จิ่งฝานจับกระบี่อย่างช้าๆ ยกขึ้นแล้วพุ่งเข้าโจมตี
จิ่งเซิ้งแค่เห็นเขาพุ่งเข้ามาก็เริ่มรู้สึกกลัว มือที่จับกระบี่สั่นเล็กน้อย ในใจคิดจะหยุดพุ่งเข้าหา แต่เขาไม่ใช่หลิวอิงเผิง ไม่มีความสามารถที่จะถอนกระบี่อย่างรวดเร็วแล้วค่อยออกกระบวนท่าโจมตีใหม่ จึงทำได้เพียงพุ่งเข้าไปอย่างตกตะลึง
แต่ทว่าในตอนที่จิ่งเซิ้งคิดว่าตัวเองคงจะถูกกระบี่อันรุนแรงของจิ่งฝานพุ่งเข้าใส่นั้น...จู่ๆ เขาก็รับกระบี่ของจิ่งฝานได้อย่างประหลาด เพลงกระบี่ที่ดูโหดร้ายรุนแรงนั้นกลับไม่มีพลังแม้แต่น้อย เมื่อกระบี่ทั้งสองปะทะกัน จิ่งเซิ้งก็รู้สึกว่าเขาสามารถรับกระบวนท่านี้ได้ทั้งหมด ในใจอดตกตะลึงเป็อย่างมากไม่ได้
หนึ่งกระบวนท่าผ่านไป คนทั้งสองถอยหลังไปชั่วคราว จิ่งเซิ้งมองจิ่งฝาน “นี่เ้าทำอะไร?”
จิ่งฝานยิ้มมุมปากข้างเดียวน้อยๆ ดวงตาค่อยๆ โค้งมนขึ้น ดูเย้ายวนอย่างชั่วร้าย
รอยยิ้มเช่นนี้...จิ่งเซิ้งคุ้นเคยดีเพราะตัวเขาก็ชอบยิ้มเช่นนี้ เขารู้ดีว่าถ้าตัวเองยิ้มเช่นนี้แสดงว่ากำลังมีความคิดชั่วร้าย อยากจะหาเื่ใครสักคน
แต่วันนี้รอยยิ้มนี้กลับปรากฏอยู่บนใบหน้าของจิ่งฝาน อีกทั้งยังดูลึกลับชั่วร้ายยิ่งกว่าเขาด้วยซ้ำ จิ่งเซิ้งรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่พอรอยยิ้มเช่นนี้ปรากฏอยู่บนใบหน้าจิ่งฝานกลับไม่ได้ดูไม่เหมาะสมแต่อย่างใด
สายตาและสีหน้าเช่นนี้...เมื่อเทียบกับความอ่อนโยนยามปกติของเขาแล้วกลับยิ่งทำให้คนใจเต้นกว่าเสียอีก ยิ่งทำให้ทั้งร่างของเขาดูเปล่งประกายราวกับว่าเขาเกิดมาก็สมควรเป็เช่นนี้แล้ว นี่ถึงจะเป็นิสัยที่แท้จริงของเขา
จิ่งเซิ้งถูกความคิดมากมายเป็ทอดๆ ในหัวทำเอาตกตะลึงจนตัวสั่น
จิ่งฝานกลับตอบคำถามของเขาว่า “ไม่ได้ทำอะไร ก็แค่สู้ๆ ไปเท่านั้น ไม่ต้องจริงจังนักหรอก”
จิ่งเซิ้งมีสีหน้าสงสัย “การประลองดีๆ เช่นนี้ เหตุใดเ้าถึงได้เกียจคร้านถึงเพียงนี้? เ้า...” ราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน
จิ่งเซิ้งไม่เคยสนใจเื่ราวในตระกูลจิ่ง หนี่งเพราะเขาไม่สนใจ สองเพราะมันไม่มีทางมาถึงมือเขาได้ แต่ว่าต่อให้เขาจะไม่สนใจสักเพียงไร แต่ก็รู้ว่าการประลองครั้งนี้เป็การประลองเพื่อตัดสินว่าผู้ใดจะได้เป็นายน้อยตระกูลจิ่ง
จิ่งเซิ้งรู้มาตลอดว่าบิดาและพี่ชายของเขาไม่ชอบครอบครัวของจิ่งฝาน เขาได้ยินบิดาด่าว่าท่านอาและจิ่งฝานที่บ้านอยู่บ่อยๆ จิ่งฝานที่เขารู้จักเมื่อก่อนนั้นมักจะคิดว่าคนที่ได้รับความไม่เป็ธรรมและน่าสงสารทุกคนในโลกนี้สมควรได้รับความช่วยเหลือจากเขา อยากจะทุ่มเทความสามารถไปช่วยเหลือคนทั่วหล้า
