ในตำหนักใหญ่ของวิทยาลัยเซิ่งตู
“ไม่ใช่กระมัง? ทำเช่นนี้ได้หรือ ไม่นับว่าเป็การละเมิดกฎหรือไง?” อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยมองคนทั้งสามในกระจกสำริดพลางเอ่ยขึ้น
“แน่นอนว่าไม่นับ พวกเราเพียงตั้งกฎว่าไม่อาจใช้อุปกรณ์อาคมหรือขี่สัตว์เป็พาหนะได้ แต่ไม่ได้ตั้งกฎว่าไม่อาจใช้ยันต์เป็พาหนะได้นี่!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามบอกเหมือนเป็เื่ถูกต้อง
“ก็จริงอยู่!” อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยพยักหน้ารับ ท่าทางเห็นด้วย
“อู๋ฉิง ยันต์ช่วยฝึกฝนคืออะไรหรือ? ยันต์ใช้เพื่อการโจมตีเพียงอย่างเดียวมิใช่หรือไง? เอามาฝึกฝนได้ด้วย?” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนเห็นยันต์ที่แปะอยู่บนตัวเด็กน้อยสองคนก็ถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ยันต์เป็ศาสตร์ที่กว้างขวางลึกซึ้งศาสตร์หนึ่ง แบ่งเป็สี่ประเภทใหญ่ ได้แก่ ประเภทโจมตี ประเภทป้องกัน ประเภทฝึกร่างและประเภทช่วยฝึกฝน ยันต์ประเภทช่วยฝึกฝนขั้นสามมีเจ็ดสิบแปดชนิด ที่หลิ่วเทียนฉีใช้เป็แค่ขั้นสามระดับล่าง ยันต์ช่วยฝึกฝนระดับต่ำสุดเท่านั้น!”
ทุกคนที่ได้ยินคำอธิบายของอู๋ฉิงพากันพยักหน้า
“ที่แท้มีสี่ประเภทเชียวหรือ? ข้าคิดว่ายันต์วิเศษมีแค่โจมตีกับป้องกันสองประเภทเสียอีก!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามตอบกลับ
“ใช่แล้ว ข้าก็คิดว่ามีแค่สองชนิดเหมือนกัน!” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“นั่นก็เพราะยันต์วิเศษประเภทโจมตีกับประเภทป้องกันนั้นถูกพบบ่อย อีกสองประเภทไม่ได้ใช้บ่อยนัก ยิ่งกว่านั้น มีผู้ใช้ยันต์อยู่มากมายที่ปราถนาให้ตนสำเร็จวิชาได้อย่างรวดเร็ว จึงร่ำเรียนเพียงอักขระยันต์ป้องกันกับโจมตีสองประเภท ส่วนอีกสองประเภทกลับทอดทิ้ง ทำให้ยันต์สองชนิดนี้กลายเป็วิชาที่ไม่ได้รับความนิยมและพบเห็นน้อยอย่างยิ่ง ผู้ที่รู้จึงมีไม่มาก!”
“อ้อ ที่แท้เป็เช่นนี้เอง!”
“ศิษย์น้องอู๋ฉิง ยันต์ช่วยฝึกฝนนี่เข้าใจง่ายนัก มันก็คือยันต์ที่ช่วยเหลือยามฝึกฝนสินะ ถ้าอย่างนั้นยันต์ฝึกร่างถือเป็ยันต์พวกไหนเล่า?” อาจารย์ใหญ่เคราแพะมองอู๋ฉิงแล้วถาม
“ยันต์ฝึกร่างเป็ยันต์ที่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนร่างกายตนเอง ตัวอย่างเช่น ยันต์วายุที่หลิ่วเทียนฉีใช้บนร่างต่งเฟิงทำให้บินได้และยันต์เพิ่มความเร็ว ยันต์เหล่านี้ล้วนเป็ประเภทฝึกร่าง รวมถึงยันต์เคลื่อนย้ายก็นับเป็ยันต์ประเภทยันต์ร่างด้วย”
“ยันต์เคลื่อนย้ายก็เป็ยันต์ฝึกร่างงั้นหรือ? ข้าคิดว่าเป็ประเภทป้องกันเสียอีก!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามได้ยินคำพูดของอู๋ฉิงก็อุทานใ
“ที่แท้ก็เป็เช่นนี้!” อาจารย์ใหญ่เคราแพะพยักหน้าเข้าใจ
“ประเภทป้องกันคือยันต์ที่ใช้ป้องกัน ยันต์เคลื่อนย้ายกับยันต์เพิ่มความเร็วไม่นับเป็การป้องกัน มันถูกนับเป็ประเภทฝึกร่างที่ก่อประโยชน์ให้กับร่างผู้ฝึกตนเอง”
“อู๋ฉิง หากเ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเ้าหนูหลิ่วเทียนฉีวาดยันต์ทั้งสี่ประเภทได้งั้นหรือ?” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนมองอู๋ฉิงพลางถามอย่างตะลึง
ได้ยินคำนี้ ทุกคนล้วนอึ้งไปด้วย ไม่ใช่กระมัง อายุยังน้อยถึงกับวาดยันต์สี่ประเภทได้ ขนาดยันต์ไม่เป็ที่นิยม คนรู้จักน้อยก็ยังวาดได้อีกหรือ?
