เป็ภาพวาดคนภาพหนึ่ง
ทั่วร่างสวมใส่เกราะทองศักดิ์สิทธิ์ บุรุษวัยฉกรรจ์สวมมงกุฎทองคำฐานันดรแห่งาาไว้บนเศียร
แวบแรกที่ได้เห็น เ่ิูก็รู้สึกราวกับว่าภาพนี้มีชีวิต กลิ่นอายสูงส่งยากจะหาคำอธิบาย กดดันมหาศาลราวถล่มฟ้าทลายดิน ให้ความรู้สึกสั่นงันงกเสมือนมดเผชิญหน้ากับพญาั
เกราะสีทองเปล่งกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์วับวาว มงกุฎทองอร่ามหกยอด หอกยาวประหลาดล้ำดุจเขาั รวมกับแววตาว่างเปล่าเรืองอำนาจของบุรุษฉกรรจ์นั้น...
นี่มันภาพเทพราชัน!
เ่ิูผุดความคิดนี้ขึ้นมาอย่างไร้ที่มา
แม้ไม่ล่วงรู้นามของบุรุษผู้นี้ และไม่เคยเห็นใบหน้านี้จากที่ไหนมาก่อน ไม่รู้ที่มาของเกราะทองคำนี้เลย เพียงแค่คิด ว่าคนๆ นี้มิใช่ปุถุชนเดินดิน ไม่ใช่จอมยุทธ์แกร่งกล้าธรรมดา...เขาเป็เทพเ้า!
เทพเ้าที่แท้จริง!
ในความรู้สึกของเด็กหนุ่ม ต่อให้มีพลังระดับอาณาทะเลระทมขึ้นไป ก็ยังไม่อาจเป็คู่ต่อสู้กับชายผู้นี้ได้แม้แต่เสี้ยวธุลี
นับั้แ่ลืมตาดูโลกมา เ่ิูไม่เคยรู้สึกกดดันเช่นนี้กับใครหน้าไหนมาก่อน
ถึงจะเป็แค่ภาพๆ หนึ่ง
ภาพวาดภาพเดียวเท่านั้น
“ทั้งหน้ามีแต่ภาพนี้ภาพเดียว หมายความว่าไรกันแน่นะ?”
เ่ิูตรวจตราละเอียดลออ รู้สึกเหมือนในหน้ากระดาษแอบซ่อนข้อมูลไว้เยอะแยะ แล้วก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรเลยเช่นกัน คัมภีร์ทองแดงโบราณเล่มนี้ลึกลับเหลือเกิน ของที่เหลือรอดจากยุคเทพมาร น่าเสียดายที่มิใช่คัมภีร์เคล็ดวิชา...
ตอนเขาคิดเช่นนั้นเอง ภาพก็แปรเปลี่ยนในบัดดล
เทพราชันที่หยัดยืนนิ่งสงบ เริ่มขยับตัว
สายตาสีทองทั้งสองคมดุจกระบี่เทพเ้า เสียดทะลุออกมาจากหน้ากระดาษ เ่ิูถอยหลังด้วยสัญชาตญาณ พริบตาต่อมา เทพราชันเกราะทองก็ก้าวออกมาจากคัมภีร์ ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาจริงๆ...
“ฉิบหาย...”
