หลงเซี่ยวอวี่พยุงมู่จื่อหลิงที่หลับลึกขึ้นมาอย่างอ่อนโยน ให้นางนั่งในท่าขัดสมาธิ
หลังจากนั้นหลงเซี่ยวอวี่ก็นั่งขัดสมาธิตรงข้ามกับมู่จื่อหลิง สองตาปิดแน่น ใบหน้าหล่อเหลาลึกลับที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวในค่ำคืนของเทศกาลไหว้พระจันทร์
ณ ขณะนั้น บุคลิกอันโดดเด่น แปลกประหลาดลึกลับ ลุ่มลึกยากหยั่งรู้
เรียวแขนยาวทั้งสองข้างกางออก กลายเป็เส้นโค้งอย่างเชื่องช้า ฝ่ามือที่กลายเป็เส้นโค้งมากันปรากฏแสงประหลาดและลึกลับที่มีสีสันตระการตาปกคลุมอยู่อย่างเบาบาง
จากนั้นใช้ท่าทางออกฝ่ามือ ดันแสงสีสันตระการตานี้ไปทางไหล่ของมู่จื่อหลิงแล้วกดทับลงไปบนบ่าทั้งสองข้างอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ติด
ฝ่ามือร้อนผ่าวถ่ายทอดพลังอุ่นร้อนให้ไหลเข้าสู่หัวไหล่มู่จื่อหลิงโดยไม่ขาดสาย
เพียงชั่วอึดใจเดียว ไหล่ซ้ายของมู่จื่อหลิงก็มีไอสีดำสนิทลอยขึ้นมา และไอสีดำสนิทนั้นก็จางหายไปราวกับถูกแสงที่มีหลากสีสันชำระล้าง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด
บนหน้าผากของคนทั้งสองก็มีเหงื่อเม็ดเล็กคลุมเป็ชั้นบางๆ และไอสีดำที่ปกคลุมไหล่ซ้ายของมู่จื่อหลิงก็หายไปแล้วเช่นกัน
หลงเซี่ยวอวี่ผ่อนลมหายใจอย่างเชื่องช้า กำลังจะเก็บมือกลับมาจากบ่าทั้งสองของมู่จื่อหลิง แต่ไม่คิดว่าฝ่ามือเล็กจะอยู่ไม่นิ่งชิงตัดหน้ากำข้อมือเขาแน่น
ฝ่ามือที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้มือทั้งสองข้างของหลงเซี่ยวอวี่ถูกกดลงไปอย่างอ่อนแรง
“ห้ามขยับ! ทนต่อไป ให้ข้าหลับอีกนิด อุ่นสบายนัก...” ศีรษะมู่จื่อหลิงสัปหงกลงอย่างอ่อนแรง ส่งเสียงงึมงำด้วยความสะลึมสะลือ
หลงเซี่ยวอวี่ตะลึงไปในชั่วพริบตา จากนั้นจึงมีการตอบสนอง มองตำแหน่งที่มือตนเองอยู่อย่างสนอกสนใจ
เลิกเรียวคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาปรากฏรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสนใจ
ในขณะที่กำลังสะลึมสะลือนั้น มู่จื่อหลิงก็เปิดเปลือกตาออกช้าๆ รู้สึกเหมือนฝ่ามือขนาดใหญ่อุ่นร้อนกุมอยู่บนหน้าอกที่อวบอิ่มจนเป็ที่อิจฉา
นางกะพริบตาอย่างงงงวย จ้องฝ่ามือขนาดใหญ่ตรงหน้าอก
เอ๊ะ! มือนางใหญ่ขนาดนี้ั้แ่เมื่อใดกัน แล้วยังจับหน้าอกตนเองอีก...ชั่วช้านัก!
