ที่สุดแห่งโลกมนุษย์อันชวนหลงใหล คือเงาสายฝนเมฆาแห่งเขาอูซาน ที่ข้าได้อยู่เคียงท่าน เมื่อเมฆคลายฝนจาง ใบหน้างามดั่งทับทิมอาบฟ้า
เสียงครางออดอ้อนราวแมวร้อง ราวต้องมนต์สะกด เย้ายวนจนเปลวไฟดิบเถื่อนในใจเขาแทบปะทุ
จางเจิ้นอันเคยมั่นใจว่านิสัยอดทนเด็ดเดี่ยว แต่ในยามนี้กลับแทบควบคุมตนเองไม่อยู่
เขารู้ดีว่าตนไม่อาจอยู่บนเตียงนี้ต่อไปได้อีก ร่างบางคงไม่อาจทานทนพายุอารมณ์ที่พร้อมจะโหมกระหน่ำเป็ครั้งที่สอง
เขารอจนนางหลับตาลง หลับใหลไปในห้วงนิทรา ก่อนจะค่อยๆ คลายมือของนางออก ผละกายจากอ้อมกอดอันอบอุ่น
เขาลุกขึ้น สวมรองเท้าอย่างเงียบงัน แต่กลับยืนอยู่นิ่งๆ มองนางอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับไม่อาจละสายตาไปได้
เขาก้มลงจัดผ้าห่มให้นางอย่างแ่เบา แล้วโน้มกายลงประทับจุมพิตสุดท้ายบนริมฝีปากนุ่ม ก่อนจะหมุนกายเดินจากไปในความเงียบ
ความปรารถนายังไม่ถูกเติมเต็มให้สมบูรณ์ ในอกยังคงคุกรุ่นด้วยไฟราคะไร้ทางระบาย
เสียงลูกเจี๊ยบจ้อกแจ้กอยู่หน้าประตูกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกรำคาญนัก
สายลมเย็นพัดโชยมาแตะกาย เขาพลันนึกถึงคำที่นางเคยเอ่ยถึงเื่การพรวนดิน
ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเื่ดีงามบางประการ มุมปากจึงคลี่ยิ้มเบาบาง แล้วหมุนกายมุ่งสู่สวนหลังบ้าน
เมื่อผลักประตูเล็กบานนั้นออก ก็พบว่าดินรกร้างถูกนางพรวนไว้แล้วมุมหนึ่ง
เขาเหลียวมองหาเครื่องมือ จนในที่สุดก็พบจอบเล่มหนึ่งในครัวเล็ก
จอบที่เคยขึ้นสนิมจนหม่นหมอง บัดนี้กลับแลดูสะอาดตาขึ้น มีเพียงคราบดินติดอยู่ประปราย
จางเจิ้นอันเคยมีประสบการณ์ถางหญ้าอยู่บ้าง เขาจึงลองก้มตัวลง เลียนแบบท่าทางของชาวนา
จ้วงจอบลงไปในดิน ปรากฏว่าทำได้ง่ายดายกว่าที่คิด ไม่ต้องออกแรงมากนัก
ดูท่าว่าเขาคงจะเป็คนทำงานไร่งานสวนได้ดีทีเดียว
หลังจากลงแรงบุกเบิกที่ดินไปได้ส่วนหนึ่ง จางเจิ้นอันก็ถ่มน้ำลายลงบนฝ่ามือ พักเหนื่อยสักครู่ แล้วก็จับจอบขึ้นมาพรวนดินต่อ หากรู้แต่แรก เขาควรจะอาสาทำเสียั้แ่แรก นางจะได้ไม่ต้องมาลงมือพรวนดินก่อน จนฝ่ามือบอบบางต้องถลอกปอกเปิกเช่นนี้
เขารู้สึกหงุดหงิดใจตัวเองอยู่บ้าง จึงตัดสินใจเร่งมือให้มากขึ้น ตั้งใจว่าวันนี้จะอาศัย่ที่ฝนเพิ่งหยุดตกนี้ บุกเบิกแปลงผักนี้ให้เสร็จ
อันซิ่วเอ๋อร์ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว นางรีบลุกขึ้น ทว่าทันทีที่เท้าแตะพื้น ร่างกายกลับซวนเซจนเกือบจะล้มลงไป
