หวางกุ้ยเซียงพูด “อย่างไรกัน พี่สะใภ้กำลังช่วยข้า หากพี่สะใภ้ยินดีรับซื้อ ต่อให้ไม่ใช่ราคาสิบสองเหวิน แต่เป็แปดเหวินก็มีคนอยากขายให้! ถึงอย่างไรเนื้อผ้าของผ้าเช็ดหน้านี้ก็ซื้อเศษผ้ามาทำ เข็มกับด้ายก็ราคาไม่เท่าไร ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่สะใภ้หวังดีต่อข้า!”
“ถ้ารู้ก็รับเงินไป พวกเราใช่คนอื่นคนไกล!” คำตอบของหวางกุ้ยเซียงทำให้หลินหวั่นชิวพึงพอใจมาก นางจงใจเปิดเผยเื่ที่ตัวเองนำไปขายต่อแล้วได้กำไรออกมา อยากดูว่าหวางกุ้ยเซียงจะรู้สึกไม่ยุติธรรมหรือไม่
นางเคยเจอคนเช่นนี้ในยุคปัจจุบัน พนักงานในห้างโกงเงินเถ้าแก่ อย่างเช่นซื้อเสื้อหนึ่งตัวลดราคาสิบเปอร์เซ็นต์ สองตัวลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์ สามตัวลดสามสิบเปอร์เซ็นต์ พนักงานพวกนี้ก็จะพูดกับลูกค้าที่ซื้อแค่ตัวเดียวอย่างเป็มิตรว่ากลัวไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แล้วต้องต่อแถว ให้จ่ายเงินกับพวกเธอโดยตรงหรือโอนเงินสดให้ก็ได้ พวกเธอจะช่วยจ่ายเงินให้
ลูกค้าย่อมยินดีอยู่แล้ว เพราะผู้ใดต่างก็ี้เีต่อแถวทั้งนั้น
พนักงานเก็บเงินเสร็จก็เอาเสื้อสามตัวไปจ่ายรวมกันที่เคาน์เตอร์ เช่นนี้แล้วพวกเธอจะได้ส่วนต่างที่ลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์เข้ากระเป๋า
ทั้งที่พวกเธอเอาเปรียบเถ้าแก่แต่กลับนินทาว่าร้ายในที่ลับ บอกว่าเถ้าแก่ได้กำไรจากเสื้อตัวหนึ่งตั้งมากขนาดนั้นกลับให้เงินเดือนพวกเธอนิดเดียว หากไม่ใช่เพราะมีพวกเธอช่วยขาย เคาน์เตอร์ของเถ้าแก่คงปิดกิจการไปนานแล้ว
เหอะๆ
คนพวกนี้ไม่คิดบ้างเลยว่าคนเขาเปิดร้านต้องลงทุนเท่าไร ทั้งค่าแฟรนไชส์ ค่าเข้าห้าง ค่าซ่อมบำรุง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าพนักงาน ค่าโฆษณา…
ต้นทุนทุกอย่างรวมกันเป็ตัวเลขไม่ใช่น้อยๆ เถ้าแก่ต้องแบกรับความเสี่ยงทางการเงินอย่างมหาศาล คนข้างล่างแค่ลงแรง รับเงินจากค่าแรง ความเสี่ยงน้อยกว่าเถ้าแก่ที่ลงทุนมาก คนลงทุนน้อยย่อมได้น้อย
ที่หลินหวั่นชิวกล้าทดสอบเช่นนี้เพราะทั้งสองบ้านสนิทกัน ไม่อยากให้วันหน้าความสัมพันธ์ของทั้งสองบ้านต้องถูกทำลายด้วยเื่เล็กเท่าหัวแมลงวันพวกนี้ ที่มีคำกล่าวว่าจะร้ายก็ต้องร้ายให้เห็นก่อน
