฟในเตาผิง แต่โจไซอายังนั่งตัวสั่นขดกอดตัวเองเอาไว้ในผ้าห่มเช่นเดิมไม่เปลี่ยน ไม่มีท่าทีว่าอาการจะดีขึ้น แต่ยังไม่แย่ถึงขั้นเืออกหรือสลบไป
ความเงียบเข้าคืบคลานพื้นที่ในกระท่อมหลังเล็กที่อยู่อาศัยของแซ็กคารีในโลกมนุษย์ ไร้เสียงสนทนามีเพียงเสียงฟืนถูกเปลวไฟเผาไหม้ในเตาผิง กับเสียงลมหายใจอ่อนแรงของโจไซอาฟังดูหดหู่ แต่ในเวลานี้คงไม่มีอะไรน่าหดหู่เท่าสีหน้าที่เผลอแสดงอารมณ์อย่างหมดเปลือกของแซ็กคารี
เก้าอี้ไม้ตัวเดิมลากมาวางข้างเตียง แซ็กคารีนั่งเฝ้าโจไซอาเหมือนครั้งก่อน แต่ดวงตาสีเฮเซลกลับเหม่อมองไร้จุดหมาย เพราะมีเื่ราวมากมายอยู่ภายในใจจนโจไซอารู้สึกได้
“แซ็ก…” เสียงแหบแห้งเรียกด้วยชื่อย่อสั้น ๆ เพราะเขาไม่มีแรงมากพอ เ้าของชื่อไม่เอ่ยว่าอะไร แต่สะดุ้งเพียงเล็กน้อยแล้วหันหน้ามาหา
“ครับท่านโจไซอา” แซ็กคารีรู้แล้วว่าโจไซอากำลังเป็โรครักระทมจึงตั้งอกตั้งใจดูแลอีกฝ่ายมากขึ้นอย่างไม่มีข้อกังขา แม้จะไม่มีอะไรรักษาได้ก็ตาม
“ฉันเห็นเธอเข้าไปในกระท่อมนั้นตั้งนาน” ซาตานยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหน้ามองมือที่ประสานกันบนตักตัวเอง
“ท่านเป็เทพ คงได้ยินเื่ที่คุยกันหมดแล้วใช่ไหมครับ” โจไซอาพยักหน้าช้า ๆ เสียงหัวเราะในลำคอจากแซ็กคารีดังขึ้นหลังจากนั้น
บทสนทนาเงียบหายอีกครั้ง แต่ยังไม่จบลง โจไซอารู้ดีว่าแซ็กคารีอยากพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะถึงเกิดใหม่เป็ซาตาน ก็ยังคงเป็คนรักของโจไซอาคนเดิม
แซ็กคารีถอนหายใจเสียงดัง เมื่อคำพูดของมาร์ธา กริฟฟินเล่นวนซ้ำในหัวไม่หยุด
“ทุกอย่างเป็ความผิดของผม”
ทุกอณูในดวงตาสีเฮเซลมีความเศร้าโศกอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็ประกายสีเทาหรือสีเขียวล้วนแล้วแต่สะท้อนออกมาเป็ความทุกข์ระทม เพียงแค่โจไซอามองก็เ็ปไปทั้งหัวใจ เพราะคือแววตาแบบเดียวกันกับที่เขาเห็นเมื่อ 99 ปีก่อน เมื่อเอเดน กริฟฟินเอ่ยถึงครอบครัว
และเพราะโจไซอารู้ดีว่า มันไม่ใช่ความผิดของอีกฝ่ายเลย
“การดิ้นรนของผมไม่มีประโยชน์เลย ผมอยากให้ความเลวร้ายทั้งหมดที่คนในตระกูลกริฟฟินทำถูกเปิดโปง แต่คนที่ทำเื่พวกนี้ตายไปหมดแล้วอยู่ดี คนที่ต้องชดใช้กลับเป็คนที่ไม่รู้เื่อะไร”
ยิ่งแซ็กคารีพูดด้วยความรู้สึกเศร้าโศกและระบายออกมากับโจไซอาโดยไม่ปิดบังมากเท่าไร โจไซอาก็ยิ่งเ็ปใจพร้อมกับความคิดถึงชายผู้เป็ที่รัก แม้นั่งอยู่ตรงหน้า ห่างกันแค่เอื้อม แต่กลับกอดเอาไว้ไม่ได้ แซ็กคารียามนี้กำลังพูดออกมาอย่างเต็มปากว่าตนเองคือคนเดียวกับเอเดน กริฟฟิน ถึงอย่างนั้นก็จำโจไซอาไม่ได้อยู่ดี
“ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย”
ความเสียใจของผู้เป็ที่รัก ย่อมกระทบถึงผู้รักเสมอ น้ำตาของเทพยามเศร้าโศกเอ่อคลอขอบตาขึ้นสีแดง โจไซอากำลังร้องไห้ เสียงสะอื้นจากลมหายใจติดขัดเรียกสติให้แซ็กคารีเงยหน้าขึ้นมอง ร่างสูงกำยำลุกจากเก้าอี้ไม้มานั่งข้างเตียงทันทีเมื่อเทพจะร้องไห้
“ไม่ใช่ความผิดเธอ… ไม่ใช่เลย” น้ำตาอำนาจทำลายล้างหยดแรกไหลจากขอบตาข้างซ้าย
“เป็ความผิดฉันเอง…”
หากเทพแห่งการร่วมประเวณีสามารถควบคุมคำสาปของตนเองได้ ตระกูลกริฟฟินจะไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสาปให้อยู่ในโชคร้ายยาวนานเช่นนี้ หากโจไซอาควบคุมมันได้ ทายาทรุ่นหลังผู้บริสุทธิ์จะไม่ต้องชดใช้สิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่โจไซอากลับทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมองพวกเขาเป็ทุกข์เพราะความยากจนไร้โชค
น้ำตาของความเสียใจหยดที่สองและสามไหลตามมาไม่หยุด เริ่มมากขึ้น มากขึ้นจนนับไม่ไหว พลังทำลายล้างมีมหาศาลตามปริมาณความเศร้าโศกของเทพ เพียงแค่มันหยดลงบนผ้าห่มสักผืน กระท่อมหลังเล็กก็อาจลุกไหม้ทั้งหลังได้ และที่นี่ไม่มีผ้าเช็ดน้ำตาเทพ
นิ้วโป้งของซาตานหนุ่มปาดเช็ดน้ำตาของโจไซอาก่อนที่มันจะหยดลงบนผ้าห่ม รีบเช็ดด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมแสร้งทำหน้านิ่งปิดทับความร้อนจากน้ำตาที่ทำให้แซ็กคารีเ็ป
เทพร่างผอมจึงชะงักนิ่ง น้ำตาหยุดไหลด้วยความใ มือผ่ายผอมรีบดึงมือข้างหนึ่งของซาตานออกจากแก้มตนเอง ตาสีน้ำตาลอ่อนมองฝ่ามือใหญ่ เห็นรอยแดงเริ่มบวมตามนิ้วที่ััน้ำตา แต่สีหน้าของแซ็กคารีกลับเรียบนิ่ง
“ไม่เจ็บเหรอ” โจไซอาถามด้วยความเป็ห่วง
“ไม่ครับ” แซ็กคารีโกหกด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ใช้มือที่มีรอยบวมแดงเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของโจไซอาจนไม่มีหยดใดหลงเหลืออยู่อีก
โจไซอาดึงมือสองข้างของแซ็กคารีออก มองรอยสีแดงที่อีกไม่นานจะกลายเป็แผลพุพอง เทพร่างผอมถอนหายใจแ่เบา ลูบรอยแดงเ่าั้บนฝ่ามือใหญ่ที่ครั้งนี้แซ็กคารียอมนิ่งไม่ชักมือกลับ
เทพมอบจุมพิตที่ฝ่ามือของแซ็กคารี ไล่กดจูบแ่เบาตามรอยขึ้นสีแดงจนทั่ว ความเ็ปจากความร้อนค่อย ๆ คลายหายไป ราวสายน้ำเข้ามาดับไฟที่กำลังลุกไหม้ โจไซอามอบจุมพิต กระทั่งหมดสิ้นร่องรอยของน้ำตาเทพอำนาจทำลายล้างบนมือซาตาน
tbc.
#เฮเซลอาย
