ตี้เฉินชำเลืองมองหานโม่ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง "โอ้ว?"
หานโม่ปิดปากเงียบสนิท
ท่าทางของตี้เฉินและนางในตอนนี้เหมือนกัน ทั้งสองคนต่างหันหน้าออกไปทางอื่นด้วย้าปฏิเสธที่จะพูดถึงเื่ราวของตนเอง
แต่เมื่อเทียบกับตี้เฉินแล้ว หานโม่นับว่ายังได้เปรียบอยู่ที่รู้เื่ของตี้เฉินมาบ้าง
“ในวันนั้นที่งานประมูล คุณชายชนชั้นสูงจากเมืองหลวงผู้นั้นที่ประมูลเซียนหลิงเฉ่าของข้าไปท่านรู้จักหรือไม่?” หานโม่ก็เอ่ยถามออกมาอย่างกะทันหัน
ตี้เฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง ด้วยเขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่อยู่ๆ หานโม่ก็หยิบยกเอาเื่นี้มาพูด "ทำไมเ้าจึงถามเช่นนี้?"
หานโม่เอ่ยว่า "ในวันนั้นข้ามองเห็นสายตาของพวกท่านทั้งสองที่มองกันรวมถึงในตอนที่ข้าบอกกับหูเลี่ยงว่าอย่าเพิ่งขายเซียนหลิงเฉ่า"
ตี้เฉิน "......มีสายตาที่ไม่เลว"
แม้ว่าจะยอมรับแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับคุณชายชนชั้นสูงผู้นั้นมากกว่านี้
เมื่อหานโม่ได้ฟังคำพูดของตี้เฉินก็รู้ได้ถึงท่าทีของเขาแล้ว
แม้ว่าทั้งสองคนจะรู้ว่าตัวตนของอีกฝ่ายมีสิ่งที่ปกปิดไว้ แต่ก็ไม่มีใครอยากเปิดเผยตัวตนมากเกินไปนัก
เมื่อคำตอบของหัวข้อสนทนานี้ไม่ได้รับการเปิดเผย หานโม่และตี้เฉินก็ต่างในใจรู้ ในท้องเห็นแจ้ง [1] ว่าถึงแม้จะเอ่ยถามไปกี่ครั้งก็จะไม่ได้รับคำตอบอะไรจากอีกฝ่าย ด้วยเพราะว่ามิตรภาพระหว่างทั้งคู่ยังอยู่ในจุดที่พวกเขาจะสามารถพูดคุยกันได้อย่างเต็มที่
ดังนั้นทั้งสองคนจึงทำเพียงนั่งเงียบๆ บนขอบหน้าผาไปสักพักหนึ่ง ท่ามกลางสายลมยามค่ำคืนที่พัดผ่านมาและเฝ้ามองดวงจันทร์กลมโตที่สว่างสดใส แม้ว่าบรรยากาศจะไม่ค่อยดีนัก แต่ก็สามารถทำให้จมดิ่งไปกับความมืดมิดที่เงียบสงบในยามราตรีเช่นนี้ทั้งยังนึกภาพของตนเองในยามแก่เฒ่าไปด้วย
จนกระทั่งท้องฟ้ามีแสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ ตี้เฉินจึงลุกขึ้นยืนและเอ่ยกับหานโม่ว่า "ไปกันเถิด ข้าจะไปส่งเ้าเอง"
หานโม่พยักหน้าและยืนขึ้น ปล่อยให้ตี้เฉินอุ้มนางเหมือนกับตอนที่พามาแล้วโผทะยานออกไปราวสายลม
หลังจากที่พาหานโม่กลับมาส่งถึงเรือนเหอเซียงแล้ว ตี้เฉินส่งยิ้มให้หานโม่แล้วเอ่ยเบาๆ ว่า "แล้วพบกันใหม่"
หลังจากเอ่ยจบ เขาก็อันตรธานหายไปในชั่วพริบตาเดียว
หานโม่ไม่ได้สนใจคำพูดของตี้เฉินมากนัก ด้วยจะได้พบหรือไม่ได้พบก็ล้วนแล้วแต่เป็เื่ของอนาคตทั้งสิ้น
หานโม่ที่ไม่ได้นอนมาตลอดทั้งคืนก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว ดังนั้นจึงล้มตัวลงไปบนเตียงทันที
เมื่อท้องฟ้าสว่างสดใส เสี่ยวเยว่ก็มาดูหานโม่และพบว่าหานโม่นั้นยังคงหลับใหลอยู่ นางจึงไม่ปลุกหานโม่ให้ตื่นทำเพียงยืนรออยู่เงียบๆ ที่หน้าประตูเท่านั้น
หานโม่ไม่ได้นอนหลับไปนานนัก เมื่อใกล้ยามอู่ [2] หานโม่ก็ตื่นขึ้น
เสี่ยวเยว่ที่ยืนอยู่หน้าประตูพอได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวภายในห้องจึงรีบส่งเสียงถามว่า "คุณหนู ตื่นแล้วหรือเ้าคะ?"
