สิบปีมานี้ดินแดนเสวียนคงมีความขัดแย้งทางอิทธิพลจนทำให้สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลง วงศ์ตระกูลเกิดการโยกย้ายและมีคฤหาสน์หลังเก่าถูกทำลายในสนามรบไม่น้อย บางแห่งก็ว่างเปล่าจากการอพยพของตระกูล
ทว่าตระกูลกูแตกต่างออกไป วงศ์ตระกูลกูอาศัยอยู่ในเมืองจิ้นหยางมาหลายชั่วอายุคน คฤหาสน์ที่ตระกูลกูอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ใช่คฤหาสน์ใหม่แต่เป็คฤหาสน์หลังเก่าที่เก็บรักษาเอาไว้มาโดยตลอด เพียงแต่ด้วยความเสื่อมสลายของผู้คนและฐานะของครอบครัวที่ตกต่ำลง จึงทำให้ลานบ้านและศาลาหลายแห่งภายในคฤหาสน์ล้วนว่างเปล่า พอไม่มีการซ่อมแซมนานเข้าก็พังทลาย แม้กระทั่งยังมีลานบ้านบางแห่งก็ได้ถูกกูเอ้อร์เย่ที่โลภในทรัพย์สินเงินทองขายทอดตลาดไปให้คนอื่นอีกด้วย
กูเอ้อร์เย่พากูเฟยเยี่ยนอ้อมห้องโถงใหญ่ที่พังทลายมาที่หอพระคัมภีร์ด้านหลังลานบ้าน เพราะผังสายลำดับวงศ์ตระกูลนั้นถูกซ่อนเอาไว้ในชั้นบนสุดของหอพระคัมภีร์แห่งนี้
หอพระคัมภีร์แห่งนี้เป็สิ่งปลูกสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในคฤหาสน์ตระกูลกู ซึ่งว่ากันว่ามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหลายพันปี ตัวหอคอยสูงเจ็ดชั้น มีความเรียบง่ายโบราณให้ความรู้สึกน่าเกรงขามราวกับมีท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองจิ้นหยางและตั้งตระหง่านมาใน่อายุพันปีโดยมีสายตาที่จ้องมองการเปลี่ยนแปลงไปของเมืองจิ้นหยาง
กูเฟยเยี่ยนแหงนศีรษะมองจากด้านล่างหอคอยแล้วเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นางทราบว่าภายในหอคอยมีหนังสือคัมภีร์โบราณซ่อนอยู่ไม่น้อย ทว่าทันทีที่เดินเข้าไปนางก็ยังคงใกับฉากตรงหน้าอยู่ดี ภายในหอคอยเต็มไปด้วยหนังสือคัมภีร์โบราณมากมายที่แบ่งแยกออกเป็หมวดหมู่จนเรียกได้ว่าที่แห่งนี้มีหนังสืออยู่มากมายมหาศาล ทว่ากูเฟยเยี่ยนนั้นไม่เข้าใจในหนังสือคัมภีร์โบราณเหล่านี้ ความทรงจำของร่างเดิมก็เลือนรางเช่นกัน
นางเดินตามกูเอ้อร์เย่ไป้าพลางกล่าวว่า “หนังสือคัมภีร์โบราณเหล่านี้ไร้ประโยชน์แล้วหรือ? แม้ว่าจะไม่สามารถฝึกฝนพลังลมปราณได้ แต่ก็สามารถฝึกฝนศิลปะป้องกันตัวเพื่อปกป้องตนเองได้นี่นา เหตุใดถึงไม่ใช้แล้วปล่อยให้เสียดายไปแบบนี้? ”
กูเอ้อร์เย่ชี้ไปทางกองหนังสือคัมภีร์โบราณทั้งสองข้างแล้วบ่นโทษ “ดูสิ สิ่งเหล่านี้เป็วิธีการฝึกฝนพลังลมปราณ สิ่งเหล่านี้คือทักษะการต่อสู้ ตราบใดที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ต่างก็ต้องเริ่มฝึกฝนพลังลมปราณก่อนแล้วค่อยฝึกวิทยายุทธ ทักษะการต่อสู้ที่ตระกูลอื่นฝึกฝนต่อให้พลังลมปราณหายไปก็ยังสามารถใช้ต่อได้ แต่ทักษะของตระกูลกู เหอะๆ หากเสียพลังลมปราณไปมันก็จะเป็หมัดเท้าปักบุปผา! [1] หากทำการแสดงยังสามารถยืนหยัดเอาไว้ได้ แต่หากเป็การปกป้องตนเอง…เหอะๆ ไม่มีทาง! ”