เ่ิูโยนหนังสือทิ้งไม่ไยดี
วันนี้ต้องยอมรับว่าเขาถูกหนังสือเร้นลับเล่มนี้ทำหวาดกลัวเข้าแล้ว
ใครจะรู้ว่าพอคัมภีร์หลุดมือไปจะไม่ร่วงหล่น กลับลอยคว้างอยู่กลางอากาศเสียอย่างนั้น
เทพราชันเกราะทองออกมาเผชิญหน้า ตรงเข้าหาร่างเ่ิู ข้ามผ่านเขาไปประหนึ่งฟองภาพความฝัน
เ่ิูถึงเพิ่งมีปฏิกิริยา สิ่งที่เขาเห็นเป็เพียงภาพลวงตาเท่านั้น ไม่ได้มีอยู่จริง ทว่าเพราะสมจริงเกินไป ท่าทางราวกับมีชีวิต จึงทำให้ตนแยกจริงเท็จไม่ออก
พอวางใจลงได้หน่อย ก็หันไปมองเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวของเทพราชัน แสดงท่วงท่ากระบวนยุทธ์สี่กระบวนยุทธ์ติดต่อกัน รวดเร็วเหลือใจ ทำเ่ิูตาลายจ้าละหวั่น
เมื่อสำแดงท่าจู่โจมเสร็จสิ้น ราวภูผาถล่ม ปฐีร้าวแยก ความน่ากลัวประหนึ่งมีูเาไฟะเิอยู่ต่อหน้าต่อตา เหมือนจะไม่มีชีวิตอยู่ดูตะวันรุ่งวันพรุ่งอีกแล้ว...
เป็ท่าจู่โจมสี่กระบวนยุทธ์ฉีกนภาที่น่าครั่นคร้ามจะหาไหนเปรียบ
แต่น่าเสียดายที่ไม่รีรอให้เ่ิูดูให้แจ่มแจ้ง เทพราชันเกราะทองแสดงท่าทั้งหมดเสร็จแล้วก็ะโกลับคัมภีร์ทองแดงโบราณ แปรเป็ภาพวาดเหมือนจริง ฝังเลี่ยมอยู่บนหน้ากระดาษ ไม่ขยับเขยื้อน เหมือนก้าวสู่ห้วงนิทราอันยาวนานอีกครั้ง
เ่ิูนิ่งงัน เขาโบกมือ คัมภีร์ทองแดงท่วงทำนองยุคเทพมารก็ลอยเข้ามือเขาไป
ใจสั่งอีกครา แสงยังไม่ทันกะพริบ เด็กหนุ่มก็เก็บคัมภีร์ไว้ในทะเลห้วงความคิดแล้ว
“สี่กระบวนยุทธ์นั้นทรงพลังและอำนาจไร้เขตขัณฑ์ เสียดายที่ข้าไม่ได้ดูครบ ช่าง...” เ่ิูเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตอนกำลังไตร่ตรองอยู่นั้นเอง สมองพลันแล่นประกายบางอย่าง ส่งผ่านข้อมูลที่น่าพิศวงไม่หน่อย
เ่ิูรับรู้แล้วครู่หนึ่ง ถึงได้อ้าปากค้าง
“สี่กระบวนยุทธ์...นั่นมันท่าและวิธีฝึกฝนทั้งหมดของสี่กระบวนยุทธ์...์ช่วย!”
เ่ิูคลั่งเสียแล้ว
ไม่เคยจะนึกเลยว่าตอนที่กำลังวิตกกังวลกับอนาคตตัวเองอยู่นั้นเอง การโจมตีด้วยกระบวนยุทธ์จากท่วงทำนองเทพมารทั้งสี่ที่เทพราชันเกราะทองแสดงให้เขาเห็น น่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งหัวใจและเคล็ดลับ กลับสถิตอยู่ในสมองของเขาชนิดครบองค์ประกอบ
ความรู้สึกนี้เกินคำว่าอัศจรรย์ไปไกลโข
ดั่งว่าสถิตอยู่ในสายเืแต่ชาติปางก่อน ราวกับว่าเขาเคยจดจำมันได้แม่นมั่นเมื่อนานชั่วกัปชั่วกัลป์ แล้วลืมเลือนเมื่อภายหลัง ตอนนี้ก็เริ่มจำได้ขึ้นมาฉับพลัน
เ่ิูเริ่มจมจ่อมกับกระบวนยุทธ์ทั้งสี่ในบัดดล
...
...
