“ครืนๆ!”
คลื่นพลังปั่นป่วน กองกระดูกกระทบกันจนเกิดเสียงดัง
จั๋วอวิ๋นเซียนถือ ‘พู่กันสลักิญญา’ กำลังบรรจงวาดอักขระบนแผ่นภาพค่ายกล
‘พู่กันสลักิญญา’ คืออุปกรณ์ิญญาที่เอาไว้ใช้วาดอักขระค่ายกลโดยเฉพาะ วิธีใช้งานสะดวกมาก เพียงให้ผู้บำเพ็ญเซียนใส่พลังิญญาเข้าไปในพู่กันก่อน ถึงแม้จะเป็คนธรรมดาที่ไม่มีพลังก็สามารถใช้ได้ มันคล้ายกับล้อเหินเวหา
ทว่าถึงอย่างไรก็มิอาจเอาสิ่งของจากโลกความจริงเข้ามาในมิติมายาสุญญตาได้ ดังนั้นอุปกรณ์อย่างพู่กันสลักิญญาล้วนผลิตมาจากพันธมิตรเซียนศักดิ์สิทธิ์ หรือไม่ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนที่มีฝีมือใช้วัสดุในมิติมายาสร้างขึ้นมา
……
“ตูม!”
คลื่นพลังสลายหายไป กองกระดูกสีขาวถล่มลงมา
พู่กันสลักิญญาในมือของจั่วอวิ๋นเซียนหักทันที อักขระค่ายกลที่ยังไม่สมบูรณ์ก็ถูกทำลายจนหมด
ซากโบราณสถานแห่งนี้เดิมทีก็เป็ค่ายกลขนาดใหญ่ จั๋วอวิ๋นเซียนศึกษามาเป็เวลานานแล้ว เดิมคิดว่าจะใช้อักขระทวนกระแสทำลายค่ายกลนี้ แต่เขากลับดูถูกระดับความซับซ้อนของค่ายกลเกินไป
ทุกจุดเชื่อมโยง หัวท้ายสอดประสาน เรียงสลับเป็คู่ สืบเนื่องไม่ขาดสาย
จั๋วอวิ๋นเซียนผ่านอุปสรรคและความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง กลับกันยิ่งเข้าใจถึงวิถีแห่งค่ายกลลึกซึ้งขึ้น
หลังจากปรับอารมณ์สักพักหนึ่ง เขาหยิบพู่กันสลักิญญาแท่งใหม่มาเริ่มทดลองต่อไป
……
“อวิ๋นเสี่ยวเซียน อวิ๋นเสี่ยวเซียน เ้าอยู่หรือไม่?”
‘กำไลสื่อิญญา’ ที่ข้อมือของจั๋วอวิ๋นเซียนส่องแสงสว่าง จากนั้นมีเสียงของผู้ชายคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“ถังจิ่วหรือ? มีเื่อันใด?”
จั๋วอวิ๋นเซียนวางพู่กันสลักิญญาลง เขาส่งจิตเข้าไปในกำไลสื่อิญญา
เพื่อรักษาความเป็ส่วนตัว โดยปกติทุกคนที่เข้ามาในโลกใบนี้ล้วนใช้ชื่อปลอมและเปลี่ยนแปลงใบหน้า เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งในมิติมายาสุญญตาส่งผลกระทบไปถึงโลกความเป็จริง และ ‘อวิ๋นเสี่ยวเซียน’ ก็คือชื่อปลอมในมิติมายาสุญญตาของจั๋วอวิ๋นเซียน ส่วน ‘กำไลสื่อิญญา’ มีความคล้ายคลึงกับ ‘ยันต์สื่อสาร’ ในสมัยโบราณ ใช้เพื่อส่งข่าวให้ญาติสนิทมิตรสหาย มีความสะดวกรวดเร็ว ทั้งยังปลอดภัยเชื่อถือได้ ซึ่งใช้งานง่ายกว่ากระบี่ส่งข่าวและกระจกเชื่อมจิตหมื่นลี้เสียอีก
เมื่อติดต่อกับจั๋วอวิ๋นเซียนได้แล้ว ถังจิ่วก็ไม่ได้เกรงใจ รีบถามไปว่า “บททดสอบสุดท้ายของซากโบราณสถานลำดับที่สามสิบสองต้องใช้น้ำแกงเสริมปราณ เ้าปรุงน้ำแกงออกมาได้อย่างไร?”
“น้ำแกงเสริมปราณหรือ?”
จั๋วอวิ๋นเซียนครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ผลอีหยวนสองซีก ไม้ซานฉายสี่ท่อน ดอกอู๋เหว่ยหกดอก หญ้าชีซิงแปดต้น โสมจิ่วหยางสิบต้น...ใช้เพลิงหยางหนึ่งร้อยลมหายใจ ใช้เพลิงหยินอีกหนึ่งร้อยลมหายใจ เสริมปราณเปลี่ยนเป็พลัง”
“เพลิงหยาง...เพลิงหยิน...ที่แท้ก็เป็เช่นนี้ วิเศษ วิเศษยิ่งนัก!”