ไม่ถูก
ท่าทางที่มือใหญ่กุมไม่ถูกต้อง
นี่ นี่ นี่มันไม่ใช่มือของนาง
มู่จื่อหลิงเบิกตาที่สะลึมสะลือทั้งสองข้างขึ้นมาทันที สติแจ่มใสขึ้นมาฉับพลัน
เมื่อสายตาค่อยๆ ย้ายไปตามเรียวแขนของฝ่ามือขนาดใหญ่ ก็เห็นใบหน้ามนุษย์ที่หล่อเหลา
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ตินี้สามารถเรียกได้ว่าเป็ผลงานชิ้นเอกที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระเ้า เป็หนึ่งไม่มีสอง
โครงหน้าหล่อเหลา กรอบหน้าชัดเจน เครื่องหน้าทั้งห้ามีมิติ ราวกับเป็รูปปั้นที่ถูกศิลปินผู้โด่งดังรังสรรค์ออกมา น่าเกรงขามมิอาจลบหลู่
เหงื่อเม็ดเล็กบนหน้าผากสะท้อนแสงเพิ่มความงดงามอันน่าหลงใหลให้กับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ ประหนึ่งส่องประกายให้กับบุคลิกอันเหนือชั้นนี้
เสมือนมองเพียงแวบแรกก็เป็หมื่นปี...
มู่จื่อหลิงอึ้งตะลึงอย่างโง่งมไปสามวินาที
หลังจากนั้นก้มหน้ามองฝ่ามือใหญ่บนหน้าอกของตน แล้วเงยศีรษะมองใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า
เบิกตาโตอ้าปากค้าง ได้สติขึ้นมาโดยพลัน
“อ๊าย! คนหยาบคาย รีบเอามือออกไปนะ” มู่จื่อหลิงกรีดร้องอย่างตื่นตระหนกจนสั่นะเืไปถึงแก้วหู ดังก้องไปทั่วห้อง
เล่อเทียนที่เดิมทีนั่งละเลียดชาอย่างเอ้อระเหยในลานบ้านได้ยินเสียงดังลั่นนี้เข้าก็พ่นน้ำชาในปากออกมาอย่างหมดมาด
หรือว่า ฉีอ๋องผู้ไม่เข้าใกล้สตรี ยามนี้กำลังร้อนใจจนใช้กำลังกับฉีหวางเฟย?
ดูสิ เสียงร้องช่างชวนให้คนคิดเพ้อเจ้อจริงๆ
“คนหยาบคาย? เ้าพูดถึงใคร?” หลงเซี่ยวอวี่เลิกคิ้ว น้ำเสียงทุ้มต่ำทรงเสน่ห์เจือไปด้วยความชอบใจอย่างมาก ประหนึ่งเสียงจากธรรมชาติที่เสนาะหู
มู่จื่อหลิงพลันตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก ร้อนใจจนแทบกระทืบเท้า “เ้า เ้า เ้ารีบเอามือออกไปนะ!”
เ้าคนน่ารังเกียจ ฉวยโอกาสยามนางนอนหลับแต๊ะอั๋งนาง
ก่อนนางหลับไป ลืมเ้าหมอนี่ไปได้อย่างไร?
“ดูก่อนว่าใครหยาบคาย มือของเ้าจับแน่นเพียงนั้น เปิ่นหวางจะปล่อยได้อย่างไร?” หลงเซี่ยวอวี่ชำเลืองมองหน้าอกของมู่จื่อหลิงอย่างเต็มไปด้วยความสนใจ แสดงท่าทีให้นางมองเอง
สายตามู่จื่อหลิงเคลื่อนตามสายตาของหลงเซี่ยวอวี่
มือของนางกำลังจับข้อมือของหลงเซี่ยวอวี่ไว้แน่น
“อ๊าย!” มู่จื่อหลิงกรีดร้องไปตามจิตใต้สำนึก
เล่อเทียนที่อยู่ด้านนอกตัวสั่นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ รับไม่ไหวแล้ว รับไม่ไหวแล้วจริงๆ
เพียะ! เพียะ! ดังขึ้นสองเสียง
มู่จื่อหลิงตีมือของหลงเซี่ยวอวี่ ทันใดนั้นดวงหน้าเล็กก็ตื่นตะลึง ขยับก้นไปด้านหลัง
เหตุใดนางถึงจับมือของหลงเซี่ยวอวี่ไว้?
นางไปจับมือของหลงเซี่ยวอวี่ได้อย่างไร?
ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็ไปได้โดยเด็ดขาด
แต่ แต่ว่าเมื่อครู่นี้ก็เป็นางที่จับมือหลงเซี่ยวอวี่อย่างเอาเป็เอาตาย ทำให้ผู้อื่นแนบมือกับหน้าอกตนเอง
มู่จื่อหลิงมองขึ้นฟ้าอย่างอยากจะร้องไห้ไร้น้ำตา
ใครก็ได้บอกนางที ยามที่นอนหลับเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่?
แล้ว ‘ข้อเท็จจริง’ ของเื่ราวคือ?
หลงเซี่ยวอวี่เอนตัวไปข้างหน้า ยกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย กระซิบข้างหูมู่จื่อหลิง “ไม่คิดว่าฉีหวางเฟยจะหยาบคายถึงเพียงนี้ นอนหลับก็นอนหลับ ยังดึงดันจะจับมือเปิ่นหวางให้ได้ ดึงมือไปที่...”
“ท่าน ท่านอย่าพูดนะ” มู่จื่อหลิงใจนร้อนรน ปิดใบหน้าน้อยๆ ของตนไว้อย่างอับอาย
เป็นางที่จับมือของหลงเซี่ยวอวี่อย่างหยาบคายและส่งไปยังหน้าอกที่น่าภาคภูมิใจของตนโดยไร้ความละอาย
นางเปลี่ยนเป็คนไม่มียางอายั้แ่เมื่อใด?
คิดไปมาก็รู้สึกว่า...ขายหน้านัก
“ดูสิ เปิ่นหวางไม่ยอมเ้า เ้าก็ใช้แรงกำเพียงนี้ มือแดงหมดแล้ว” หลงเซี่ยวอวี่ส่งมือทั้งสองข้างของตนมาด้านหน้ามู่จื่อหลิงราวกับฟ้อง
มู่จื่อหลิงที่กุมใบหน้าดูเหมือนจะอยากตรวจสอบคำที่หลงเซี่ยวอวี่พูด จึงลอบมองข้อมือของหลงเซี่ยวอวี่ผ่านล่องนิ้วที่มีช่องริบหรี่
ข้อมือนั้นมีรอยนิ้วมือสีแดงสดเป็รอยใหม่ที่เห็นเป็ห้ารอย
นี่คือหลักฐานว่านางหยาบคาย? นี่คือผลงานชิ้นเอกแห่งความหยาบคายของนาง?
มารดาเถอะ ช่างอับอายขายขี้หน้าจริงๆ
มู่จื่อหลิงพลันมีความรู้สึกอยากขุดหลุมฝังศีรษะตนเองขึ้นมาอย่างชั่ววูบ
“ฉีหวางเฟย ยังจำคำของเปิ่นหวางได้หรือไม่?” หลงเซี่ยวอวี่โน้มเข้าไปใกล้ใบหูมู่จื่อหลิงพ่นลมหายใจร้อนผ่าวออกมาช้าๆ อย่างมีเลศนัย
มู่จื่อหลิงกุมใบหน้าตนเองต่อไปด้วยสมองที่ขาวโพลน
คำพูดอะไร?
แม้คำที่หมอนี่พูดจะไม่เยอะ แต่ตอนนี้นึกไม่ออกเลย!
หลงเซี่ยวอวี่หยุดชะงัก เอ่ยออกมาหนึ่งประโยคอย่างช้าๆ “เปิ่นหวาง...ไม่เคยเสียเปรียบ”
โดยบังเอิญนั้น ‘ไม่เคยเสียเปรียบ’ คำง่ายๆ สี่คำนี้กลับะเิความตกตะลึงให้มู่จื่อหลิงในชั่วพริบตา
ท่ามกลางความเสียสติที่ะเิขึ้นมา ในใจนางก็ะโอย่างไม่หยุด
คราที่แล้วหลงเซี่ยวอวี่พูดว่าเสียเปรียบ ก็จูบนางจนพอใจโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
ตอนนี้เล่า? จับหน้าอกเป็เื่ใหญ่นัก
เพียงคิดถึงวิธีที่หลงเซี่ยวอวี่เรียกว่าไม่เสียเปรียบ มู่จื่อหลิงพลันหวาดเกรงขึ้นมา น่ากลัวยิ่งนัก ชายผู้นี้ล่วงเกินไม่ได้ ล่วงเกินไม่ได้!