เมื่อหานโม่ที่อยู่ด้านในส่งเสียงตอบกลับออกมา เสี่ยวเยว่ก็รีบเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปปรนนิบัติหานโม่ด้านในทันที
หลังจากที่อาบน้ำและรับมื้อเช้าโดยที่มีเสี่ยวเยว่คอยจัดการให้แล้ว หานโม่จึงคิดที่จะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย
ในความทรงจำของร่างเดิมนั้นตระกูลหานเป็เพียงแค่ภาพรางๆ ที่คลุมเครือเท่านั้น เพราะหลังจากนางกลายเป็คนไร้ค่าก็แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลยตลอดทั้งวัน ถึงแม้ว่าจะแยกออกมาอยู่ที่เรือนหลังเล็กนั้นแล้ว หากก็ไม่ถูกลากออกมากลั่นแกล้งด้านนอก ตระกูลหานมีลักษณะเป็เช่นไรนั้น หานโม่ไม่รู้เลยจริงๆ
เมื่อเสี่ยวเยว่เห็นว่าหานโม่กำลังจะเดินออกไปด้านนอกก็รีบเอ่ยถามว่า้าให้นางติดตามไปด้วยหรือไม่
แต่หานโม่ก็ปฏิเสธ "เ้ารออยู่ที่เรือนและอย่าปล่อยให้ใครเข้าใกล้ห้องของข้าได้"
ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อจะได้ดูเหมือนว่าเื่ที่ผลึกิญญาหายไปหนึ่งชิ้นเมื่อคืน ทำให้นางต้องทำตัวระแวดระวังราวกับกลัวว่าผลึกิญญาที่เหลืออยู่จะไม่ถูกขโมยไปได้อีก
และเนื่องด้วยเมื่อคืนไม่ได้พาโตวโตวออกไปด้วยกัน หานโม่จึงต้องเปลืองน้ำลายเล็กน้อยเพื่อง้องอนโตวโตว และเพื่อเป็การป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในภายหลัง หานโม่จึงพาโตวโตวออกไปข้างนอกด้วยกัน
ปีกเล็กๆ ของโตวโตวที่เกาะอยู่บนไหล่ของหานโม่กระพือไปมาจนถูไถไปกับใบหน้าของหานโม่ด้วยความเบิกบานใจ มันพูดอย่างมีความสุขว่า "นายท่านดูแลโตวเย่ว์ดีจริงอย่างที่คิดเลย โตวเย่ว์มีความสุขมากจริงๆ ที่ได้อยู่กับนายท่าน"
หานโม่ชำเลืองมองโตวโตวด้วยใบหน้ายิ้มกึ่งยิ้ม
นางลอบถอนหายใจว่าสัตว์ิญญาในโลกนี้ช่างมหัศจรรย์เสียจริงอย่างเช่นโตวโตวที่หมุนหางเสือตามทิศทางลม [3] และมีฝีมือในการประจบประแจงที่นับได้ว่ายอดเยี่ยมนัก เป็นกตัวเล็กๆ ที่มีฝีมือที่ร้ายกาจยิ่งนัก ตลอดชีวิตทั้งสองชาติของหานโม่นั้นเคยเห็นอยู่เพียงแค่มันตัวเดียวเท่านั้นเอง
"พอได้แล้ว ตอนที่เอ่ยชมผู้อื่นเ้าก็อย่าลืมลดตัวเองลงเสียบ้างเล่า การที่เรียกตัวเองว่าโตวเย่ว์เช่นนี้ต่อไปอย่ามาเรียกต่อหน้าข้าอีกเล่า" หานโม่อารมณ์ดีจนเอ่ยพูดคุยหยอกล้อกับโตวโตวซึ่งหาได้ยากนัก
โตวโตวกับหานโม่มีความคิดที่เชื่อมถึงกันอยู่ เมื่อััได้ว่าอารมณ์ของหานโม่ดียิ่งนัก มันเองก็พลอยมีความสุขไปด้วยเช่นกัน "น้อมรับคำสั่งนายท่าน ต่อหน้าท่านข้าคือโตวโตว ต่อหน้าผู้อื่นข้าคือโตวเย่ว์!"
หานโม่ไม่อาจกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ได้
ภาพลักษณ์ของโตวโตวในตอนนี้ ถ้ามันเรียกตัวเองว่าโตวเย่ว์จริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าหากใครได้ฟังจะรู้สึกว่าโตวโตวเป็บ้าหรือไม่ อีกทั้งยังรู้สึกว่าโตวโตวกำลังล้อเลียนความแข็งแกร่งอยู่
อย่างไรก็ตามนี่คือความรู้สึกของหานโม่ นางเป็ผู้เดียวที่รู้สึกว่าการแทนตัวเองเช่นนี้มันคือการล้อเลียนความแข็งแกร่งของโตวโตว
"เอาล่ะ เ้าอย่าพูดมากเกินไปเล่า จงพูดให้น้อยพวกเราอยู่ในสวนดอกไม้ตระกูลหานแล้ว" หานโม่เดินมาตามเส้นทางในความทรงจำไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยสองสามแห่ง ถึงแม้ว่าในสถานที่เหล่านี้จะมีคนไม่มากนัก แต่หานโม่ก็ต้องคอยควบคุมโตวโตวเอาไว้เสียหน่อย
โตวโตวเปล่งเสียง "ขอรับ" ออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก
หานโม่เมินมันและเดินเล่นไปรอบๆ
นี่เป็เส้นทางที่มีเหล่าบ่าวรับใช้ของตระกูลหานเดินผ่านเป็ครั้งคราว และเมื่อพวกบ่าวรับใช้เห็นหานโม่ต่างก็รีบก้มตัวลงและเอ่ยเรียก "คุณหนูเจ็ด" พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองหานโม่ด้วยซ้ำ พอทำความเคารพเสร็จก็รีบวิ่งหายกันไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้โตวโตวก็หัวเราะคิกคักอยู่บนไหล่หานโม่
“นายท่าน เหตุใดพวกเขาถึงได้หวาดกลัวท่านนัก?”
