แม่เฒ่าเคอถลึงตาต้องหลิวชุนฮวาพลางร้องตะคอกด้วยความขุ่นเคือง “เหตุใดถงซื่อจะมิใช่สะใภ้ของข้า? ไม่ว่าเ้าใหญ่จะโง่เง่าเพียงใด แต่ก็ยังเป็ก้อนเนื้อที่คลานออกมาจากท้องของข้า”
หลิวชุนฮวาพลันยกยิ้ม “ท่านแม่ ในเมื่อถงซื่อยังเป็สะใภ้ของท่าน เช่นนั้นเื่ใหญ่อย่างก่วงเถียนออกเรือนเช่นนี้ ท่านก็ควรจะให้นางมาช่วยงานสักไม่กี่วันใช่หรือไม่เ้าคะ?”
ั์ตาของแม่เฒ่าเคอพลันหรี่เล็กลง จากนั้นเงยหน้ามองไปทางเขาต้าชิง บนใบหน้าเปี่ยมด้วยความดุดัน
“ไป ไปเรือนสกุลต้วนสักหน่อย เื่ใหญ่เช่นการออกเรือนของก่วงเถียน ครอบครัวของเ้าใหญ่กลับไม่โผล่หน้ามาแม้แต่คนเดียว นับเป็อันใดกัน?”
หลิวชุนฮวายกยิ้มจนใบหน้ายับย่นเป็ดอกเบญจมาศ พลันโยนผ้าขี้ริ้วลงฐานหินโม่ จากนั้นประคองข้อมือของแม่เฒ่าเคอแล้วเอ่ยประจบว่า “ท่านแม่ ท่านเดินช้าสักหน่อยเ้าค่ะ ลูกจะประคองท่าน”
ภายในใจของนางยินดียิ่งนัก ถงซื่อ ผู้ใดใช้ให้เ้ามีชีวิตสุขสบายอยู่ในเรือนสกุลต้วน ดูเถิดว่าแม่เฒ่าจะเล่นงานเ้าเจียนตายหรือไม่ ฮ่าๆๆๆ...
“ท่านแม่ รอข้าก่อนเ้าค่ะ พวกเราไปด้วยกัน” เคอก่วงเถียนผู้สวมอาภรณ์ตัวใหม่และแต่งกายเสียจนงามเพริศพริ้งเดินเข้ามาประคองแขนอีกข้างของแม่เฒ่าเคอ
คนทั้งสามมุ่งหน้าไปทางเรือนสกุลต้วนบนเชิงเขาต้าชิงอย่างองอาจ
......
ณ เรือนสกุลต้วน
มารดาสกุลต้วนกับถงซื่อกำลังนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำ เคอโยวหลานกับเคอโยวเยวี่ยยืนอยู่ด้านหลังถงซื่อ ทางด้านหยวนซื่อกับไป๋ซื่อแยกกันนั่งอยู่บนตำแหน่งหน้าสุดของสองฝั่งด้านล่าง
สตรีทั้งห้าต่างยืนเรียงเป็ระเบียบอยู่กลางห้องโถงและก้มหน้ารอฟังคำสั่งของผู้เป็นาย
ถงซื่อถูกแม่เฒ่าเคอดุด่าทุบตีมาั้แ่เด็กจนโต มีหรือจะเคยพบเจอเื่เช่นนี้ เมื่อเห็นว่าคนมากมายถึงเพียงนี้กำลังก้มหน้าค้อมเอวให้ตน ในคราแรกเริ่มยังคงรู้สึกนั่งยืนไม่เป็สุขอยู่บ้าง
มารดาสกุลต้วนอยากฝึกฝนถงซื่อ ดังนั้นจึงเอื้อมมือไปลูบหลังของอีกฝ่ายเพื่อปลอบโยน
เมื่อถูกมารดาสกุลต้วนปลอบโยน ถงซื่อราวกับพบแกนหลักของหัวใจและเหยียดกายนั่งหลังตรง
กล่าวไปแล้วเมื่อผนวกกับเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ในวันนี้ รวมถึงเสน่ห์ที่ระยะนี้ถูกบำรุงจนกลับคืนมา ช่างมีบุคลิกเช่นนายหญิงของเรือนจริงๆ