“ได้ เช่นนั้นข้าจะรับไว้ ขอบคุณพี่สะใภ้!” หวางกุ้ยเซียงรับเงินเสร็จก็กลับไปที่ห้องด้านหลังกับจ้าวหงฮวา
ปิดประตู หวางกุ้ยเซียงเก็บเงินสิบสองพวงนั้นลงในห่อผ้าต่อหน้าจ้าวหงฮวา
จ้าวหงฮวารู้สึกอิจฉามากจริงๆ นางมองมือตัวเอง ปลายนิ้วมีแต่ตุ่มด้าน ตุ่มนี้เกิดจากการทำงานหนัก มือหยาบจนเย็บผ้าไม่ได้ เพราะจะทำให้เส้นด้ายกับเนื้อผ้าโดนเกี่ยวได้ง่าย
อีกอย่าง ไม่มีผู้ใดสอนงานเย็บปักให้นางเช่นกัน
ผ้าเช็ดหน้าสิบผืนขายได้หนึ่งร้อยยี่สิบเหวิน นี่เป็จำนวนเงินที่ไม่น้อยเลย
จ้าวหงฮวาพูดด้วยความอิจฉา “พี่สะใภ้เองก็โลภเกินไป ผ้าเช็ดหน้าพวกนี้เ้าทุ่มเทแรงกายแรงใจทำออกมา นางไม่ได้ทำกระไรทั้งนั้นแต่กลับหักกำไรจากเ้าสามเหวิน หากเป็ข้า เอากำไรแค่ผืนละหนึ่งเหวินก็รู้สึกว่าเยอะแล้ว” ตัวนางไม่ได้เงินเหมือนผู้อื่นก็อยากสร้างความบาดหมางระหว่างหวางฟู่กุ้ยกับหลินหวั่นชิว ให้ธุรกิจระหว่างทั้งสองพังไปเลยยิ่งดี
รอยยิ้มบนหน้าหวางกุ้ยเซียงเย็นลงทันทีที่ได้ยิน มองมาทางจ้าวหงฮวาด้วยสายตาแหลมคม “จ้าวหงฮวา เห็นแก่ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวพวกเรา ข้าจะทำเป็ไม่ได้ยินคำพูดนี้ของเ้า แต่หากครั้งหน้าข้ายังได้ยินเ้าพูดจาไม่ดีเช่นนี้อีก เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าต้องเอาไปฟ้องพี่สะใภ้! ถ้าไม่ชอบที่พี่สะใภ้ได้เงินเยอะนัก เหตุใดเ้าไม่ไปดูบ้างว่าที่ร้านปักเย็บรับซื้อผืนละเท่าไร? ถ้าเป็เ้าจะเอากำไรแค่ผืนละหนึ่งเหวินเช่นนั้นหรือ…เหอะๆ…เอาสิ ถ้าเ้ามีเงินรับซื้อ ข้าก็จะขายให้เ้าเช่นกัน? ขายให้พี่สะใภ้ผืนละสิบสองเหวิน ขายให้เ้าผืนละสิบเหวินเป็อย่างไร?”
จ้าวหงฮวาคิดไม่ถึงว่าหวางฟู่กุ้ยจะพูดหักหน้ากันเช่นนี้ นางโมโหจนหน้าแดง ผ่านไปอยู่นานก็พูดออกเพียงประโยคเดียวว่า “ไม่รู้จักเห็นค่าความหวังดี!”
“ไม่อยากได้ เ้าเก็บความหวังดีไว้กับตัวเองเถิด จ้าวหงฮวา ข้าขอเตือนเ้านะ บ่ายนี้พี่สะใภ้จะคุยเื่ดอกไม้ประดับผมกับพวกเรา นี่หมายความว่ากำลังให้โอกาสพวกเราได้หาเงิน ถ้าเ้ารังเกียจ…เช่นนั้นก็รีบกลับไป อย่ามาเสียเวลาในอำเภอ!”
