เมื่อกี้หลังจากที่รถบัสหยุดกะทันหัน ฉันพบเื่ที่น่าใเื่หนึ่ง หลังจากที่รถบัสเบรคกระทันหัน ทันใดนั้นฉันพบว่า ผู้โดยสารทุกคนล้มลงเนื่องด้วยความเฉื่อย แต่ทว่าพวกเขาไม่ได้นั่งตัวตรง และซบลงตรงด้านหลังเก้าอี้อย่างไม่ขยับ! จริงๆ แล้วพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็คนตาย!
ในรถบัสคันนี้มีแต่ผีทั้งหมด เมื่อกี้หากฉันไม่รีบลงจากรถ ผลอันที่จะเกิดคงจะเลวร้ายจนไม่อยากที่จะนึกถึง นึกถึงจุดนี้แล้ว ฉันรู้สึกว่าด้านหลังมีแสงเปล่งออกมา ฉันรีบเรียกรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังบ้านเกิด
บนทางมีความตื่นเต้นแต่ไร้ซึ่งอันตราย และฉันก็ได้มาถึงบ้านเกิดแล้ว บ้านเกิดของฉันคือเฉินเจียโกว ที่นี่คือหมู่บ้านบนเขาเล็กๆ ที่ห่างไกลหมู่บ้านหนึ่ง มีประเพณีนิยมที่เรียบง่าย เพราะว่าคนหนุ่มสาวล้วนออกไปทำงานกันหมด ด้วยเหตุนี้ที่เฉินเจียโกวส่วนใหญ่ล้วนมีแต่คนชรา
และคุณย่าของฉัน ค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่บ้าน ท่านเป็ร่างเทพที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งใกล้และไกล ปกติก็รักษาอาการป่วยและช่วยคน ซึ่งค่อนข้างจะมีชื่อเสียง ด้วยเหตุนี้ในทั่วทั้งเฉินเจียโกว ท่านจึงมีตำแหน่งสูงส่ง แม้แต่พาฉันติดตามไปฉันก็ยังได้รับรัศมีไปด้วย
ในความคิดฉัน เมื่อเทียบกับนักพรตเฉินเต้าหลิงท่านนั้นแล้ว คุณย่าของฉันยิ่งดูเป็ผู้เก่งกล้ามีความสามารถ แต่ฉันก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า ท่านปราบผีได้อะไรประเภทนี้
เฉินเจียโกวเป็หมู่บ้านที่สวยงามหมู่บ้านหนึ่ง มีลำธารเล็กๆ ในูเาไหลคดเคี้ยวมาจากหุบเขาผ่านหมู่บ้านและในหมู่บ้านคล้ายว่าไม่มีถนนมีเพียงแค่ทางเล็กๆ ที่ปูด้วยหินกรวด แมกไม้ที่เขียวชอุ่มปกคลุมทั่วทั้งหุบเขาและมีนาขั้นบันไดที่เรียงติดกันเป็ระเบียบอย่างเป็ขั้นๆ แต่ทว่าฉันไม่มีใจที่จะมองทัศนียภาพเหล่านี้จริงๆ ตอนนี้มีเื่ที่ยิ่งเกี่ยวข้องกับความเป็ความตาย
“โย่ว เสี่ยวเว่ยเธอมาเยี่ยมย่าเธอแล้วเหรอ” ชายที่แบกหาบคนหนึ่งเดินเข้ามาพลางพูด
“ใช่ ตอนนี้คุณย่าฉันอยู่ที่ไหน?” ฉันมองชายคนนี้พลางพูด ชายคนนี้ก็คือลุงที่เป็ญาติห่างๆ ของฉัน ทั้งในเฉินเจียโกว ส่วนใหญ่เป็ญาติห่างๆ ของฉันทั้งหมด
“ตอนนี้ย่าอยู่ที่อารามน่ะ เธอไปหาย่าสิ” ชายคนนี้พูดจบ แล้วก็แบกหาบจากไป และฉันก็รีบมาที่อารามอย่างว่องไว บ้านของคุณย่าคือสิ่งปลูกสร้างที่ใหญ่มาก มีเรือนสี่หลังที่ประสานกันใหญ่มาก ถือเป็หนึ่งเดียวในหมู่บ้านนี้ ตามที่คุณย่าพูด ครอบครัวท่านเคยเป็ครอบครัวใหญ่ ในเวลานั้นทั้งเฉินเจียโกว ล้วนถูกครอบครัวของท่านควบคุมดูแล