นางยกมือนวดเอวที่ปวดตุบๆ ของตนเบาๆ พลางคิดในใจ...บุรุษผู้นี้ ช่าง...ร้ายกาจนัก ในความฝันนางก็เคยประสบเื่ราวคล้ายกันนี้อยู่บ้าง แต่คนผู้นั้นเพียงชั่วครู่ก็เสร็จกิจ ไม่ทำให้นางรู้สึกเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าความฝันก็เป็เพียงความฝัน เป็แค่ลางบอกเหตุเตือนใจนางเท่านั้น ไม่อาจยึดถือเป็จริงเป็จังได้ทั้งหมด
บัดนี้นางหลุดพ้นจากกู้หลินหลางคนนั้นแล้ว ทั้งยังเลือกเดินในเส้นทางที่ตรงกันข้ามกับในฝันโดยสิ้นเชิง ความฝันนั้นสำหรับนางจึงกลายเป็เพียงเื่ลวงไปแล้ว นางเพียงแค่ต้องกอดบุรุษของนางไว้ให้มั่น แล้วใช้ชีวิตต่อไปให้ดีก็พอ
พยายามเข้านะ อันซิ่วเอ๋อร์ เ้าทำได้! จงใช้ความรักของเ้าโอบอ้อมข้อบกพร่องของเขา ค่อยๆ ขัดเกลาเปลี่ยนแปลงเขาไปทีละเล็กละน้อยในชีวิตประจำวัน สักวันหนึ่งเขาจะต้องกลายเป็ชาวนาที่เก่งกาจที่สุดในหมู่บ้าน เป็สามีที่รักและเอ็นดูนางที่สุด ทำให้พวกชาวบ้านที่เคยหัวเราะเยาะสมน้ำหน้า ต้องอิจฉานางจนตาลุกเป็ไฟ
เมื่อตั้งสติได้ อันซิ่วเอ๋อร์ก็สลัดความคิดฟุ้งซ่านเ่าั้ทิ้งไป พลันในใจก็นึกขึ้นมาอีกว่า ใครจะคิดอย่างไรก็ช่าง ขอเพียงพวกเขาสองคนมีความสุข สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างราบรื่นในทุกๆ วัน นางก็พึงพอใจแล้ว
นางลงจากเตียง ค่อยๆ ลองเดินไปสองสามก้าว จนเริ่มชินกับความเ็ปและเมื่อยล้าที่ยังหลงเหลืออยู่ในกาย จึงผลักประตูออกไป แต่เมื่อกวาดตามองลานบ้าน กลับไม่เห็นเงาของจางเจิ้นอัน
ประตูใหญ่เปิดแง้มไว้เพียงเล็กน้อย ทว่าเสียงเคลื่อนไหวบางอย่างกลับดังมาจากสวนหลังบ้าน
นางจึงเดินตามเสียงนั้นไป และก็พบว่า… จางเจิ้นอันกำลังพรวนดินอยู่จริงๆ แปลงดินรกร้างซึ่งเคยปล่อยทิ้งไว้มานาน บัดนี้ถูกเขาบุกเบิกจนเป็พื้นที่กว้างใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
อันซิ่วเอ๋อร์เดินเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นสภาพดินที่เขาพรวน ซึ่งยังเป็ก้อนใหญ่ๆ อยู่ ก็อดรู้สึกขบขันขึ้นมาเล็กน้อยไม่ได้ ดูท่าแล้วสามีของนางเดิมทีเป็ชาวประมงมาก่อน ไม่ถนัดงานไร่งานสวนจริงๆ ด้วย แม้แต่การพรวนดินขั้นพื้นฐานที่สุดก็ยังทำไม่เป็ ดินก้อนใหญ่เทอะทะเช่นนี้จะใช้ปลูกพืชผลได้อย่างไรกัน ทว่าเขาก็มีเรี่ยวแรงมหาศาล การทำงานเกษตรคงไม่เป็ปัญหาอะไร เอาเถอะๆ เดี๋ยวค่อยบอกกล่าวแนะนำเขาก็แล้วกัน
“ท่านพี่ ท่านเหนื่อยแล้ว พักผ่อนเถิดเ้าค่ะ”
จางเจิ้นอันได้ยินเสียงหวานใสนุ่มนวลนั้น จึงหันไปมองด้านข้าง ก็เห็นอันซิ่วเอ๋อร์กำลังกวักมือเรียก เขาจึงวางจอบลงแล้วเดินเข้าไปหา อันซิ่วเอ๋อร์ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เช็ดเหงื่อบริเวณขมับให้เขาอย่างแ่เบา