วันเวลาเวียนผ่านไปทีละวันๆ
ไม่ทันไรก็หนึ่งเดือนผ่านพ้นไป
เ่ิูอยู่ในหอเล็กๆ ของหอพิจารณ์มาสองเดือนเต็มแล้ว
กับเพื่อนในโลกภายนอกนั้น เด็กหนุ่มไม่รู้ข้างนอกเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ไม่มีใครเข้ามาเยี่ยมเยียนเขาสักคน
บริเวณโดยรอบนี้นานทีจะมีเสียงโผล่เข้ามา กระทั่งหมู่นกยังไม่อาจโผบินในอากาศ เสียงจากสหายข้างห้องก็ไม่ปรากฏอีกเลย นอกจากคุยกับตัวเองคนเดียวแล้ว สภาพแวดล้อมนี้ช่างเงียบสงัดจนน่ากลัว
ท่ามกลางสภาพอันโดดเดี่ยววังเวงนี้ พลังของเ่ิูก็เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน
ใต้แสงตะวันเร่าร้อนอาบเคลือบร่างท่อนบนของเ่ิู เขาจับหอกไน่เหอไว้ด้วยทีท่าแปลกประหลาด ก่อนกระชับไว้ด้านหลัง แสงทองอ่อนจางสาดส่องหยาดเหงื่อบนกล้ามเนื้อสีแทน ราวกับไข่มุกงามแพรวพราว ท่าทีที่เขายืนนั้นพิเศษยิ่ง ทั่วกายประดุจดั่งเป็รูปสลัก
บรรยากาศอันเหนือชั้นพันล้อมกายเขาไว้
ฟิ้ว!
ไม่เห็นว่าเ่ิูขยับอะไร หอกไน่เหอก็ถูกขว้างออกไป
มองไม่เห็นตัวหอก
หอกนั้นหายลับไปกับอากาศธาตุ
แทบจะเวลาเดียวกัน หอกก็ปรากฏออกมาในมุมที่เป็ไปไม่ได้
เป็จุดที่ไม่สอดคล้องกับวิถีการเคลื่อนที่เลย
แล้วก็หาใช่ปรากฏอยู่ในเส้นแนวระดับด้วย
แต่เป็...
จากท้องฟ้า!
ใช่แล้ว หอกไน่เหอร่วงลงมาจาก้า
เสมือนชั้นเมฆ มีเทพเ้าคอยพิพากษาตัดสินธงั์แห่งดวงิญญา โยนลงมาจากฟากฟ้าสูงชะลูด
หอกยาวราวธงรบ นำพาพลังชัดเจนและเที่ยงแท้ลงมาด้วย มันเสียบแน่นอาบแสงอยู่ยี่สิบกว่าเมตรเหนือพื้น อักขระแกร่งกล้าบนพื้นศิลาสีดำ ที่แข็งแกร่งกว่าเหล็กประณีตหลอมมาร้อยครั้ง กลับถูกหอกนี้ทิ่มแทงลึกไปหนึ่งเมตรเต็มๆ
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ มีพลังงานประหลาดพันล้อมรอบหอกนั่นไว้
อานุภาพน่ากลัวเหลือเกิน!
อาจจินตนาการได้ว่า หากปลายหอกจากเบื้องบนนี้ตกลงบนตัวใคร ต้องแทงทะลุอย่างไม่ต้องสงสัย
เ่ิูรับประกันได้ว่าแม้นฉินอู๋ซวงจะปราดเปรียวแค่ไหน ก็ยังไม่อาจหนีคมพิฆาตของหอกนี้ได้
‘ธงรบแผ่นดิน!’
นามแห่งกระบวนยุทธ์นี้ หมายความถึงธงรบของโลกทั้งใบนั้นเอง
เป็กระบวนยุทธ์ที่สามของทั้งสี่กระบวนยุทธ์แห่งเทพราชันเกราะทองคำ และเป็กระบวนยุทธ์ที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งด้วย
เ่ิูสีหน้ามิแปรเปลี่ยน มือขวาถือหอกอีกด้ามลงมือว่องไว เขายื่นหอกออกไป ปลายหอกมีไอสีเงินแหวกอากาศเป็สาย รวดเร็วจนมองไม่เห็น มันแผ่ไอน่าขนลุก ทุกสิ่งอย่างในอาณัติยี่สิบเมตรถูกทิ่มแทงจนแตกสลาย
ไออำมหิตแผ่ซ่าน อากาศในรัศมีวงกลมยี่สิบเมตรกลายเป็สุญญากาศ เหมือนอากาศถูกทำลายไปด้วย!