กลัวงั้นหรือ?
หานโม่ส่ายหัวพลางหัวเราะเมื่อได้ฟังคำพูดของโตวโตว
"พวกเขาทั้งหมดก็เป็เพียงกลุ่มคนที่อวดฉลาดเท่านั้น"
โตวโตวไม่เข้าใจ "หมายความว่าอย่างไรหรือ?"
หานโม่มองไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้เลย เบื้องหน้าไม่ไกลมีศาลานั่งเล่นเล็กๆ อยู่ริมทะเลสาบจึงมุ่งหน้าไปที่ศาลาหลังนั้นพลางอธิบายให้โตวโตวฟังไปพลาง “ที่ข้ากลับมาตระกูลหานเพราะหานเฉินต้งเป็คนพากลับมาด้วยตัวของเขาเอง บ่าวรับใช้พวกนั้นแต่เดิมก็ช่างเลือกปฏิบัติยิ่งนัก ในยามปกติพวกเขาก็เคารพข้าบ้างเป็บางครั้ง เ้าลองคิดดูถ้าครั้งนี้ข้ากลับมาอย่างน่าเศร้าเกรงว่าท่าทีของคนพวกนี้ก็คงจะไม่ใช่เช่นนี้แน่”
โตวโตวพยักหน้า "มนุษย์อย่างพวกท่านช่างซับซ้อนนัก"
หานโม่หัวเราะ ยกมือขึ้นมาลูบหัวโตวโตว ในขณะที่กำลังจะเอ่ยพูดสิ่งใดอีกหูก็พลันได้ยินเสียงเด็กน้อยดังขึ้น "อ้า นกของเ้าพูดได้!"
หานโม่ "......"
ประโยคเช่นนี้เหตุใดพอได้ยินจึงทำให้รู้สึกไม่สบายใจได้กัน!
นางเงยหน้าขึ้นมามองไปตามเสียงนั้นและเห็นว่าในศาลาเล็กๆ เบื้องนั้นมีร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งยืนอยู่
คนผู้นั้นตัวเล็กมากและเมื่อมองไปรอบๆ กายของเขาก็พบว่าไม่มีใครอยู่ด้วยเลย โดยก่อนหน้านี้เขากำลังนั่งอยู่บนม้านั่งหินที่อยู่ในศาลา เมื่อมองจากภายนอกเข้าไปก็ราวกับว่าไม่มีใครอยู่
หานโม่ไม่คิดว่าในศาลาแห่งนี้จะมีเด็กชายอยู่ด้วยหนึ่งคน ตอนที่นางกำลังคุยกับโตวโตวอยู่นั้นก็ไม่ทันได้ระวังตัวทำให้เ้าเด็กคนนี้ได้ยินโดยไม่คาดคิด
"เ้าเป็ใครกัน?" เมื่ออยู่ต่อหน้าคนตระกูลหานนั้น หานโม่มักจะมีสีหน้าที่เรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่กับเ้าเด็กที่อยู่เบื้องหน้าของนางนั้น หานโม่กลับไม่อาจทนทำสีหน้าที่เ็าใส่ได้
เด็กชายที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนอายุได้ไม่ถึงสิบปีดีด้วยซ้ำ ตัวเล็กๆ ผิวขาวนวลผุดผ่องและหน้าตาก็ดูไม่เลวนัก ราวกับตุ๊กตานำโชคตัวน้อยๆ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ยังเป็ผ้าไหมราคาแพง พอหานโม่มองไปที่ใบหน้าของเขาก็ให้ความรู้สึกที่คุ้นเคยมาก และอยู่ๆ ก็พลันนึกขึ้นมาได้
ในตอนนั้นเองเด็กชายก็พูดอย่างไม่ระมัดระวังตัวว่า "ข้าชื่อหานเสี่ยวมู่ บิดาของข้าชื่อหานเทียน"
........................................................................
เชิงอรรถ
[1] ในใจรู้ ในท้องเห็นแจ้ง หมายถึง รู้อยู่แก่ใจ
[2] ยามอู่ คือ ตอนเที่ยง
[3] หมุนหางเสือตามทิศทางลม หมายถึง การทำสิ่งต่างๆ และทัศนคติที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