เขาเอื้อมมือไปคว้าข้อมือของนางไว้ ดวงตาสุกใสฉายแววขบขันอยู่สองส่วน อันซิ่วเอ๋อร์ถูกสายตาของเขามองจนรู้สึกเขินอายระคนขุ่นเคืองใจเล็กน้อย จึงได้แต่ก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนเอง ไม่กล้าสบตาเขาอีก
เมื่อจางเจิ้นอันเห็นท่าทางเขินอายเจือขุ่นเคืองของนาง กลับยิ่งรู้สึกว่านางน่าเอ็นดูเหลือเกิน ใบหน้าแดงระเรื่อของนางงดงามราวเมฆยามสนธยา งดงามนัก งามจนยากจะละสายตา เขาอดไม่ไหว โน้มกายลงประทับจุมพิตแ่เบาบนแก้มนวลนั้น
อันซิ่วเอ๋อร์สะดุ้งน้อยๆ รีบดึงมือกลับ บีบผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นโดยไม่รู้ตัว
ขณะกำลังตั้งสติ เสียงทุ้มนุ่มของเขาก็ดังขึ้นข้างหูว่า “เหตุใดเ้าจึงไม่นอนพักต่ออีกหน่อยเล่า?”
“ข้านอนไปนานมากแล้วเ้าค่ะ” นางเงยหน้าขึ้น กล่าวตอบ “นึกไม่ถึงว่าท่านพี่จะเก่งกาจถึงเพียงนี้ พรวนดินไปได้ตั้งมากมาย ข้าสิไม่ดีเอง มัวแต่นอนอยู่บนเตียงเสียนาน หากเื่นี้รู้ถึงหูผู้อื่นเข้า พวกเขาคงต้องนินทาว่าข้าเป็ภรรยาี้เีเป็แน่”
“จะเป็เช่นนั้นได้อย่างไร ภรรยาของข้า จะปล่อยให้คนอื่นมาตำหนิได้อย่างไร ต่อไปนี้เ้าอยากจะพักผ่อนนานเท่าใด ก็พักไปเถิด” แม้สีหน้าของจางเจิ้นอันยังคงเรียบเฉยดังเดิม
แต่แววตาที่ทอดมองนางกลับเปล่งประกายอ่อนโยน อบอุ่น และเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู อย่างปิดไม่มิด
“ไม่ได้หรอกเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยเสียงแ่ ทว่าแววตากลับแน่วแน่
นางไม่อยากเป็ภรรยาที่เอาแต่ตามใจจนเหลิงลำพอง เมื่อกลายมาเป็ครอบครัวเดียวกันแล้ว นางก็ย่อมต้องร่วมแรงร่วมใจไปกับจางเจิ้นอัน
ชีวิตข้างหน้า หากจะมีสิ่งใดต้องแบกรับ ก็ควรเป็สิ่งที่แบกรับด้วยกัน
นางจะเอาแต่นั่งพิงอยู่ข้างกาย ปล่อยให้ภาระทั้งมวลถาโถมอยู่บนบ่าของเขาเพียงผู้เดียวได้อย่างไร
“ท่านพี่ อยากทานอะไรหรือไม่?” แม้นางจะยังหาเงินไม่ได้ แต่การดูแลงานบ้าน ทำอาหาร ซักเสื้อผ้าให้นั้น นางยังสามารถทำได้
“ตอนกลางวันข้ากินไปอิ่มมากแล้ว ตอนนี้ยังไม่หิว” จางเจิ้นอันเห็นท่าทางยังงัวเงียของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะใช้นิ้วแตะปลายจมูกนางเบาๆ “กลับไปนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
“ไม่นอนแล้วเ้าค่ะ ข้าจะทนดูท่านพี่ทำงานหนักอยู่คนเดียวได้อย่างไร ข้าจะช่วยท่านพรวนดินด้วย” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางเอ่ยถาม “ยังมีจอบเหลืออีกหรือไม่เ้าคะ?”