‘โผัเกรี้ยว’!
กระบวนยุทธ์แรกแห่งเทพราชันทองคำ ‘โผัเกรี้ยว’!
พลานุภาพมหาศาลกว่าอาณาน้ำพุิญญาสองตารวมกันเสียอีก
ร่างกายของเ่ิูเหมือนได้การชักนำจากพลังเร้นลับ ดั่งภูตผีเข้าหาตำแหน่งธงรบในชั่วพริบตา ท่าทางราวจะถล่มภูผาให้จมดิน ส่งคลื่นลมแรงกล้าเบิกอากาศเป็ชั้นๆ!
สี่กระบวนยุทธ์ของเทพราชันเกราะทองนี้ ท่าที่หนึ่งและสามต้องโจมตีติดต่อกัน
เมื่อใช้หน้าหลังครบแล้ว พลานุภาพจะแผ่ไพศาล เพิ่มพลังจู่โจมที่น่าหวาดกลัวได้
เมื่อแสดงทั้งสองท่าจบแล้ว เ่ิูก็หยุดลง
“อานุภาพของสองท่านี้ แม้จะยิ่งใหญ่มากนัก แต่ก็ผลาญพลังงานภายในด้วยเช่นกัน กับพลังภายในข้าตอนนี้ อย่างมากก็พอใช้สองท่านี้ติดต่อกันได้สองครั้งเท่านั้น ไม่งั้นพลังภายในแห่งน้ำพุิญญาของข้า อาจมลายจนหมดก็ได้...”
เ่ิูครุ่นคิดไตร่ตรอง
ใจเขาชัดเจนยิ่ง ว่าความเข้าใจถ่องแท้ถ้วนทั่วในกระบวนยุทธ์ทั้งสองนี้ของตน ยังดึงพลานุภาพสูงสุดออกมามิได้ ตามคำบรรยายของหนังสือเล่มนั้นบอกไว้ชัดเจนว่า ‘ธงรบแผ่นดิน’ เมื่อฝึกฝนถึงขั้นสูงสุดแล้ว จะสามารถพุ่งออกไปได้พันลี้ ทิ่มแทงได้ไกลพันลี้...
ดู ณ ปัจจุบันแล้ว สี่กระบวนยุทธ์แห่งเทพราชันเกราะทอง และยังท่าที่สองกับท่าที่สี่ เขาก็ล้วนแล้วแต่ยังไม่บรรลุ
กระบวนยุทธ์ที่สองเป็ท่าป้องกัน นามว่า ‘ปกปักแผ่นดิน’ สามารถดึงพลังภายในเอ่อท้นทั่วร่าง กลายเป็อาณาเขตพิเศษ ทำลายการบุกของศัตรู และคอยลดพลังให้อีกฝ่ายเชื่องช้าลงด้วยในยามเดียวกัน
และกระบวนยุทธ์ที่สี่ที่ทรงพลังที่สุดก็อันตรายที่สุดด้วยเช่นกัน กระโจนขึ้นฟ้าแล้วร่วงทาบพสุธา นำร่างตะลุยฟันฝ่า เมื่อฝึกฝนถึงแก่นแท้แล้ว จะสามารถโจมตีออกมาเป็ูเาไฟทั้งลูก ดึงลาวาใต้โลกมาหลอมละลายทุกชีวิตในเขตพันลี้ให้ตายสนิท เปลี่ยนแปลงภูมิศาสตร์!