ถังจิ่วปรบมือพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ไม่เสียทีที่เป็อวิ๋นเสี่ยวเซียนผู้รอบรู้ ขอบคุณเ้ามาก...ใช่แล้ว เ้ายังอยู่ที่สุสานโบราณผุพังอีกหรือ? ข้าได้ยินมาว่าที่นั่นชั่วร้ายมาก คนมากมายต่างล้มเหลว เ้าอยู่ตรงนั้นมาสามเดือนกว่าแล้ว ทำไมต้องเอาเวลาของเ้าไปเสียกับที่นั่นด้วย รีบออกมาเถอะ พี่จิ่วจะพาเ้าโบยบินบนฟ้าเอง”
“ไม่ว่าง”
จั๋วอวิ๋นเซียนปฏิเสธทันที เขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก
ถังจิ่วคือคนที่จั๋วอวิ๋นเซียนรู้จักในซากโบราณสถานลำดับที่สี่สิบหกเมื่อสามปีก่อน พอจะนับว่าเป็สหายได้อยู่บ้าง โดยเฉพาะความสามารถด้านการปรุงยาวิถีโอสถของอีกฝ่ายนับว่ามีพร์ไม่น้อย แต่จั๋วอวิ๋นเซียนรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดมาก อีกทั้งยังปากเสีย ดังนั้นนอกจากมีเื่จำเป็เขาจะไม่สนใจอีกฝ่าย
หลังจากปิดกำไลสื่อิญญา เขาก็ไปศึกษาอักขระค่ายกลของสุสานโบราณต่อด้วยท่าทางตั้งใจเป็พิเศษ
……
ขณะอยู่ในสุสานโบราณจะมิอาจััได้ถึงกระแสเวลา
เพียงผ่านไปสี่ชั่วยาม จั๋วอวิ๋นเซียนก็เสียพู่กันสลักิญญาไปถึงเจ็ดแท่ง น่าเสียดายที่ยังมิอาจสลักอักขระค่ายกลที่สมบูรณ์ออกมาได้ ทุกครั้งที่ใกล้จะสำเร็จแล้ว มักจะรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างเสมอ ทำให้ล้มเหลวในตอนสุดท้าย
“ฐานค่ายกลสามสิบหกจุด ชีพจรเจ็ดสิบสองจุด อักขระหนึ่งร้อยแปดตัว ภาพค่ายกลสามร้อยหกสิบภาพ...ขาดอะไรกันแน่?”
จั๋วอวิ๋นเซียนขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่กลับคิดอะไรไม่ออก นี่ก็คือข้อเสียของการที่ไม่ได้เรียนอย่างเป็ระบบ ปัญหามากมายล้วนต้องคาดเดาและทดลองด้วยตัวเอง
ผ่านไปอีกสักพักก็ยังไม่สำเร็จ จั๋วอวิ๋นเซียนจำต้องพักความสงสัยเอาไว้ชั่วคราวและออกจากมิติมายาสุญญตา
……
ยามราตรีมาเยือน อากาศหนาวเสียดกระดูก
จั๋วอวิ๋นเซียนสวมชุดคลุมสีขาวตัวหนึ่งเดินออกจากคฤหาสน์ มุ่งหน้าไปทางห้องโถงตระกูลจั๋ว
อีกเพียงหนึ่งเดือนจะถึงพิธีเซ่นไหว้ประจำปีแล้ว ตอนนี้ในห้องโถงจึงเต็มไปด้วยผู้คน บรรยากาศค่อนข้างคึกคัก พวกเขาล้วนเป็ลุง อา และญาติพี่น้องของจั๋วอวิ๋นเซียน โดยมีผู้นำเป็จั๋วอวี้หวั่นกับลุงเยี่ยน
ตอนนี้จั๋วฟู่ไห่ซึ่งเป็ผู้นำตระกูลออกไปทำธุระ ในฐานะที่เป็คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลจั๋ว จั๋วอวี้หวั่นจึงต้องรับหน้าที่จัดการเื่น้อยใหญ่ของตระกูลจั๋ว รวมถึงการเตรียมพิธีเซ่นไหว้ด้วย โดยมีลุงเยี่ยนคอยช่วยอยู่ด้านข้าง
“น้องชายเ้ามาแล้ว!”