ถึงแม้ตอนนี้จะเงียบเหงาแล้ว แต่คุณย่าก็ยังคงกุมอำนาจในหมู่บ้าน หมู่บ้านในละแวกนี้ ถ้าพูดถึงคุณย่าของฉันไม่มีใครที่ไม่ยอมท่าน
คนที่อาศัยอยู่กับคุณย่ายังมีญาติห่างๆ อีกหลายคน ทุกคนล้วนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้คุณย่าฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ในหมู่บ้านอย่างมีความสุขมาก พ่อกับแม่ของฉันก็ไม่ได้พูดถึงความคิดที่ว่าจะรับคุณย่ามาอยู่ในเมืองอีก
อาราม คือวัดที่เรียบง่ายและเก่าแก่ ด้านในล้วนมีแต่พระพุทธรูป คุณย่าฉันเป็ฆราวาสที่เคารพเลื่อมใส และได้กินเจ ฟังเทศน์ สวดมนตร์มา 50 กว่าปีแล้ว ฉันยังไม่เคยเข้าไปในอาราม แต่ก็ได้ยินเสียงเคาะปลาไม้ที่อยู่ข้างใน
หลังจากที่ฉันดันประตูเปิดออก คุณย่าฉันเพิ่งจะหันมามองฉัน ท่านไม่ได้ใเลย ดวงตาที่แก่หงอมคู่นั้นมองดูฉันพลางพูดว่า “หลานย่า เหมือนว่าเธอจะไปก่อเื่ใหญ่อะไรแล้วสินะ”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ คุณย่า รีบช่วยหลานเถอะ” ฉันรีบเข้าไป แล้วโอบคุณย่าไว้ พูดด้วยความหวาดกลัวว่า “ตอนนี้ชั้นเรียนของพวกเรามีคนตายทุกวัน หากไม่ระวังหลานก็ต้องตาย”
คุณย่ามองฉัน แล้วถอนหายใจแ่เบา ท่านปริปากพูดอย่างเชื่องช้าว่า “เื่ของเธอย่ารู้นานแล้ว สิ่งที่พวกหลานไปยุ่งน่ะไม่ธรรมดาเลย ย่าก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน”
“เป็ไปไม่ได้ คุณย่าออกจะเก่งขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีวิธีล่ะ” ฉันเขย่าตัวคุณย่าพลางร้องะโอย่างอดกลั้นไว้ไม่ไหว
“ย่าไม่มีทางแล้วจริงๆ สิ่งที่พวกหลานไปยุ่งน่ะ ใครๆ ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ มิฉะนั้นแล้วก็จะต้องถลำลึกลงไปด้วย และกลายเป็ส่วนหนึ่งในนั้น หากย่าไปแล้ว ก็คงจะเป็เหมือนหลานในตอนนี้ ถึงเวลานั้นอาจจะช่วยอะไรหลานไม่ได้ แล้วยังจะทำให้หลานเดือดร้อนกันอีก” คุณย่าส่ายหน้าพลางพูด
“เป็อย่างนี้นี่เอง” ฉันบ่นพึมพำ มิน่าล่ะนักพรตเฉินเต้าหลิงถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น เดิมทีท่านก็รู้ั้แ่แรกแล้วว่า จริงๆ ท่านก็แก้ไขไม่ได้
“เช่นนั้นหลานกับเพื่อนๆ ควรจะทำยังไง ตอนนี้ก็ตายไปหลายคนแล้ว หากไม่หาทางออก ตอนนี้หลานก็อาจจะตายได้” ฉันพูดด้วยสีหน้าใกลัว
“ไม่หรอก หลานเป็หลานของย่านะ จะตายง่ายๆ อย่างนั้นได้ยังไง หลานฉลาดอย่างนี้” คุณย่าส่ายหน้าพลางพูด