“เขาวาดได้หมดจริง แต่วาดได้เพียงยันต์ขั้นสามระดับต่ำสุดเท่านั้น ข้าคิดว่าเวลาร่ำเรียนอักขระยันต์ขั้นสามคงไม่นานนัก อาจเรียนมาเพียงยันต์ไม่กี่แบบที่ใช้บ่อยๆ ในสี่ประเภทกระมัง”
“อ้อ!” ได้ยินเช่นนี้ ทุกคนต่างพยักหน้า
“ข้าล่ะสงสัยนัก เ้าหนูสามคนนี้จะอาศัยยันต์ในมือเดินทางผ่านเส้นทางของยี่สิบวันในห้าวัน ออกจากเขาเทียนมู่มาอย่างราบรื่นได้หรือไม่กันนะ?” อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยหันกลับมามองกระจกแล้วพูดขึ้น
“จริงแท้ ข้าก็สงสัยเช่นกัน!” อาจารย์ใหญ่เคราแพะรู้สึกว่าเื่นี้กระตุ้นความสนใจของเขาได้เป็อย่างดีเชียวล่ะ
“ขอแค่ระหว่างเดินทาง ทั้งสามคนไม่เกิดความขัดแย้งใด ข้าว่าคงไม่มีปัญหา!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามบอก
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ขอแค่ไม่พบสัตว์อสูรที่เป็ปัญหาพิเศษ ต้องกลับมาได้อย่างราบรื่นแน่!” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนพยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน
“น่าจะไม่มีปัญหา!” อู๋ฉิงพยักหน้า เขาเชื่อมั่นในตัวคนทั้งสามคนเป็อย่างมาก
“หากพวกเขาทำได้ ก็เรียกได้ว่าเป็ปาฏิหาริย์ครั้งหนึ่งในรอบร้อยปีของวิทยาลัยเซิ่งตูของเราเชียวล่ะ!”
“ใช่แล้ว ราวกับปาฏิหาริย์!”
.........