เมื่อเห็นจั๋วอวิ๋นเซียนเดินเข้ามาในห้องโถง จั๋วอวี้หวั่นจึงโบกมือเรียก “เร็วเข้ามานั่งข้างพี่ กำลังจะเริ่มประชุมพอดี”
“……”
ห้องโถงค่อยๆ เงียบลง ทุกคนล้วนหันไปมองตรงประตู
ทว่าหลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว บรรยากาศในห้องโถงก็กลับมาคึกคักเหมือนเดิม ทุกคนล้วนพูดคุยหัวเราะกัน เหมือนกำลังอารมณ์ดีมาก เพียงแค่เหลือบมองจั๋วอวิ๋นเซียนครั้งสองครั้งเท่านั้น
เมื่อรู้สึกถึงสายตาแปลกประหลาดของผู้คนรอบๆ ในใจของเขารู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง แต่เขายังคงเดินไปข้างกายจั๋วอวี้หวั่นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เด็กอายุสิบสองมิใช่คนโง่เขลา โดยเฉพาะจั๋วอวิ๋นเซียนที่โตเร็วกว่าคนในรุ่นเดียวกัน
พิธีเซ่นไหว้ของทุกปีล้วนเป็เื่ใหญ่ของตระกูลจั๋ว เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของทุกคน ทุกคนจึงรักใคร่ปรองดองและพูดคุยหยอกล้อกัน ทว่าความจริงแล้วในใจกลับกำลังคำนวณว่าจะหาผลประโยชน์มากกว่านี้ได้อย่างไร
จั๋วอวิ๋นเซียนคือนายน้อยของตระกูลจั๋วสายหลัก ถึงแม้จะไร้พร์ มิอาจเป็เซียน แต่ทรัพยากรที่ควรมีก็ไม่เคยขาด สามารถกล่าวได้เต็มปากว่า จากทรัพยากรที่เขาสะสมมาหลายปี ถึงแม้จะไม่ได้สืบทอดกิจการของตระกูลในอนาคต ก็ยังสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสรเสรี
ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ชาวนาไร้ความผิด ผิดที่หยก’ จั๋วอวิ๋นเซียนได้ทรัพยากรไปมากมายขนาดนี้ คนอื่นจึงอิจฉาเป็ธรรมดา ถึงอย่างไรในสายตาของพวกเขา เขาเป็แค่ขยะที่ไร้พร์ มีคุณสมบัติอะไรถึงได้ใช้ทรัพยากรของผู้บำเพ็ญเซียนกัน?
“จั๋วอวิ๋นเซียน คารวะท่านปู่สอง...”
“คารวะท่านอารอง ท่านอาสาม...”
จั๋วอวิ๋นเซียนคำนับผู้าุโทีละคนและกล่าวทักทายกับคนรุ่นเดียวกัน เพียงแต่นอกจากปู่สองของจั๋วอวิ๋นเซียนแล้ว ท่าทางของญาติพี่น้องคนอื่นๆ ล้วนเฉยเมยยิ่งนัก
“อวิ๋นเซียนมานั่งสิ เป็ครอบครัวเดียวกันจะเกรงใจไปทำไม...เหอะเหอะ...”
ชายชราในชุดผ้าไหมโบกมือด้วยรอยยิ้ม รอยย่นบนใบหน้าคลี่ออก เขาก็คือปู่สองของจั๋วอวิ๋นเซียน ‘จั๋วไท่หยวน’ และเป็ยอดฝีมือระดับกำเนิดปราณเพียงคนเดียวในตระกูลจั๋วรุ่นสอง แม้แต่ผู้นำตระกูลจั๋วฟู่ไห่ก็ยังต้องให้ความเคารพกับเขา
กล่าวตามตรง จั๋วอวิ๋นเซียนไม่ค่อยชอบสถานการณ์เช่นนี้ คนเสแสร้งมากมายเกินไป คนที่จริงใจกลับมีน้อยนิด
……
“ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมหน้าแล้ว เช่นนั้นขอเปิดการประชุม ณ บัดนี้!”
จั๋วอวี้หวั่นพยักหน้าให้ลุงเยี่ยน เขาจึงจัดการต่อทันที
นี่เป็เพียงงานชุมนุมครอบครัวธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีกฎมากมายอะไร ทุกคนจึงไม่ได้เคร่งพิธีรีตอง แต่พูดคุยผ่อนคลายอย่างมีความสุข
ผู้าุโหลายคนล้อมวงพูดคุยเื่ไร้สาระ พลางหัวเราะออกมาเสียงดัง
เหล่าคนรุ่นเยาว์ก็รวมกลุ่มคุยกันถึงเื่มหัศจรรย์แปลกใหม่ บางคนก็ประลองกัน บางคนก็โอ้อวดสิ่งของกัน พวกเขาดูค่อนข้างสนิทสนม
ใน่เวลานี้ของทุกปี จั๋วอวิ๋นเซียนค่อนข้างอึดอัด เพราะในสายตาของผู้บำเพ็ญเซียน เขาเป็แค่ ‘คนธรรมดา’ ที่ถูกกำหนดให้อยู่คนละโลกกัน ไม่มีเื่อะไรต้องคุยด้วย!
จั๋วอวี้หวั่นรู้ว่าทุกคนไม่ต้อนรับจั๋วอวิ๋นเซียน แต่นางก็ทำอะไรไม่ได้มาก ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจ ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็เป็เ้าบ้าน ย่อมต้องคำนึงถึงภาพรวมก่อน