หลังได้อยู่กับมารดาสกุลต้วนระยะนี้ ถงซื่อก็เล่าเรียนตำราไม่น้อย แต่ละวันยังได้ฟังมารดาสกุลต้วนบอกกล่าวเื่บรรทัดฐานมารยาท จึงค่อยๆ ถูกหล่อหลอมอย่างเงียบเชียบ
ถงซื่อในยามนี้ไม่เหมือนเดิม ทั้งยังไม่เอาแต่เออออเช่นเมื่อก่อน ไร้ซึ่งท่าทางกระโดกกระเดก มีกลิ่นอายเชื่อมั่นในตนเองเผยออกมาไม่น้อย
นอกจากนี้ระยะหลังเมื่อครอบครัวมีกินมีใช้ เคอโยวหรานยังเอาแก้วแหวนเงินทองเครื่องประดับจากมิติวิเศษออกมาให้ถงซื่อกับเคอโยวหลานสองพี่น้องอยู่บ่อยครั้ง
ถงซื่อมิใช่เด็กที่ถูกนำมาเลี้ยงเป็สะใภ้ที่เห็นเงินแค่ห้าตำลึงก็ไม่กล้ารับเสียแล้ว
มารดาสกุลต้วนตั้งใจจะฝึกฝนถงซื่อ จึงทำเป็ตัวอย่างให้นางดู “พวกเ้าทั้งห้าเงยหน้าขึ้น”
ถงซื่อเฝ้ามองทุกการกระทำของมารดาสกุลต้วนอย่างเงียบเชียบ คิดอยากจะทำให้ดียิ่งขึ้น ไม่ทำให้สามีของตนเองขายหน้า ไม่ทำให้โยวหรานต้องอับอาย ดังนั้นจึงตั้งใจศึกษาโดยละเอียดและเอาจริงเอาจังกว่าปกติ
เคอโยวหลานกับเคอโยวเยวี่ยต่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก แต่ละวันคอยสังเกตกิริยาท่าทางของมารดาสกุลต้วน ไป๋ซื่อ และหยวนซื่อ ยามนี้คนทั้งสองคล้ายคลึงกับบุตรีสกุลใหญ่ทีเดียว
ครั้นสตรีอายุน้อยทั้งห้าได้ยินคำกล่าวของมารดาสกุลต้วนจึงพากันเงยหน้าอย่างพร้อมเพรียง ต่างยืนรอการมองพิจารณาของมารดาสกุลต้วนอย่างเงียบเชียบ
มารดาสกุลต้วนลอบคิดในใจ : นึกไม่ถึงว่าเอ้อร์หลางกับซานหลางจะเอาใจใส่ถึงเพียงนี้ ยังสามารถหาสตรีอายุน้อยที่รู้มารยาทจากในบ้านสวนมาได้
ในเมื่อ้าสอนถงซื่อว่าต้องเรียกใช้บ่าวรับใช้เช่นไร เช่นนั้นก็มิอาจตั้งชื่อคนเหล่านี้ซับซ้อนมากนัก มิสู้ใช้ยี่สิบสี่ฤดูกาลแทนชื่อจะดีกว่า
ไม่เพียงจดจำง่าย แต่ยามถงซื่อตั้งชื่อยังไม่นับว่ายากจนเกินไป จะไม่เสียหน้าต่อหน้าบ่าวรับใช้
มารดาสกุลต้วนชี้ไปทางสตรีที่สวมผ้าเนื้อหยาบ ค่อนข้างจมูกแบน และหน้าตาไม่งดงามนักทางด้านซ้ายสุดแล้วเอ่ยว่า
“นับแต่นี้ต่อไปเ้ามีนามว่าลี่ชุน คอยอยู่ข้างกายฟังคำสั่งของข้า แต่ละเดือนจะให้เบี้ยรายเดือนหนึ่งตำลึง รวมถึงเสื้อผ้าสำหรับสี่ฤดู”
สตรีอายุน้อยผู้นั้นพลันคุกเข่าลง ซาบซึ้งจนขอบตาแดงก่ำ โขกศีรษะคารวะด้วยกายสั่นเทาเล็กน้อย “ลี่ชุนขอบพระคุณฮูหยินที่ประทานนามให้เ้าค่ะ”