ส่วนตำแหน่งนายน้อยตระกูลจิ่ง...ั้แ่ที่เขามีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วนั้นมันก็กลายเป็ของเขาแล้ว ั้แ่นั้นมาตระกูลจิ่งก็กลายเป็ภาระบนไหล่เขา ถึงแม้ตัวเขาจะได้รับอิทธิพลจากบิดาและพี่ชายมาบ้างจึงมักจะชอบส่งเสียงดังเฮอะขึ้นจมูกใส่พวกจิ่งฝานอยู่บ่อยๆ ราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา แต่จิ่งฝานก็ยังคงแย้มยิ้มพูดดีกับเขาอยู่เช่นเดิม และมักถามไถ่เป็ห่วงเขาอยู่บ่อยๆ แถมยังสอนวรยุทธ์และวิชาแพทย์ให้เขาอีกด้วย
ตระกูลจิ่งนั้น...สำหรับจิ่งฝานแล้ว ั้แ่แรกก็ถือเป็ความรับผิดชอบที่ไม่อาจผลักออกไปให้พ้นได้ และคนที่มีความรับผิดชอบอย่างยิ่งเช่นเขานั้นก็ไม่มีทางผลักภาระออกไปอย่างแน่นอน
ดังนั้นการประลองครั้งนี้...ไม่ว่าอย่างไรจิ่งฝานก็ต้องสู้อย่างเต็มที่ ไม่ใช่เพราะเขาละโมบอยากได้อำนาจและผลประโยชน์จากการเป็นายน้อยตระกูลจิ่ง แต่เป็เพราะเขารับปากกับบิดาของเขาและบรรดาผู้าุโในตระกูลไว้แล้ว เขาจึงต้องรับผิดชอบจนถึงที่สุด ต้องพยายามให้เต็มที่และทำให้ดีที่สุด
แต่ว่าจิ่งฝานในตอนนี้กลับไม่มีท่าทางจะเก็บเอาภาระทุกอย่างมาไว้ที่ตัวเองคนเดียวแบบที่เคยเป็มาเลยแม้แต่น้อย
จิ่งฝานชัดเจนว่าไม่้าตอบคำถามเขาอีกจึงเริ่มร่ายรำกระบี่อีกครั้ง
ตอนนี้จิ่งเซิ้งรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง มองเห็นจิ่งฝานออกกระบวนท่าอย่างงุนงงก็รีบป้องกันอย่างเต็มที่ เกรงว่าถ้าไม่ป้องกันให้ดีคงจะถูกแทงเข้าเป็แน่
น่าเสียดายที่จิ่งฝานยังคงทำเหมือนเดิมคือรุนแรงแค่ตอนพุ่งเข้ามา แต่ตอนท้ายกลับไร้พลัง มองดูกระบี่วาดลวดลายหลากหลายกระบวนท่า แต่ล้วนอยู่ในขอบเขตที่จิ่งเซิ้งสามารถรับได้ทั้งสิ้น ในที่สุดจิ่งเซิ้งก็เข้าใจว่าเหตุใดพวกลูกหลานในตระกูลถึงชอบให้จิ่งฝานชี้แนะเื่วรยุทธ์ให้
การพาเ้าไปด้วยกันในแต่ละกระบวนท่า ชี้นำเ้าไปเช่นนี้นั้น...เป็วิธีการสอนที่ทั้งใส่ใจและมีประสิทธิภาพ ต่อให้เป็คนโง่งมก็ยังสามารถเข้าใจได้
ตอนแรกจิ่งเซิ้งทั้งงุนงงทั้งสงสัย แต่พอผ่านไปหลายกระบวนท่า เขาก็เริ่มี้เีจะอะไรมากมายแล้ว เมื่อก่อนเขามักคิดอยู่เสมอว่าการเรียนวรยุทธ์นั้นทั้งน่าเบื่อและวุ่นวาย เขาเคยคิดจะตั้งใจเรียนวรยุทธ์อยู่เหมือนกัน แต่พี่ชายมักสอนน่าเบื่อและอธิบายอะไรไม่ชัดเจน ส่วนบิดานั้นยิ่งไม่เคยจะมาสนใจเขา ส่วนอาจารย์สอนวรยุทธ์คนอื่นในตระกูลก็เข้มงวดและสนใจแต่กฎระเบียบมากเกินไป มักจะสอนอยู่แค่วรยุทธ์ขั้นพื้นฐานที่ไม่น่าสนใจ
จิ่งเซิ้งนั้นชอบการเรียนแบบเห็นผลลัพธ์ ส่วนวิธีเรียนที่อ้อมค้อมเชื่องช้าที่ต้องใช้เวลาเป็สิบปีถึงจะเห็นผลนั้น...จิ่งเซิ้งไม่เคยมีความอดทน แต่วิธีการต่อสู้ตอนนี้ของจิ่งฝานนั้นเหมือนกำลังจับมือเขาสอนวรยุทธ์อยู่ก็ไม่ปาน ทุกกระบวนท่าขอแค่ตามเขาไปก็จะรู้ได้ว่าต้องทำอย่างไรและใช้อย่างไร