“เ้า…” จ้าวหงฮวาตาแดงก่ำ มีหยดน้ำใสๆ ไหลออกมาจากดวงตา นางปีนขึ้นเตียงไปขดตัวร้องไห้
หวางกุ้ยเซียงพ่นลมหายใจออกมาอย่างเ็า “เหตุใดกัน ร้องไห้ให้ตาบวมแล้วจะได้ให้ผู้อื่นคิดว่าข้ารังแกเ้าหรือ? เชิญเ้าร้องไปเลย หากมีผู้ใดถาม ข้าจะเปิดเผยสิ่งที่เ้าพูดให้หมด ให้ทุกคนช่วยกันตัดสินว่าผู้ใดกันแน่ที่ไม่ได้รับความเป็ธรรม!”
“เ้า…เ้าต้องบีบให้ข้าตายเท่านั้นถึงจะยอมหรือ?” จ้าวหงฮวาร้อนใจ หันมามองหวางกุ้ยเซียงอย่างโกรธแค้น
“พวกเรารู้จักกันมาั้แ่เด็ก ข้าพูดเพราะรู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเ้าเพียงประโยคเดียว เ้ากลับตอกกลับข้าขนาดนี้! หวางกุ้ยเซียง เ้าอยากปีนขึ้นกิ่งไม้สูงก็ปีนไป แต่อย่ามาเหยียบย่ำข้า! ข้ามันใจแคบ ข้าผิดเอง แต่ที่ข้าคิดเช่นนั้นก็เพราะหวังดีกับเ้า อยากให้เ้าได้เงินมากขึ้น! เ้าลองคิดเองเถิด เ้าได้เงินเยอะแล้วเกี่ยวกับข้าหรือไม่ เหตุใดข้าต้องเปลืองแรงพูดด้วย นั่นก็เพราะมิตรภาพที่พวกเรารู้จักกันมาั้แ่เด็ก เพราะข้ามองเ้าเป็พี่น้องไม่ใช่หรือไร!”
คำพูดของจ้าวหงฮวาทำให้ความโกรธของหวางกุ้ยเซียงหายไป ทั้งคู่รู้จักกันมาั้แ่เด็ก แม้จะไม่ได้ผูกพันลึกซึ้งกระไรแต่ก็มีมิตรภาพ อีกทั้งที่นี่ก็เป็ในอำเภอ อยู่บ้านผู้อื่น
“วันหน้าเ้าห้ามพูดเหลวไหลอีก ข้าจะไม่เอาความกับเ้า สิ่งอื่นไม่ต้องพูดถึง ข้าขายผ้าเช็ดหน้าให้พี่สะใภ้แล้วได้เงินเยอะกว่าเดิมผืนละสองเหวิน ส่วนพี่สะใภ้จะขายได้เท่าไรข้าไม่สน ต่อให้นางขายผืนละหนึ่งตำลึงก็เป็ความสามารถของนาง!”
หวางกุ้ยเซียงพูดจบก็ถอดรองเท้าขึ้นเตียง หันหลังให้จ้าวหงฮวาพร้อมกับพูดว่า “รีบนอนเถิด ให้เื่นี้จบลงเท่านี้”
จ้าวหงฮวาโมโหเดือดดาลมากแต่ไม่กล้าพูดกระไรอีก
ภายในใจเกลียดชังหลินหวั่นชิวมากกว่าเดิม เมื่อหลินหวั่นชิวมา หวางกุ้ยเซียงก็ไม่คิดไปทางเดียวกับตัวเองอีก
นางไม่ลองคิดบ้างว่าเหตุใดหวางกุ้ยเซียงถึงไม่พูดคัดค้านหลินหวั่นชิว ผ้าเช็ดหน้านี้ขายได้ราคาดีกว่าเอาไปขายที่ร้าน! หวางกุ้ยเซียงไม่ใช่คนเขลาที่จะแยกแยะไม่เป็เสียหน่อย!