กูเอ้อร์เย่พูดแล้วอดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจ “เฮ้อ เยี่ยนเอ๋อร์ ตอนนั้นพวกเราตระกูลกูมีฐานะที่เท่าเทียมกันกับตระกูลฉี เพราะถ้าไม่อย่างนั้นก็คงไม่เกี่ยวดองกันหรอก! หากปิงไห่ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง พวกเราก็จะไม่ตกลงมาอยู่ในจุดนี้อย่างแน่นอน”
กูเฟยเยี่ยนแสร้งทำเป็โง่เขลา “ปิงไห่เกิดการเปลี่ยนแปลง? เกิดอะไรขึ้น? ”
แต่น่าเสียดายที่กูเอ้อร์เย่ไม่รับรู้อะไรเลย เขาเดินขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมกับบ่นว่าไม่หยุด
ยุคสมัยเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้อำนาจและอิทธิพลเกิดการสับเปลี่ยน หากไม่มุ่งแสวงหาการปรับตัว แล้วทำเพียงแค่เฝ้าสิ่งที่บรรพบุรุษเหลือไว้โดยคาดหวังจะพึ่งพาร่มโพธิ์ร่มไทรของบรรพบุรุษอย่างเดียว จะสุขสบายไปได้นานแค่ไหนกันเชียว? กูเอ้อร์เย่ไม่ย้อนกลับมาคิดถึงตนเองแล้วยังบ่นว่าบรรพบุรุษอีก กูเฟยเยี่ยนฟังจนหงุดหงิดจึงต้องขัดจังหวะด้วยความไม่พอใจ “เลิกพูดได้แล้ว! ในหอคอยแห่งนี้มีตำราทางการแพทย์กับตำรายาสมุนไพรหรือไม่? ”
กูเอ้อร์เย่หันมาด้วยความสงสัย “เ้าลืมไปแล้วหรือว่าในตอนแรกที่เ้าเรียนรู้ทักษะสมุนไพรก็ได้นำตำรายาสมุนไพรจากที่นี่ไปเรียนรู้ด้วยตนเอง”
กูเฟยเยี่ยนประหลาดใจมากทีเดียว นายก้อนน้ำแข็งเหม็นกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยและคนอื่นๆ ล้วนสงสัยในทักษะยาสมุนไพรของนาง นางจึงพูดสุ่มสี่สุ่มห้าว่าเรียนรู้มาจากตำรายาสมุนไพรที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่บัดนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าไปเสียทั้งหมด
“จำไม่ได้แล้ว ตำรายาสมุนไพรซ่อนไว้ที่ใด ให้ข้าดูอีกที? ”
“เยี่ยนเอ๋อร์ ความจำของเ้าไม่ดีเท่าอารองเลย! ขึ้นไปเถอะ ตำรายาสมุนไพรกับตำราทางการแพทย์ล้วนอยู่ชั้นบนสุด”
กูเอ้อร์เย่หัวเราะออกมา คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าพวกเขาอาและหลานสาวมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แม้แต่รอยยิ้มจอมปลอมกูเฟยเยี่ยนยังี้เีจะเผยออกมา นางเดินไปอยู่หน้ากูเอ้อร์เย่ก่อนจะก้าวขึ้นไป้าอย่างรวดเร็ว
เมื่อมาถึงชั้นเจ็ด สิ่งที่สะท้อนม่านตามา หาใช่กองหนังสือคัมภีร์โบราณเกี่ยวกับการต่อสู้ที่มากมายมหาศาล แต่เป็แท่นบูชาที่โบราณและเรียบง่าย
บนแท่นบูชามีภาพวาดขนาดยาวแขวนเอาไว้ ด้วยยุคสมัยที่ผ่านมานานรอยหมึกก็แทบจะเลือนรางไปหมดแล้ว สิ่งที่สามารถเห็นได้คือภาพนี้เป็ภาพไม่ชัดของชายหนุ่มเสื้อคลุมขาวที่โอบอุ้มพิณโบราณเอาไว้อยู่ท่านหนึ่ง และภาพพื้นหลังมีสายภูผาวารีสุดกว้างไกล เมฆาขาวบริสุทธิ์ และต้นสนที่เขียวขจี จากการวิเคราะห์รูปร่างหน้าตาของชายคนนี้แล้วเขาน่าจะยังเป็หนุ่ม
บนแท่นบูชาถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละอองเป็ชั้นๆ ภายในกระถางธูปนั้นไม่มีขี้เถ้าหลงเหลืออยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีคนมาสักการะเขานานมากแล้ว ป้ายบูชาของบรรพบุรุษตระกูลกูล้วนอยู่ภายในศาลบรรพบุรุษของวงศ์ตระกูลซึ่งไม่ได้อยู่ที่นี่ ชายคนนี้คือใครกัน? เหตุใดภาพวาดจึงถูกแขวนบูชาไว้ในที่นี้?