“อืม ลุกขึ้นเถิด!” มารดาสกุลต้วนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม จากนั้นส่งสัญญาณผ่านหางตาให้ถงซื่อโดยมิอาจสังเกตเห็น
ถงซื่อเข้าใจภายในเสี้ยววินาที เลียนแบบท่าทางของมารดาสกุลต้วน ชี้ไปทางสตรีคนที่สองที่ค่อนข้างสุขุม หน้าตาธรรมดา และเสื้อผ้าบนกายเต็มไปด้วยรอยเย็บปะแล้วเอ่ยว่า
“นับแต่นี้ต่อไปเ้ามีนามว่าลี่ซย่าเถิด ติดตามข้างกายของข้า เบี้ยรายเดือนไม่ต่างกับลี่ชุน”
สตรีผู้นั้นรีบคุกเข่าลง ซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหลอาบลงมา “ขอบพระคุณนายหญิงที่ประทานนามเ้าค่ะ”
ถงซื่อถึงกับตกตะลึงเพราะการคุกเข่าของอีกฝ่าย เพียงแต่ยังคงได้สติตอบสนองกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ลุกขึ้นเถิด นับแต่นี้ไปต้องตั้งใจทำงาน อย่าได้ปลิ้นปล้อนกลับกลอก เงินรางวัลย่อมไม่น้อย หากกล้าปิดบังข้า หลอกลวงผู้เป็นาย ข้าจะไม่ละเว้นโดยง่ายอย่างแน่นอน”
กล่าวจบ ถงซื่อก็ลอบชำเลืองไปทางมารดาสกุลต้วน ท่าทางคล้าย้าถามว่าตนกล่าวได้ถูกต้องหรือไม่?
มารดาสกุลยกยิ้มบาง พยักหน้าด้วยความปลื้มใจ รู้สึกพึงพอใจในการแสดงออกของถงซื่ออย่างยิ่ง
มุมปากของหยวนซื่อกระดกขึ้นเล็กน้อยโดยมิอาจสังเกต ก่อนจะกลอกตาขาวใส่ถงซื่ออย่างหยามเหยียด
หญิงชนบทก็ยังเป็หญิงชนบท กระทั่งอบรมข้ารับใช้ก็ยังต้องให้จับมือสอน ช่างโง่เง่าเสียจริง!
ขณะที่ความคิดของหยวนซื่อกำลังล่องลอยไปไกล มารดาสกุลต้วนก็ปริปากเอ่ยว่า “ครอบครัวเ้าใหญ่ เ้ากับไป๋ซื่อก็เลือกสักคนเถิด!”
หยวนซื่อั์ตาหรี่เล็กลง หวนนึกถึงเห็ดหูหนูดำที่นางเพิ่งตากแห้งและบดจนกลายเป็ผง จากนั้นทอดมองสตรีไม่กี่คนตรงหน้าแล้วลอบคิดว่า :
คนเหล่านี้ล้วนแต่มาจากบ้านสวน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็คนสนิทของเคอโยวหราน
หากพบความลับของตนเข้าแล้วไปบอกเคอโยวหราน เช่นนั้นจะทำอย่างไร?
หากคนในเรือนล่วงรู้แผนการของตนจะทำเช่นไร?
เมื่อคิดเช่นนี้ หยวนซื่อก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน หยักกายลุกขึ้นทำความเคารพไปทางมารดาสกุลต้วนอย่างอ้อยอิ่ง “ท่านแม่เ้าคะ ข้ายังไม่ตั้งครรภ์ โดยปกติก็เอาแต่อยู่ในเรือน ไม่จำเป็ต้องใช้บ่าวรับใช้เป็การชั่วคราว ครั้งนี้คงไม่เลือกแล้วเ้าค่ะ!”