ยิ่งฝึกฝนถึงแก่นแท้มากเท่าไร เ่ิูยิ่งตกตะลึงเท่านั้น
ความแข็งแกร่งของพลังในสี่ท่านี้ ไม่อาจเทียบเคียงได้ เร้นลับลึกซึ้งห่างไกลจากเคล็ดวิชากระบวนยุทธ์ของสำนักกวางขาวเป็โยชน์ ไม่รู้ใครประดิดประดอยจากไหน เป็กระบวนท่าเทพเ้าโดยแท้!
ยิ่งรับรู้ว่าคัมภีร์ทองแดงเก่าแก่ ‘ท่วงทำนองไร้สิ้นสุดยุคเทพมาร’ นั้นเป็สมบัติล้ำค่า
เ่ิูเข้าใจดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาต้องรักษากระบวนยุทธ์นี้ไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว คนบริสุทธิ์อาจต้องล้มตายเป็ใบไม้ร่วง และหากถูกใครอื่นรู้เข้า น่ากลัวว่าอาจจะเกิดศึก่ชิง นำมาซึ่งการสังเวยเืเนื้อและโลหิต
สี่กระบวนยุทธ์แห่งเทพราชันเกราะทองนี้ เป็เพียงหน้าเดียวในจำนวนหน้านับไม่ถ้วนของท่วงทำนองยุคเทพมารเท่านั้นเอง แค่นี้ยังแกร่งกล้าขนาดนี้ เกรงว่าหน้าที่เหลืออาจมีท่าที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าและความลับอื่นอยู่อีก...
คิดถึงตรงนี้ เ่ิูก็ตื่นเต้นออกนอกหน้า
ท่วงทำนองยุคเทพมาร จะกลายเป็ที่พึ่งพายามเริ่มพัฒนา
กลางวันร้อนระอุ
หลายวันในนครลู่ินี้ เป็่เวลาที่ร้อนที่สุดของปีและสี่ฤดู หากผ่านอีกสองเดือนไปได้ อากาศก็จะเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทั้งอาณาจักรเสวี่ยจะเข้าสู่เหมันตฤดู หิมะหนาจะคลุมทับผืนดินกว้างไกล ต้อนรับคนสู่อ้อมอกแห่งฤดูหนาวที่ยาวนานเหลือใจ
เ่ิูเหงื่อแตกดั่งห่าฝน หนุ่มรุ่นฝึกฝนทั้งวันทั้งคืนอยู่ในห้องปิดตาย
ครึ่งค่อนเดือนผ่านไปอีกครั้ง
อีกไม่ถึงสิบวัน การกักตัวในหอพิจารณ์นี้ก็จะจบลง
พอถึงวันนี้ เด็กหนุ่มก็ได้เข้าใจกระบวนยุทธ์ที่สองอย่างถ่องแท้
แต่กระบวนยุทธ์ที่สี่ซึ่งทรงอานุภาพเป็เอก เขาก็ยังคงเหมือนเดิม
วันนี้เอง ที่เ่ิูกำลังฝึกซ้อมยามกลางวันแสกๆ
พลันเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“คงเป็อาจารย์คุมกฎมาส่งข้าวแล้วมั้ง?” เ่ิูมองเวลา ใกล้ถึงเวลาอาหารเต็มที แต่ครานี้ไฉนถึงรู้สึกว่าเร็วกว่าปกติ
เขาไม่ได้ใส่ใจ ยังคงปิดเปลือกตาพิจารณา ดูดดึงพลังปราณใต้หล้ามาเปลี่ยนแปรเป็พลังภายในของตัวเอง
เสียงเปิดประตูดังตามมา
เสียงคนก้าวเดิน
ผ่านไปชั่วอึดใจ เสียงปิดประตูที่ควรจะดังขึ้นก็ยังคงเงียบเชียบ
ที่ได้ยินมีเพียงเสียงน่ารักน่าชังดั่งลูกไก่อ่อนๆ ร้องจิ๊บ “พี่ชิงหยู” กลิ่นหอมอ่อนจางของเด็กหญิงลอยมาตามลม
เ่ิูนิ่งไป