กูเฟยเยี่ยนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูด้วยความตั้งใจ นางพบว่าด้านซ้ายของภาพวาดมีการลงนามเอาไว้สองสามบรรทัดโดยที่ลายมือมีความเลือนราง จนทำได้เพียงฝืนมองแล้วเห็นบทกวีนิพนธ์หนึ่งประโยคเท่านั้น “ยากหยั่งรู้พิณหวนกลับราตรีใด ดวงหทัยปลิวครรไลเมฆเอกา“
นางอ่านพึมพำออกมาแล้วรู้สึกว่าท่วงทำนองความคิดเหมาะสมกับภาพวาดนี้มาก เพียงแต่นางไม่ทราบว่าบทกวีนิพนธ์นี้มีความหมายแฝงอยู่ภายในหรือไม่ เมื่อเห็นกูเอ้อร์เย่ขึ้นมาจึงรีบไปถาม “ท่านนี้คือ? ”
“ปู่ของปู่เ้ายังไม่รู้เลยว่าเขาคือใคร อารองจะไปรู้ได้อย่างไร? การที่ประดิษฐานไว้บนหอคอยนี้ได้แสดงว่าน่าจะเป็คนในตระกูลกูของพวกเรา”
กูเอ้อร์เย่ไม่สนใจภาพวาด เขาเดินไปด้านข้างแท่นบูชาแล้วนำกล่องขนาดใหญ่กว่าสิบกล่องมาเปิดเรียงกันทีละกล่อง กูเฟยเยี่ยนมองแล้วพบว่า ภายในกล่องใหญ่แต่ละกล่องล้วนเต็มไปด้วยหนังสือคัมภีร์โบราณเป็ม้วนๆ และด้านหนังสือคัมภีร์โบราณก็มีถุงผ้าไหมคลุมไว้อยู่ บนถุงผ้าไหมมีการปักลายที่แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือตำรายาสมุนไพรกับตำราทางการแพทย์
กูเฟยเยี่ยนทั้งใและดีใจเพราะไม่นึกเลยว่าตระกูลกูจะเก็บรักษาหนังสือคัมภีร์ตำรายาสมุนไพรไว้มากมายเพียงนี้ ไหนจะเก็บรักษาไว้อย่างดีเยี่ยมอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงรีบเดินเข้าไปเปิดดูทีละม้วน
แต่ใครจะไปทราบว่าตัวอักษรบนหนังสือคัมภีร์โบราณจะเลือนรางทั้งหมดจนหลงเหลือเพียงแค่รอยน้ำหมึก
เป็ไปได้อย่างไรกัน?