มารดาสกุลต้วนไม่อยากฉีกหน้าหยวนซื่อต่อหน้าบ่าวรับใช้จึงเอ่ยคล้อยตามว่า “อืม ตามใจเ้า”
แต่ผู้ใดจะรู้ ความตรงไปตรงมาของมารดาสกุลต้วนกลับทำให้หยวนซื่อลอบเคียดแค้นในใจ : ประเสริฐนัก ข้าไม่เอาท่านก็ไม่ให้เสียแล้ว? กระทั่งโน้มน้าวสักประโยคก็ยังไม่มี เห็นข้าเป็คนนอกแล้วจริงๆ หรือ?
มารดาสกุลต้วนไม่รู้แม้แต่นิดว่าหยวนซื่อจะคิดเช่นนี้ ทำได้เพียงหันหน้าไปเอ่ยกับไป๋ซื่อว่า “ครอบครัวเ้ารอง ยามนี้เ้าตั้งครรภ์แล้ว ทั้งยังเป็บุตรคนแรก เ้ารองไม่อยู่ในเรือน จำต้องเลือกเอาไว้สักคนจึงจะดี”
ไป๋ซื่อหยัดกายลุกขึ้นทำความเคารพ ชี้ไปทางสตรีคนที่สามที่อายุน้อยที่สุดแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าเลือกนางเ้าค่ะ ภายหน้าเ้าก็มีนามว่าหมังจ้งเถิด!”
มารดาสกุลต้วนพยักหน้าพลางยกยิ้มบาง มองสตรีอีกสองคนที่ยังเหลืออยู่แล้วเอ่ยว่า “พวกเ้าสองคนก็นามเสี่ยวสู่กับลี่ชิวเถิด ภายหน้าติดตามฮูหยินน้อยสาม คอยฟังคำสั่งของนาง”
“เ้าค่ะ ขอบพระคุณฮูหยิน ขอบพระคุณฮูหยินน้อยรองที่ประทานนามเ้าค่ะ” สตรีทั้งสามพากันคุกเข่าลงโดยพร้อมเพรียงและโขกศีรษะอย่างถึงที่สุด
“อืม ลุกขึ้นเถิด!” มารดาสกุลต้วนบอกให้พวกนางไม่กี่คนหยัดกายลุกขึ้น “ฮูหยินเคอกับฮูหยินน้อยรองตั้งครรภ์แล้ว ยามพวกเ้าไม่กี่คนปรนนิบัติรับใช้จำต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง หากพวกนางสองคนเป็อันใด เช่นนั้นอย่าได้โทษที่ข้าเปลี่ยนสีหน้า”
“เ้าค่ะ พวกบ่าวรับคำสั่งเ้าค่ะ” คนทั้งห้าต่างขานรับเป็เสียงเดียว
ในขณะนั้นเอง ด้านนอกประตูพลันมีเสียงแหบแห้งของแม่เฒ่าเคอร้องดังลั่น “ถงซื่อ เ้าไปตายที่ใดแล้ว? ก่วงเถียนกำลังจะออกเรือน พี่สะใภ้ใหญ่เช่นเ้ากลับไม่เผยหน้าตาแม้แต่นิด จะวางมาดอันใดกัน?”
ถงซื่อที่นั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำกายสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าที่แต่เดิมมีเืฝาดถึงกับซีดเผือดโดยพลัน
เคอโยวหรานที่เพิ่งตื่นนอนและล้างหน้าบ้วนปากเสร็จรีบแทรกกายออกมาจากมิติวิเศษ ยังไม่ทันได้แปลงโฉมก็ได้ยินเสียงร้องตะคอกของแม่เฒ่าเคอเสียก่อน
อารมณ์ที่นับว่าไม่เลวทีเดียวของเคอโยวหรานแปรเปลี่ยนเป็อึมครึมโดยพลัน ไม่มีเวลาสนใจการแปลงโฉมก็หยิบหมวกเหวยเม่าขึ้นมาสวมใส่ จากนั้นเปิดประตูเดินมายังลานเรือนด้านใน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้