“แต่ถึงหลานจะฉลาดแค่ไหน ก็ไม่มีทางต่อต้านผีสางเทวดาได้” ฉันพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากคุณย่ายังไม่ช่วยฉัน ตอนนี้ฉันคงต้องตายเป็แน่
“หลานเข้าใจผิดแล้ว หลานย่า นับั้แ่โบราณจนถึงปัจจุบัน ิญญาอาฆาตและิญญาร้ายมีตั้งเท่าไหร่ล่ะ? หลานเคยเห็นนักปราชญ์ถูกผีสางเทวดาทำร้ายสักคนไหม?” คุณย่าถามกลับ
ฉันตะลึงงันพักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะตอบไม่ได้ แต่ก็มีคนที่อยู่ในพงศาวดารและนวนิยายไม่น้อยที่ถูกผีสางเทวดาทำร้าย จากฮ่องเต้จนถึงประชาชนคนธรรมดา แต่ว่าไม่มีใครสักคนที่เป็นักปราชญ์ หากไม่ใช่พ่อค้าหน้าเื ก็เป็เหล่าปัญญาชน ซึ่งคนที่มีวิชาความรู้มากมาย มีสติปัญญาและแผนการมากมายนั้น เหมือนว่าล้วนจะไม่ถูกผีสางเทวดาทำร้ายกันเลย
“นักปราชญ์ที่แท้จริงนั้นจะรู้แจ้งเห็นจริงทางโลก และต่างก็มีลักษณะท่าทางที่น่าเกรงขาม ผีสางเทวดามิอาจล่วงล้ำได้ อันผู้ที่มีศีลธรรมจรรยาสูงแม้แต่ัและพยัคฆ์ยังต้องสยบ และผู้ที่มีคุณธรรมหนักแน่นนั้นผีสางเทวดาก็ล้วนจะให้ความเคารพ” คุณย่าพูดพึมพำ
“พอเถอะ หลานไม่อยากฟังเหตุผลเหล่านี้แล้ว” ฉันพูดด้วยอาการทนไม่ไหว หลังจากนั้นยื่นมือออกไป “ย่า หลานมาที่นี่เพื่อที่จะมาเอาเข็มทิศไท่กง”
“ย่ารู้ตั้งแรกแล้วว่าหลานจะมาเอา ย่าเตรียมไว้ให้หลานเรียบร้อยแล้ว” คุณย่ากลับไม่โกรธ ทั้งยังได้นำเข็มทิศที่ดูเรียบง่ายและเก่าแก่อันหนึ่งส่งมอบให้ฉัน นี่คือเข็มทิศที่มีรูปลักษณ์ดูเรียบง่ายและเก่าแก่อันหนึ่ง บนเข็มทิศได้เขียนตัวอักษรเล็กๆ ไว้อย่างหนาแน่น
นี่ก็คือมรดกตกทดของตระกูลจางของพวกเรา เข็มทิศไท่กง เล่ากันว่าคือเข็มทิศที่เจียงไท่กงเหลือทิ้งไว้หลังจากที่ได้ช่วยอู่อ๋องโค้นล้มโจ้วอ๋อง เพียบพร้อมไปด้วยพลังความสามารถที่คาดไม่ถึง ทั้งยังเล่ากันว่าอยู่มา 2000 ปีแล้ว เมื่อก่อนล้วนเป็เครื่องมือที่ยิ่งใหญ่ที่ใช้เสี่ยงทายดวงชะตาเมืองในพระราชฐานชั้นในมาโดยตลอด ในระหว่างที่เล่าสืบต่อกันมาว่า มันมีพลังอันน่ากลัวที่สามารถพยากรณ์ความเสื่อมโทรม การสูญสิ้นเอกราชและความเจริญรุ่งเรืองของราชวงศ์ๆ หนึ่งได้
และปัจจุบันเข็มทิศไท่กงได้ตกทอดมาถึงมือฉัน ฉันมองเข็มทิศที่อยู่ในมือ และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ บนเข็มทิศที่อยู่ในมือมีเข็มเหล็กหนึ่งแท่งนูนขึ้นมา รอบๆ ล้วนมีแต่ขีดระดับ ดูแล้วสวยวิจิตรเหลือ
