ซูหรงหรงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากลงคอภายในดวงตาตอนนี้เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าสีชมพู
เธอมันบ้าผู้ชาย!
เขาช่างจะเหมือนผู้ชายที่เธอวาดฝันไว้! ชายชาติทหารสุดหล่อภายในดวงตาของเขามีแต่เธอ เขาที่แม้จะถูกใครฆ่าก็ไม่ตายและที่สำคัญคือเป็ผู้ชายที่กู้แหยนเจ๋อกลัวจนปัสสาวะราด
ดังนั้นเมื่อจ้านอี้หยางเดินเข้ามาถึงตัวเธอซูหรงหรงรีบคว้ามือของเขา ดวงตาที่เปล่งประกายราวหยดน้ำ สะท้อนแต่เพียงใบหน้าของจ้านอี้หยาง
อ๊ายพี่จ้านของฉัน ทำไมยิ่งมองยิ่ง...ดูดี ช่างเจริญหูเจริญตาเสียเหลือเกิน
ทั้งที่จริงแล้ว...เขาเป็คนที่น่ากลัวมากก็ตาม!
จ้านอี้หยางแค่้าเป็ที่พึ่งให้ยัยกระต่ายน้อยตกยากเท่านั้นเขาอยากจะให้ยัยกระต่ายน้อยรู้เสียทีว่า การเลือกเขาเป็สิ่งที่ถูกต้อง
เมื่อเขาได้ตัวซูหรงหรงแล้วรีบเปิดประตูรถและให้เธอนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ
“ว้าว คุณทหารหล่อจัง!”
หญิงสาวคนหนึ่งกรีดร้องแล้วะโโลดเต้นไปมา
“ทหารเหรอ?”
ชายคนหนึ่งที่ทันสังเกตเห็นดาวบนไหล่ของจ้านอี้หยางเอ่ยขึ้น
“เหมือนจะไม่ใช่แค่ทหารธรรมดานะ”
จ้านอี้หยางค่อนข้างชินกับคำพูดเหล่านี้จึงไม่ได้ใส่ใจมากนักเขาทำเพียงกวาดสายตาเ็าไปทางกลุ่มคนเ่าั้ก่อนจะพ่นประโยคหนึ่งออกมา
“พวกคุณ ไสหัวไปซะ!”
คำพูดที่แข็งกร้าวนั้นทำให้ผู้คนตะลึงงันราวกับกำลังจะถูกฆ่า
เหล่าหนุ่มสาววัยรุ่นรีบชักเท้าหนีอย่างฉับพลันต่างคนต่างกระจายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับนกแตกรัง
จ้านอี้หยางหมุนศีรษะกลับมาก็พบว่าซูหรงหรงเลื่อนกระจกรถลงก่อนจะโผล่หัวออกมานอกรถ
ยัยกระต่ายน้อยหัวเราะอย่างซุกซนก่อนจะเอ่ยกับเขา
“ขึ้นรถเถอะ พวกเราต้องไปจดทะเบียนกันแล้ว”
ไปแต่งงานกับกระต่ายน้อย...เป็เื่ที่เขาคิดไม่ผิดจริงๆ
จ้านอี้หยางะโขึ้นรถซูหรงหรงขณะนี้เอาแต่เบนความสนใจมองภายในรถทางนั้นทีทางนู้นที
พอจ้านอี้หยางสตาร์ตรถ ซูหรงหรงก็มองไปรอบๆรถอีกครั้งอย่างระแวดระวัง แต่เธอก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ จากรถคันนี้เธอเอามือลูบคางก่อนจะหันมามองหน้าจ้านอี้หยางแล้วเอ่ยกับเขา
“นี่มันรถของกองทัพไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เห็นจะแตกต่างจากรถธรรมดาเลย”
“มีสิ่งที่ไม่เหมือนกับรถทั่วไปอยู่เพียงแต่เธอมองไม่เห็น”
“…”
ชิคนขี้แกล้ง
ซูหรงหรงเบะปากในที่สุดเธอก็มองเห็นสิ่งที่แตกต่างจากรถทั่วไป
บรรดาตำรวจจราจรต่างพากันมองมาที่รถของพวกเธอพร้อมกับทำความเคารพ
พวกเขาทำความเคารพถูกต้องตามธรรมเนียมซูหรงหรงเพิ่งจะได้เห็นการกระทำและใบหน้าที่ดูจริงจังมากของเขาเ่าั้เป็ครั้งแรก
เธอเบิกตาโตด้วยความสงสัยก่อนจะส่งเสียง
“เอ๊ะ?”