“เ้าไม่ต้องลงมือหรอก ข้าจะบุกเบิกเพิ่มอีกเพียงเล็กน้อยก็พอ บ้านเรามีแปลงผักขนาดเท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว หากปลูกมากเกินไป กลับจะดูแลจัดการลำบากเสียเปล่าๆ” จางเจิ้นอันกล่าว แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของอันซิ่วเอ๋อร์ เมื่อเห็นรอยแดงจางๆ สองสามจุดบริเวณลำคอระหงของนาง ซึ่งดูเย้ายวนอย่างน่าประหลาด... หรือว่านั่นจะเป็ฝีมือของเขา?”
“ท่านพี่พูดก็มีเหตุผลเ้าค่ะ เช่นนั้นท่านส่งจอบมาให้ข้าสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” อันซิ่วเอ๋อร์เบือนหน้าหลบสายตาของจางเจิ้นอัน
เมื่อจางเจิ้นอันได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น ก็ส่งจอบในมือให้แต่โดยดี อันซิ่วเอ๋อร์ยื่นมือไปรับ จากนั้นจึงใช้จอบทุบลงไปบนก้อนดินใหญ่ที่เขาเพิ่งพลิกหน้าดินไว้ ย่อยมันให้กลายเป็ก้อนเล็กลง แล้วจึงค่อยๆ บรรจงทุบต่อไปจนดินเ่าั้ละเอียดร่วนซุย นางจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พืชผักพวกนี้เป็พืชที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ดินที่ใช้ปลูกก็ต้องละเอียดตามไปด้วย ต้องทุบให้เป็ก้อนเล็กๆ ละเอียดร่วนเช่นนี้ จากนั้นค่อยโรยด้วยขี้เถ้าจากฟางหรือหญ้าแห้ง แล้วจึงใส่ปุ๋ยบำรุง ไม่นานที่ดินรกร้างผืนนี้ก็จะค่อยๆ กลับมาอุดมสมบูรณ์ขึ้นเองเ้าค่ะ”
เพียงแค่ลงมือพรวนดินไปไม่กี่ครั้ง หน้าผากขาวเนียนของนางก็เริ่มมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นมา จางเจิ้นอันเห็นแล้วรู้สึกสงสารและเอ็นดูนางยิ่งนัก รีบกล่าวขึ้นว่า “พอแล้วๆ ข้าเข้าใจแล้ว เ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านพี่แล้วนะเ้าคะ งานที่ต้องใช้ความละเอียดเช่นนี้ เดิมทีควรเป็หน้าที่ของข้า” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าว ก่อนจะเสริมขึ้นอีกว่า “ถ้าเช่นนั้น แปลงผักของบ้านเรามีขนาดเท่านี้ก็นับว่าพอเพียงแล้วเ้าค่ะ ส่วนมุมนั้นเราเหลือเอาไว้ ถึงเวลาค่อยปลูกดอกไม้สักหน่อยก็น่าจะดี”
“ไม่เป็ไร เื่เล็กน้อย ข้าอาจจะทำได้ไม่ดี มีแต่เรี่ยวแรงที่เหลือเฟือ พรวนดินแค่นี้ไม่เปลืองแรงข้าหรอก” จางเจิ้นอันยื่นมือไปรับจอบคืนจากอันซิ่วเอ๋อร์ เขารู้ดีว่านางกำลังตั้งใจสอนเขา แต่ก็ยังพยายามรักษาน้ำใจและหน้าตาของเขาอยู่ เขาเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะห่วงหน้าตาจนไม่ยอมรับฟังเหตุผล จึงกล่าวต่อไปว่า “ข้าทำงานพวกนี้ไม่ค่อยเป็นัก ต่อไปคงต้องรบกวนเ้าช่วยสอนข้า ข้ายินดีรับฟังเสมอ”
กล่าวจบ เขาก็ยังไม่วายเสริมขึ้นอีกประโยค “แต่ว่า... แปลงผักเราจะบุกเบิกเพียงแค่ผืนนี้เท่านั้นนะ”