“หลานไปก่อนล่ะ ย่า รอให้หลานผ่านอันตรายนี้ไปได้ หลานจะมาเยี่ยมย่าอีก” ฉันมองย่าด้วยความอาลัยแวบหนึ่ง แล้วต้องหันหลังจากไป
คุณย่าไม่ได้หยุดฉันไว้ ท่านแค่ปริปากพูดอย่างเบาๆ ว่า “หลานย่า หลานจงจำไว้ว่าผีสางเทวดาบนโลกใบนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด สิ่งที่น่ากลัวที่แท้จริงคือใจคน”
“หลานจำได้แล้ว” ฉันพยักหน้า หลังจากนั้นก็ปิดประตูลง แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ฉันไม่กล้าเข้าใกล้คุณย่าของฉันอีกแล้ว เพราะว่าหากไม่ระวัง คุณย่าก็อาจจะต้องเข้าร่วมเกมนี้เพราะฉันเป็ได้ นี่คือสิ่งที่ฉันไม่ปรารถนาที่จะเห็น
หลังจากที่ออกมาจากเฉินเจียโกวแล้ว ฉันเริ่มเตรียมพร้อมที่นั่งรถกลับ ไม่นานรถบัสคันหนึ่งก็ขับเข้ามา ฉันตรงขึ้นบนรถโดยที่ไม่พูดอะไร หลังจากที่ฉันขึ้นไปแล้ว ฉันเพิ่งพบว่ามันสายเกินไปเสียแล้ว
“ผม้าลงจากรถ” ฉันรีบพูดกับคนขับรถ อาการของคนขับรถแข็งทื่อ พูดด้วยสีหน้าท่าทางที่เยือกเย็นว่า “ไม่ได้” หลังจากนั้นเขาก็เดินเครื่องรถ รถบัสเริ่มออกตัวแล่นไป ฉันทอดถอนหายใจ หลังจากนั้นเดินไปที่ที่นั่งที่ว่างอยู่อย่างเชื่องช้า
ทั้งรถบัส มีผู้โดยสารจำนวนไม่น้อยแล้ว แต่ทว่าคนเหล่านี้กลับไม่พูดอะไร ทั้งรถบัสเงียบสงบเป็ประวัติการณ์ มองใบหน้าที่ขาวซีดของผู้โดยสารเหล่านี้ ฉันส่ายหน้าไปมา
คิดไม่ถึงว่าฉันจะกลับมาอีกครั้ง ในรถบัสที่ฉันนั่งเป็ครั้งแรก ผู้คนในนี้ล้วนตายกันหมดแล้ว แม้แต่คนขับรถก็ไม่ยกเว้น
“พี่ชาย มานั่งตรงนี้สิ” เด็กผู้หญิงชุดแดงนั่งอยู่บนเก้าอี้ โบกมือให้ฉันพลางพูด
ฉันเดินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ แล้วนั่งลงข้างๆ เธอ
“พี่ชาย พี่หนีไม่พ้นหรอก” เด็กผู้หญิงชุดแดงพูดพลางยิ้ม สีหน้าของเธอแปลกประหลาดมาก ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยสีแดงดั่งเื
“ดูแล้วฉันน่าจะถูกพวกเธอจับจ้องเข้าเสียแล้ว” ฉันชำเลืองมองเธอพลางพูด ในเมื่อเื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันกลับไม่รู้สึกกลัวเลย เพราะตอนนี้ฉันก็เหมือนลูกไก่ที่อยู่ในกำมือแล้ว ทั้งรถนอกจากฉันแล้ว คนที่อยู่รอบๆ ล้วนเป็คนตายทั้งหมด
“ใช่ ใครใช้ให้พี่ชอบนั่งรถเที่ยวสุดท้ายอย่างนี้ล่ะ รถบัสคันนี้ หากพี่ได้นั่งแล้ว ก็จะลงไม่ได้” เด็กหญิงแสยะยิ้ม
“ลงไปไม่ได้จริงๆ เหรอ? ดูแล้วก็ไม่น่ามีทางจริงๆ ” ฉันแสยะยิ้มพูด หลังจากพูดจบประโยคนี้แล้ว สายตาของฉันอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ผู้โดยสารโดยรอบนั่งอยู่บนที่นั่งด้วยความสงบนิ่ง สีผิวของพวกเขาล้วนขาวซีด ร่างของบางคนยังมีอาการห้อเื