เธอหันไปหาจ้านอี้หยาง
“พวกตำรวจจราจรเขาทำความเคารพใครอย่างนั้นเหรอ?”
จ้านอี้หยางเหลือบสายตามองยัยกระต่ายน้อยช่างสงสัยที่นั่งข้างๆก่อนจะเอ่ยตอบ
“เธอไง”
“คิกๆๆๆ...”
ซูหรงหรงหลุดหัวเราะออกมา
“นายกำลังล้อฉันเล่นเหรอ”
จ้านอี้หยางกระตุกยิ้มที่มุมปาก
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าเธอจะแยกไม่ออกว่าเื่ไหนจริงเื่ไหนล้อเล่นเสียอีก”
“เลิกแกล้งคนอื่นได้แล้ว”
ซูหรงหรงเบะปากไม่พอใจ
“ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้นนะ”
จ้านอี้หยางจ้องมองไปที่ซูหรงหรงเขาครุ่นคิดบางอย่างก่อนจะเอ่ยออกมาสองคำ
“หวังว่า”
“…”
ซูหรงหรงอยากจะร้องไห้คำพูดของเขาสองคำนี้หมายความว่ายังไง?
ในสายตาของจ้านอี้หยางเธอดูเป็คนโง่มากนักเหรอ
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้อยู่ๆ เธอก็มีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
“จ้านอี้หยางถ้านายคิดว่าฉันโง่ แล้วนายมาแต่งงานกับฉันทำไม?”
“ตอบง่ายมากเพราะฉันชอบคนโง่นิดหน่อยไง”
เขาเอ่ยอย่างเรียบง่ายแต่ใบหน้าที่สื่อออกมาของเขาตอกย้ำว่ามันคือความจริงไม่จำเป็ที่จะต้องเดาเลยด้วยซ้ำ
“เอ๋? พูดอย่างนี้ก็หมายความว่าฉันมีความโง่แค่น้อยนิดใช่มั้ย?”
ซูหรงหรงค่อนข้างพอใจเธอหลุดยิ้มออกมาอย่างน่ารัก
เป็แค่คนโง่ไม่ใช่คนปัญญาอ่อนเสียหน่อยไม่ดีตรงไหนกัน? คนฉลาดมักจะมองทุกสิ่งทะลุปรุโปร่งจนละเลยความสนุกของการใช้ชีวิตไปไม่ใช่หรือไงกัน?
เพราะฉะนั้นคนแบบเธอนี่แหละถึงจะดีเพราะถึงจะโง่ ก็โง่แค่นิดเดียว
“เธอ?”
จ้านอี้หยางไล่มองซูหรงหรงอีกรอบก่อนจะเอ่ยเสียงเบาแต่หนักแน่น
“เธอเป็คนที่ต่อให้กินยาแขนงไหนก็รักษาไม่หาย”
ซูหรงหรงที่หน้าเปื้อนยิ้มหยุดชะงักบัดนี้ใบหน้าของเธอราวกับกระจกที่ค่อยๆ เริ่มมีรอยแตกก่อนรอยนั้นจะขยายวงกว้างขึ้นแล้วส่งเสียงดังเพล้ง
ที่แท้ความหมายที่เขา้าจะสื่อคือฉันเป็คนโง่ที่ไม่มีทางรักษา?
ฮึ่ม!
ซูหรงหรงจ้องเขาด้วยสายตามาดร้าย เธอข่วนแขนของจ้านอี้หยางที่กำลังบังคับพวงมาลัยรถอยู่ก่อนจะเอ่ยคำพูดทีละคำเน้นๆ
“จ้าน อี้ หยาง นายทำเกินไปแล้ว!”