“เ้าค่ะๆ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับคำติดๆ กัน เมื่อเงยหน้าขึ้นมองจางเจิ้นอัน ดวงตาใสกระจ่างก็ฉายแววสงสารเห็นใจอย่างชัดเจน กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “การที่ต้องปล่อยให้ท่านพี่เหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ ข้ามองดูก็รู้สึกปวดใจนักเ้าค่ะ เอาแค่ผืนนี้ก็พอแล้ว เราสองคนช่วยกันดูแลให้ดี ปลูกพืชผักผลไม้ตามฤดูกาลไว้บ้าง ก็เพียงพอสำหรับเราสองคนแล้วเ้าค่ะ”
“อืม เช่นนั้นข้าไปทำงานต่อล่ะ เ้าอย่ามายืนตากลมเย็นอยู่ตรงนี้เลย รีบเข้าบ้านไปเสีย”
“เ้าค่ะ ข้าเข้าบ้านเดี๋ยวนี้ล่ะเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ขานรับพลางเดินกลับเข้าบ้านไป แต่เพียงครู่เดียวนางก็เดินกลับออกมาอีกครั้ง คราวนี้สวมเสื้อคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง ในมือถือตะกร้าสานใบเล็กและม้านั่งเตี้ยๆ ตัวหนึ่งออกมาด้วย
“ข้าจะนั่งปักผ้าอยู่ตรงหน้าประตูนี้แหละเ้าค่ะ แบบนี้ข้าจะได้อยู่เป็เพื่อนท่าน ท่านจะได้ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ข้าไม่้าคนอยู่เป็เพื่อน” จางเจิ้นอันไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อนในชีวิต แค่การพรวนดินยังต้องมีคนมานั่งเฝ้าเป็เพื่อน
“ข้าไม่รบกวนท่านหรอกน่า” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นเขาพูดเช่นนั้น ก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าก็ไม่ได้ไล่เ้าเสียหน่อย” เมื่อเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ทำท่าไม่พอใจ จางเจิ้นอันจึงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง “ขยับเข้าไปนั่งด้านในอีกหน่อยเถิด ข้างนอกลมแรง”
“ทราบแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ขยับม้านั่งของตนเข้าไปเล็กน้อยตามคำบอก
จางเจิ้นอันเห็นท่าทางเช่นนั้นของนาง ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากยิ้มออกมา ความรู้สึกที่มีคนอยู่เคียงข้างเป็เพื่อนเช่นนี้ ช่างดีไม่น้อยเลยจริงๆ มิน่าเล่าผู้คนในโลกจึงชมชอบนัก กับการมีสาวงามข้างกายคอยดูแลปรนนิบัติ
บางครั้งยามที่พรวนดินจนเหนื่อยล้าแล้วหยุดพัก เขาจะเหลือบมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ภาพนางก้มหน้าก้มตาปักผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจนั้น ก็นับเป็ทิวทัศน์ที่งดงามไม่น้อย และบางครั้งนางก็บังเอิญเงยหน้าขึ้นมาพอดี ชั่วขณะที่สายตาประสานกันนั้น ดวงตาใสกระจ่างดุจน้ำในฤดูสารท รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ ทั้งหมดนั้นค่อยๆ ซึมซาบเข้าสู่ห้วงหัวใจของเขาทีละน้อย ราวกับสายฝนชุ่มฉ่ำในฤดูใบไม้ผลิ