กูเฟยเยี่ยนรีบร้อนเปิดอีกหลายม้วน ทว่าสถานการณ์ก็เป็เช่นเดิม
“ไม่จำเป็ต้องดูแล้ว หนังสือคัมภีร์โบราณเหล่านี้เหมือนกับภาพวาดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างน้อยหนึ่งพันปี ไม่มีสิ่งใดที่ชัดเจนทั้งนั้น ตำรายาสมุนไพรที่เ้าเรียนรู้ตอนเด็กเป็ม้วนที่มีความชัดเจนที่สุดและมีไม่ถึงครึ่งม้วน”
กูเอ้อร์เย่ดึงม้วนกระดาษออกมาแล้วยื่นให้กูเฟยเยี่ยน “มันคือม้วนนี้”
ทันทีที่กูเฟยเยี่ยนเปิดออกมาดูก็พบว่านี่เป็ตำรารวบรวมสมุนไพรธรรมดาที่จดบันทึกแค่รูปลักษณ์ภายนอกกับประสิทธิภาพของสมุนไพรที่พบได้ทั่วไปบางชนิด ซึ่งเป็ดั่งคำของกูเอ้อร์เย่ที่ว่ามีเพียงแค่ครึ่งม้วนที่สามารถฝืนมองได้ อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือล้วนไม่ชัดเจน
กูเฟยเยี่ยนดูด้วยความปวดใจและใ นางจึงพูดหยั่งเชิง “ทักษะทางการแพทย์กับทักษะยาสมุนไพรของบรรพบุรุษตระกูลกูล้วนถูกทำลายหมดแล้วหรือ? พวกเขาไม่ได้สืบทอดต่อกันมาหรือ? ”
กูเอ้อร์เย่กล่าวว่า “สายเืของพวกเราไม่มีการสืบทอดหรอก แต่ในส่วนของครอบครัวที่แตกแขนงออกไปนั้นมีแพทย์ยากับแพทย์รักษาที่มีชื่อเสียงอยู่บ้าง เฮ้อ แต่นั่นก็เป็เื่เมื่อหลายร้อยปีก่อนแล้ว”
กูเฟยเยี่ยนจึงถามอีกครั้ง “มีการบันทึกลงในผังสายลำดับวงศ์ตระกูลหรือไม่? ”
ในตอนนี้เองที่กูเอ้อร์เย่รู้ว่าจุดประสงค์ของกูเฟยเยี่ยนในการมาดูผังสายลำดับวงศ์ตระกูลคืออะไร ใบหน้าของเขาเต็มใบด้วยความสงสัย “เยี่ยนเอ๋อร์ เ้าสืบหาเื่เหล่านี้ไปทำไมกัน? ”
กูเฟยเยี่ยนหยิบตั๋วทองออกมาหนึ่งใบแล้วโยนไปให้กูเอ้อร์เย่พร้อมกับน้ำเสียงเ็า “หากไม่อยากถูกสังหารก็ไม่ต้องอยากรู้อยากเห็น และหุบปากของเ้าไว้ให้ดีอย่าไปพูดพร่ำไร้สาระ”
กูเอ้อร์เย่ใกับคำว่า “สังหาร” จนเหงื่อไหลพลั่ก เขาไม่กล้าถามอะไรอีก ก่อนจะรีบไปกดกลไกที่ซ่อนไว้บนโต๊ะบูชาเพื่อเปิดกำแพงศิลาที่อยู่ตรงข้ามออก
วินาทีนี้กูเฟยเยี่ยนตกตะลึงตาค้าง
นางพบว่าภายในกำแพงศิลามีชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่สิบชั้นและบนชั้นวางมีหนังสือคัมภีร์โบราณเรียงเต็มไปหมด หนังสือคัมภีร์โบราณเหล่านี้มีมากกว่าตำรายาสมุนไพรกับตำราทางการแพทย์เสียอีก
กูเฟยเยี่ยนถามแ่เบา “นี่…ทั้งหมดนี่คือผังสายลำดับวงศ์ตระกูลหรือ? ”
แม้ว่ากูเอ้อร์เย่จะหวาดกลัวและ้าเอาใจกูเฟยเยี่ยน ทว่าในเื่นี้เขายังคงความจริงจัง เขาไอเบาๆ สองสามทีแล้วตั้งใจพูดว่า “เยี่ยนเอ๋อร์ ผังสายลำดับวงศ์ตระกูลกูของพวกเราอยู่ที่นี่ทั้งหมด เ้าสามารถเปิดอ่านได้ แต่ไม่สามารถทำให้ลำดับเละได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่สามารถนำออกไปได้”
กูเฟยเยี่ยนใตาค้าง เยอะขนาดนี้นางต้องใช้เวลาอ่านกี่วันกัน?
—————
เชิงอรรถ
[1] หมักเท้าปักบุปผา หมายถึง เพลงมวยที่สวยแต่กระบวนท่าทว่าใช้การจริงไม่ได้