วันที่ห้า วันสุดท้ายในการฝึกวิชาของวิทยาลัยเซิ่งตู
เมื่อถึงเวลาเช้าตรู่ ต่งเฟิงแปะยันต์วายุสองแผ่นกับยันต์เพิ่มความเร็วสี่แผ่น เร่งเดินทางมุ่งไปยังทางออก
“ต่งเฟิง เสี่ยวรุ่ย นี่คือวันสุดท้ายแล้ว ตามกฎการฝึกวิชา พวกเรามีแต่ต้องเดินทางไปถึงทางออกก่อนดวงตะวันลับเหลี่ยมเขาและนั่งลงบนอุปกรณ์อาคมเหาะเหินที่มารับกลับเท่านั้น หากทำได้ถึงนับว่าพวกเราผ่านการฝึกวิชาในครั้งนี้” หลิ่วเทียนฉีมองสองคนข้างกาย ปลุกกำลังใจทั้งคู่
“เทียนฉี อีกเดี๋ยวครบครึ่งชั่วยาม เ้าแปะยันต์ช่วยฝึกฝนให้ข้าเพิ่มสักหลายแผ่น รอพวกเ้าใช้ยันต์เคลื่อนย้ายผลาญพลังทิพย์หมด ค่อยให้ข้าใช้ยันต์เคลื่อนย้ายอีกก็ได้” ต่งเฟิงมองหลิ่วเทียนฉีแล้วเอ่ยขึ้น
“ดี!” หลิ่วเทียนฉีพยักหน้าตอบรับ
“เทียนฉี วันนี้เป็วันสุดท้าย ให้ข้าพาพวกเ้าบินครึ่งชั่วยามด้วยเถอะ พวกเราบินออกไปคงเร็วกว่าใช้ยันต์เคลื่อนย้ายนะ!” เฉียวรุ่ยบอก
หลิ่วเทียนฉีได้ยินก็ขมวดคิ้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย
“เทียนฉี ให้ข้าบินเถอะ พวกเรามาถึงรอบนอกแล้ว ไม่มีทางพบสัตว์อสูรที่จัดการยากแล้วล่ะ!” หลายวันมานี้ ล้วนเป็ต่งเฟิงพาพวกเขาบิน หลิ่วเทียนฉีพาเคลื่อนย้าย เฉียวรุ่ยรับผิดชอบเพียงปกป้องทั้งสองคนมาตลอด ทุกครั้งที่เห็นสภาพพวกเขาอ่อนแรงยามผลาญสิ้นพลังทิพย์ เฉียวรุ่ยรู้สึกปวดใจเป็อย่างยิ่ง
“ได้ อีกประเดี๋ยวหลังต่งเฟิงบินไปครึ่งชั่วยาม ข้าจะพาพวกเ้าบินอีกครึ่งชั่วยาม เช่นนี้น่าจะไปถึงเร็วขึ้น หากไม่พบสัตว์อสูร เสี่ยวรุ่ยก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายต่อได้!”
“อื้ม เช่นนี้ก็ได้ วิชาต่อสู้มือเปล่าของเสี่ยวรุ่ยนับว่าดี อย่างไรให้เขาเก็บกำลังไว้ก่อนดีกว่า พยายามหลีกเลี่ยงสัตว์อสูร เพราะถ้าพวกเราไร้พลังทิพย์ เช่นนั้นย่อมถึงคราวลำบากแล้ว!” ต่งเฟิงพยักหน้าเห็นด้วย
เฉียวรุ่ยได้ยินคนรักว่าเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นก็ได้”
ต่งเฟิงกับหลิ่วเทียนฉีผลัดกันบินครึ่งชั่วยาม เฉียวรุ่ยใช้ยันต์เคลื่อนย้ายห้าแผ่น ในที่สุดทั้งสามคนก็มาถึงตีนเขาเทียนมู่
เมื่อพวกเขาพักสองชั่วยามเรียบร้อย ต่งเฟิงกับหลิ่วเทียนฉีต่างก็ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายอีกสามแผ่น เฉียวรุ่ยใช้ยันต์เคลื่อนย้ายอีกห้าแผ่น ในที่สุด ทั้งสามคนก็มาถึงทางออกก่อนตะวันตกดิน
“ศิษย์น้องกลุ่มนี้ พวกเ้าเป็อะไรไปหรือ?” เห็นทั้งสามคนนั่งทรุดอยู่กับพื้น ศิษย์พี่ที่สวมชุดวิทยาลัยเซิ่งตูรีบเดินเข้ามาประคองพวกเขาขึ้นมาทันที ก่อนพาส่งขึ้นอุปกรณ์อาคมเหาะเหิน