ในคนเหล่านี้ บางคนมีสีหน้าทุกข์ทรมาน บางคนมีสีหน้าท่าทางแข็งทื่อ และบางคนก็ฉีกดึงคอตัวเองอย่างไม่หยุด โชคดีที่ตอนนี้ยังเป็่กลางวัน ทุกอย่างดูแล้วไม่น่ากลัวนัก
แต่ทว่าฉันรู้ว่า หากฉันยังอยู่บนรถต่อไป เมื่อถึง่เวลากลางคืน สถานการณ์คงจะเลวร้ายกว่าตอนนี้หลายเท่า
“ผมว่า ผมลงจากรถไม่ได้จริงๆ เหรอ?” ฉันพูดกับคนขับรถ
คนขับรถขับรถไปด้วย ตอบคำถามไปด้วย น้ำเสียงของเขาแหบแห้งดั่งกับนรก “ยังไม่ถึงจุดหมาย เธอลงจากรถไม่ได้”
“เช่นนั้นทำไมครั้งแรกผมถึงลงจากรถได้อย่างง่ายดายล่ะ?” ฉันถามอย่างกล้าหาญ
คนขับรถไม่ตอบ ก็แค่ขับรถต่อไปอย่างเงียบๆ และฉันรู้สึกได้อย่างรำไรว่ามีบางอย่างไม่ปกติ มองทัศนียภาพที่อยู่รอบๆ หน้าต่าง ในที่สุดฉันก็รู้สึกได้ ตอนนี้รถบัสกำลังแล่นไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะผู้โดยสารที่อยู่โดยรอบ โฉมหน้าที่เดิมทีคล้ายกับเงียบสงบ ก็ค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง
ฉันรู้ว่าฉันจักต้องทำอะไรสักอย่าง มิฉะนั้นแล้วฉันจะต้องตาย ตอนนี้คนขับรถได้ขับเร็วยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทัศนียภาพโดยรอบกำลังเบนข้างอยู่ หากอิงตามความเร็วอย่างนี้ต่อไป จะต้องเกิดอุบัติเหตุได้อย่างง่ายดาย
ไม่ ฉันจักต้องทำอะไรสักอย่าง ในใจฉันร้องะโด้วยสีหน้าท่าทางที่เร่งรีบ ในขณะเดียวกันในหัวก็คิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ฉันมองคนตายที่อยู่โดยรอบ แล้วคนมองคนขับรถ เงื่อนงำต่างๆ มารวมกันอยู่ในหัวของฉัน
ไม่นานสีหน้าที่ใของฉันก็กลับมาเป็เหมือนเดิม สีหน้าได้เปลี่ยนมายิ้มแย้มอีกครั้ง ฉันคิดวิธีการที่จะหลุดพ้นจากรถบัสคันนี้ได้แล้ว และวิธีการนี้จะไม่ผิดพลาดเด็ดขาด
ฉันหันหลังกลับมาที่ตรงหน้าของคนขับรถ คนขับรถยังคงขับรถอยู่ เขาไม่ได้สนใจการมาของฉันเลย แต่ตอนที่ฉันยื่นมือออกไป ในที่สุดสีหน้าของเขาก็ขยับแล้ว
“เธอจะทำอะไร?” เขาถามอย่างเยือกเย็น
“คนขับรถท่านนี้ หรือว่าคุณไม่รู้ว่า ตอนที่ขับรถ อย่าเล่นโทรศัพท์มือถือ?” ฉันฉีกยิ้ม หลังจากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างๆ คนขับรถมา
หลังจากนั้นก็ปิดเครื่อง ต่อมา เหตุการณ์ที่ประหลาดก็ได้เกิดขึ้น ความเร็วของรถที่เดิมทีแล่นอย่างบ้าคลั่งได้เริ่มช้าลงแล้ว และผู้โดยสารต่างๆ ที่อยู่โดยรอบเดิมทีกำลังจะก่อความวุ่นวาย แต่แล้วสีหน้ากลับมาดับมอดลงอีกครั้ง