มู่จื่อหลิงตระหนักถึงความจริงขึ้นได้ในบัดดลว่า ‘หากหวงแหนชีวิต ต้องอยู่ให้ห่างจากฉีอ๋อง’
แต่ ตอนนี้ควรทำเช่นใดดี?
มู่จื่อหลิงเอามือออกจากใบหน้าตนเองทันที เปลี่ยนท่าทีเป็เคร่งขรึม พูดด้วยความชอบธรรม “ท่านอ๋อง พระองค์ก็พูดแล้ว หม่อมฉันหลับไปจึงเป็เช่นนั้น หม่อมฉันไม่รับรู้ พระองค์มิอาจ...”
ทั้งๆ ที่คนเสียเปรียบเป็นาง หมอนี่ยัง้าเอาคืน?
อย่าได้พูดถึงประตูเลย แม้แต่รูก็ไม่มี
หลงเซี่ยวอวี่มองมู่จื่อหลิงที่เปลี่ยนสีหน้าเร็วเสียยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ แววตาก็ทอรอยยิ้มที่เจือความเ้าเล่ห์ “มิอาจอันใด?”
“มิอาจ...มิอาจให้หม่อมฉันจับคืน” ความหยิ่งทระนงที่มู่จื่อหลิงสร้างขึ้นอย่างไม่ง่ายดายก็พังทลายลงมาในครู่เดียว และเริ่มไม่มั่นใจ เสียงที่ติดขัดเผยให้เห็นความกินปูนร้อนท้องของนาง
หลงเซี่ยวอวี่สงสัย วางมาดเคร่งขรึมถามว่า “จับ? จับที่ใด?”
ทว่าไม่มีใครรู้ว่า ฉีอ๋องสงสัยจริงๆ หรือว่าแกล้งสงสัย
มู่จื่อหลิงพลันมีความรู้สึกอยากจะวิ่งหนีขึ้นมาชั่ววูบ คับข้องใจจริงๆ
ผู้ใดจะมาช่วยนางเล่า บุรุษผู้นี้ใจดำเกินไป น่าชิงชังยิ่งนัก ผู้ใดยั่วโทสะเขา ผู้นั้นโชคร้ายแล้ว
ทันใดนั้น
ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นมาเป็จังหวะ
เสียงเคาะประตูใสก้องกังวาน ในใจของคนบางคนก็เป็ดั่งเสียงจาก์ ราวกับได้รับการอภัยโทษขึ้นมา
ดีนัก คิดสิ่งใดสิ่งนั้นก็มา
“หม่อมฉันจะไปเปิดประตู!” มู่จื่อหลิงตะกายลงจากเตียงอย่างยินดี ทว่ามือกลับถูกมืออุ่นร้อนของหลงเซี่ยวอวี่ยึดไว้ ดึงกลับไปบนเตียง
มู่จื่อหลิงเซถลาไปบนเตียงอย่างหมดสภาพ ไม่รอให้นางตอบสนอง เงาดำก็ครอบลงมา ทำให้ร่างกายนางประคองตัวไม่อยู่ ล้มไปด้านหลัง
มู่จื่อหลิงพลันถูกเงาร่างที่มาอย่างกะทันหันกดดันจนหายใจไม่ออก กำชายเสื้ออย่างกังวล ราวกับลูกนกที่ได้รับความใจนทั้งตัวแข็งค้างไปหมด
ฮือๆ หมอนี่จะทำอันใด? จะต้อง ‘บีบคั้นนางจนแห้ง’ ถึงจะพอใจใช่หรือไม่?