“ขอบคุณศิษย์พี่ทั้งหลาย!” หลิ่วเทียนฉีรีบเอ่ยขอบคุณคนทั้งสาม
อู๋ฉิงเห็นพวกเขาเดินทางออกจากเขาเทียนมู่ได้อย่างน่าหวาดเสียวแต่ปลอดภัยก็ยกมุมปาก อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนก็เปรมปรีดิ์ อาจารย์ใหญ่หญิงงามดีใจเป็อย่างมากเช่นกัน
“ปาฏิหาริย์ ราวกับปาฏิหาริย์เสียจริง!” อาจารย์ใหญ่ร่างเตี้ยมองกระจกสำริด ส่งเสียงอุทานใ
“เปลี่ยนกฎสักหน่อย คัดเลือกคราวต่อไป เขียนให้ชัดว่าใช้ยันต์วิเศษหนีเอาชีวิตรอดได้เท่านั้น ไม่อนุญาตให้ใช้ยันต์เป็พาหนะ!” หัวหน้าอาจารย์ใหญ่เฟิงกู่ลุกขึ้นยืน ใบหน้าบึ้งตึงพลางกล่าว
“รับทราบ!” อาจารย์ใหญ่เจ็ดคนที่เหลือกับอาจารย์ที่ปรึกษาพากันพยักหน้าขานรับ
“เ้าหนูสามคนนี้ ใช้ช่องว่างเก่งจริงนะ!” อาจารย์ใหญ่แห่งวิทยาลัยควบคุมสัตว์อสูรผู้เย้ายวนอ้าปากบอก
“นี่มัน ก็โทษผู้อื่นไม่ได้นะ พวกเราไม่ได้ตั้งกฎว่าไม่อาจใช้ยันต์วิเศษเป็พาหนะได้นี่!” อาจารย์ใหญ่ร่างอ้วนพูดออกมาอย่างมีเหตุผล
“ใช่แล้ว ไม่รู้ว่ากฎข้อนี้เป็ผู้ใดร่าง!” อาจารย์ใหญ่หญิงงามเอ่ยพลางชำเลืองมองอาจารย์ใหญ่ผู้เย้ายวน
“เฮอะ!” อาจารย์ใหญ่ผู้เย้ายวนแค่นเสียงเ็าทีหนึ่ง รู้สึกโกรธจึงเดินหนีไป
พวกเขาเหลือบมองอาจารย์ใหญ่วิทยาลัยควบคุมอสูรมีท่าทีเช่นนั้นอดหัวเราะไม่ได้ เพราะกฎข้อนี้บังเอิญเป็อาจารย์ใหญ่ผู้เย้ายวนแห่งวิทยาลัยควบคุมสัตว์อสูรที่เป็คนร่างขึ้น
.........
ตะวันลับเหลี่ยมเขา เรือบินของวิทยาลัยเซิ่งตูซึ่งรับผิดชอบรับศิษย์ใหม่ทั้งหมดค่อยๆ บินขึ้นออกจากเขาเทียนมู่อย่างเชื่องช้า
หลิ่วเทียนฉี เฉียวรุ่ยและต่งเฟิง เมื่อทั้งสามคนนั่งลงในเรือบินแล้ว ก็กลืนโอสถเสริมพลังทิพย์ลงไปทันที และพวกเขายังแปะยันต์วิเศษทั่วร่างเพื่อเริ่มดูดกลืนปราณทิพย์สุดชีวิต
“สามคนนั้นกำลังทำอะไรน่ะ?”
“ใช่แล้ว ทำไมนั่งแปะยันต์เต็มตัวเล่า?”
“จริงด้วย ประหลาดนักเชียว!”
ศิษย์ใหม่คนอื่นเห็นท่าทางประหลาดของพวกเขาก็ชี้มือชี้ไม้มาหา รู้สึกแปลกใจเป็อย่างยิ่ง
“ท่านพี่ พวกหลิ่วเทียนฉีเขาทำอะไรกันน่ะ?” หลิ่วอู่เห็นทั้งสามคนก็ถามอย่างสงสัย
“ข้าก็ไม่รู้!” หลิ่วซือส่ายศีรษะ เหลือบมองไปทางหลิ่วซาน
“พวกน้องเจ็ดเขาน่าจะเสียพลังทิพย์ ที่แปะอยู่บนร่างคือยันต์รวมปราณทิพย์ ใช้เร่งความเร็วการดูดกลืนปราณทิพย์น่ะ” หลิ่วซานบอก
“อ้อ!” ได้ยินอย่างนั้น หลิ่วซือกับหลิ่วอู่ก็พยักหน้าน้อยๆ
“ยันต์รวมปราณทิพย์? ยันต์รวมปราณทิพย์คือสิ่งใดกัน?”
“ใช่แล้ว ไม่เคยได้ยินมาก่อนนะ?” ศิษย์ใหม่ที่อยู่ด้านข้างไม่น้อยเริ่มถกเถียงกันอีกครั้ง
ไม่ต้องพูดถึงศิษย์ใหม่ ต่อให้เป็ศิษย์เก่าของวิทยาลัยเซิ่งตูจำนวนมากก็ยังสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่ายันต์รวมปราณทิพย์ รวมถึงสงสัยทั้งสามคนด้วย
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เรือบินมาถึงวิทยาลัยเซิ่งตูอย่างราบรื่น คนทั้งหมดล้วนถูกจัดให้รับประทานอาหารเย็น พักผ่อนในตำหนักใหญ่ก่อน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการทดสอบรอบที่สาม
ก่อนหน้านี้ มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์หนึ่งพันกว่าคนมาในตำหนักใหญ่แห่งนี้เพื่อเข้าร่วมการฝึกวิชาบนเขาเทียนมู่ ทว่าผ่านไปสามเดือน เมื่อกลับมาที่นี่อีกครั้ง กลับค้นพบอย่างน่าประหลาดใจ จำนวนคนลดน้อยลงเหลือเพียงห้าร้อยกว่าคนเท่านั้น ราวสองในสามล้วนถูกคัดออกในการฝึกวิชาบนเขาเทียนมู่ไปเสียแล้ว
พวกเขาสามคนใช้ยันต์วิเศษกับโอสถ หนึ่งคืนผ่านไปถึงฟื้นพลังทิพย์กลับมาได้เจ็ดส่วน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสามคนออกจากตำหนักใหญ่ที่พักผ่อนไปพร้อมกับคนอื่นอย่างตรงเวลา เตรียมตัวเข้าร่วมการทดสอบในรอบสุดท้าย
รอบที่สามช่างเรียบง่ายนัก เพียงให้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่ผ่านการฝึกวิชาบนเขาเทียนมู่ เลือกวิทยาลัยที่ตน้า ได้แก่ วิทยาลัยยันต์ วิทยาลัยโอสถ วิทยาลัยกระบี่ วิทยาลัยยุทธ์ วิทยาลัยหลอมอุปกรณ์ วิทยาลัยค่ายกลและวิทยาลัยควบคุมสัตว์อสูร หลังจากเลือกได้เรียบร้อย ให้ไปลงชื่อเข้าร่วมการทดสอบของวิทยาลัยนั้น
การเข้าร่วมการทดสอบของวิทยาลัยศาสตร์มีเพียงสอบวิชาโอสถ วิชายันต์ วิชาค่ายกล วิชาควบคุมสัตว์อสูรและวิชาหลอมอุปกรณ์ขั้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนการเข้าร่วมการทดสอบของวิทยาลัยยุทธ์กับวิทยาลัยกระบี่ คือให้ศิษย์ใหม่รับสิบกระบวนท่าของศิษย์เก่าที่กำหนดให้ได้ถึงนับว่าผ่าน เพราะสิ่งที่สอบล้วนเป็ขั้นพื้นฐาน เมื่อเทียบกับการทดสอบรอบอื่นแล้วจึงค่อนข้างง่ายทีเดียว
ในฐานะผู้ใช้ยันต์ขั้นสาม วาดยันต์ขั้นหนึ่งแผ่นหนึ่งสำหรับหลิ่วเทียนฉีนั้น ง่ายดายดั่งล้วงกระเป๋าหยิบของ เพราะอย่างนั้น เขาจึงผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น เช่นเดียวกับหลิ่วซานและหลิ่วซือ พวกนางผ่านการทดสอบของวิทยาลัยยันต์เช่นกัน
จำนวนคนที่เข้าร่วมการทดสอบวิทยาลัยยันต์ครั้งนี้คือสี่สิบแปดคน ผู้ที่ผ่านมีสี่สิบสองคน อีกหกคนโชคไม่ดีถูกคัดออก ไม่อาจรั้งอยู่ในวิทยาลัยเซิ่งตูต่อไปได้
“ศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องหญิงทั้งหลายที่ผ่านการทดสอบ จงตามข้าไปตำหนักใหญ่ของวิทยาลัยยันต์ เข้าฟังโอวาทของอาจารย์ใหญ่อย่างพร้อมเพรียง!” ศิษย์พี่คนหนึ่งเดินมาถึงตรงหน้าผู้ผ่านการคัดเลือก พาทั้งสิบสองคนออกจากสนามสอบไปยังห้องโถงใหญ่ของวิทยาลัยยันต์