หลงเซี่ยวอวี่กดทับลงไปบนตัวมู่จื่อหลิง ก้มศีรษะลงช้าๆ จนริมฝีปากจะแตะกับริมฝีปากของนาง “ในเมื่อเป็ความผิดจากความไม่ตั้งใจ เช่นนั้นเปิ่นหวางก็จะ...ขยายเวลาให้อย่างใจกว้าง”
ในขณะนี้ มู่จื่อหลิงเข้าใจแล้วจริงๆ ว่าสิ่งใดคือ ์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
เดิมมู่จื่อหลิงคิดว่าหลงเซี่ยวอวี่จะพูดว่านางทำผิดโดยไม่ตั้งใจจึงคิดจะละเว้นนางอย่างใจกว้าง
ไม่คิด ไม่คิดเลยว่า จะเป็...ขยายเวลา?
นางควรจะดีใจจนน้ำตานองหน้า หรือควรร้องไห้โฮด้วยความขมขื่นดี?
คนผู้นี้ยังเป็ฉีอ๋องผู้เ็าหยิ่งทระนงและไร้ความรู้สึกผู้นั้นอยู่อีกหรือไม่?
ใจจืดใจดำเหนือชั้นไร้เทียมทาน
เสียงเคาะประตูตึงๆๆ จากข้างนอกยังคงไม่หยุดหย่อน
ยามนี้เสียงเคาะประตูสำหรับมู่จื่อหลิงแล้วช่างเป็เสียงเสียดแทงแก้วหูที่ทำให้คนรำคาญนัก
หลงเซี่ยวอวี่ย้ายออกจากตัวมู่จื่อหลิงอย่างไม่รีบร้อน สีหน้าเคร่งขรึม ยืนอย่างสุขุมสง่างาม
เครื่องแต่งกายของเขายังคงเป็ระเบียบเรียบร้อย ปราศจากรอยยับย่น ตลอดทั้งร่างยังคงแผ่ความสูงศักดิ์ที่ติดตัวมาั้แ่กำเนิด
เมื่อเทียบกับมู่จื่อหลิงแล้ว เห็นได้ชัดว่าหลงเซี่ยวอวี่เปล่งประกายเจิดจ้ากว่านางมาก
มู่จื่อหลิงหอบหายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ ใบหน้าแดงก่ำ หัวใจที่สั่นไหวยังคงเต้นตึกตักอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากปรับอารมณ์อย่างเชื่องช้าแล้ว มู่จื่อหลิงถึงปีนลงจากเตียงอย่างหมดสภาพ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหดหู่ ใจของนางเ็ปนัก
มู่จื่อหลิงจัดการรอยยับย่นบนเสื้อผ้า กวาดสายตาขึ้นๆ ลงๆ หนึ่งรอบให้แน่ใจว่าภาพลักษณ์ยังดีอยู่ ถึงเดินไปเปิดประตูแต่โดยดี
เล่อเทียนโค้งดวงตา พูดด้วยรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “หวางเฟย แม่ทัพมู่กลับมาแล้ว ตอนนี้พวกเราสามารถไปถอนพิษให้มู่ฟูเหรินได้แล้ว”
เสียงร้องะโสองสามครั้งของฉีหวางเฟยเมื่อครู่ เขาที่ดื่มชาอยู่ด้านนอกได้ยินอย่างชัดเจน
จุ๊ๆ ช่างน่าใจหายใจคว่ำ สั่นะเืแก้วหูจริงๆ
แม้เล่อเทียนจะพูดเื่จริงจังอยู่ แต่มู่จื่อหลิงในขณะนี้มองสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้มของเล่อเทียนแล้ว ก็แทบอดไม่ไหวที่จะบีบเขาให้แบน
เล่อเทียนสมควรตาย รู้แต่ต้น ครั้นจะออกไป ไม่รู้จักเอาหลงเซี่ยวอวี่ออกไปด้วย
หากเล่อเทียนในยามนี้รู้สิ่งที่มู่จื่อหลิงคิดในใจก็ไม่รู้ว่าจะส่งค้อนปะหลับปะเหลือกให้นางหรือไม่
พาหลงเซี่ยวอวี่ออกไปด้วย?
มิต้องพูดก็รู้ว่าต่อให้เขาเชิญ ก็เชิญพระพุทธรูปองค์นี้ออกไปไม่ได้
แล้วยังพา? ต่อให้เขามีเก้าชีวิตก็ไม่พอให้ตาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้