จิ่งเซิ้งถึงกับคิดว่าจิ่งฝานกำลังแสดงความเมตตาเพื่อสอนวรยุทธ์เขา
ไม่ว่าจิ่งฝานจะคิดอย่างไร แต่สีหน้าของคนที่อยู่ด้านล่างเวทีก็เปลี่ยนไปเป็ร้อยเป็พันแบบแล้ว
อ๋าวหรานอดรู้สึกอยากกุมขมับขึ้นมาไม่ได้ คนผู้นี้ตกลงแล้วคิดอะไรอยู่กันแน่ เขาแค่บอกให้เขาอย่าไปงัดข้อกับทางเต๋อรั่ว หากเป็ไปได้ก็อยากให้แอบซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองไว้ อย่าให้ดูโดดเด่นขึ้นมามากจนเกินไป แต่วันนี้ความสามารถกลับกลืนหายไปจนแทบไม่มีใครมองเห็น สุดท้ายก็กลายเป็ว่าธรรมดาจนทำให้ผู้คนแทบทนมองไม่ได้
สายตาของจิ่งเซียงจับจ้องบนเวทีอย่างไม่ยอมละสายตาไปไหน รู้สึกปากอ้าตาค้าง “พี่...พี่ข้าตั้งใจใช่หรือไม่?”
จิ่งจื่อชะงักไป “เมื่อก่อนเขาก็สอนข้าเช่นนี้”
จิ่งเซียง “เขาตั้งใจทำให้เวทีประลองกลายเป็ห้องเรียน คิดว่าคู่ต่อสู้เป็นักเรียนหรืออย่างไร?”
พูดจบจิ่งเซียงก็หันศีรษะมาจ้องอ๋าวหรานอย่างเกรี้ยวกราด “ถ้าหากพี่ข้าแพ้ ข้าไม่ปล่อยเ้าไว้แน่”
อ๋าวหราน “...”
อ๋าวหรานรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย “พี่เ้าไม่มีทางแพ้หรอก แค่จิ่งเซิ้งเพียงคนเดียวไม่มีอะไรต้องกลัวเลย อีกอย่างเขาก็แค่สู้ไปอย่างนั้นเท่านั้นเอง”
ชัดเจนว่าจิ่งจื่อไม่เชื่อ ตอนนี้เขากลัวว่าจิ่งฝานจะยอมแพ้ขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะเอาชนะั้แ่แรก ถ้าเป็เช่นนั้นก็ถือว่าหมดกัน “พี่เหยียน คิดว่าพี่จิ่งฝานจะชนะหรือไม่?”
เหยียนเฟิงเกอพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง “ชนะสิ เขาไม่ได้ตั้งใจจะแพ้ด้วยซ้ำ”
ทุกคนจึงค่อยๆ ถอนหายใจอย่างวางใจ
จิ่งฝานราวกับรอจนผู้เข้าแข่งขันทุกเวทีประลองเสร็จสิ้นแล้วถึงค่อยออกแรง เพียงดาบเดียวก็สามารถไล่บี้จิ่งเซิ้งลงจากเวทีไปได้แล้ว
คนที่ดูเื่สนุกอยู่โดยรอบต่างถอนหายใจกันไปตามๆ กัน อย่างน้อยก็เป็ถึงนายน้อยตระกูลจิ่ง วรยุทธ์นี่...พูดตามตรงแล้วทำให้คนทั่วไปทนดูไม่ได้จริงๆ
การประลองถูกทำให้กลายไปเป็เช่นนี้เกรงว่าคงมีไม่กี่คนหรอกที่ทำ ทุกครั้งพอถึงตอนสำคัญก็จะเกิดความผิดพลาดขึ้น ต่อให้ไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นก็ไม่ยอมสู้จนรู้ผลแพ้ชนะอยู่ดี จนทำให้คนที่ดูอยู่ด้านล่างเวทีอดเช็ดเหงื่อแทนเขาไม่ได้ รู้สึกอยากจะขึ้นไปสู้แทนเขาเสียจริง
“นายน้อยตระกูลจิ่งท่านนี้ขึ้นมาเป็นายน้อยได้อย่างไรกัน?”
“ไม่รู้ว่าเป็เพราะให้ความสำคัญแค่เฉพาะวิชาแพทย์เท่านั้นหรือไม่?”
“ต่อให้วิชาแพทย์จะยอดเยี่ยมสักเพียงไรก็ไม่ควรละเลยเื่วรยุทธ์อยู่ดี วรยุทธ์งดงามแต่ไร้ประโยชน์เช่นนี้จะค้ำชูตระกูลจิ่งได้อย่างไร? แล้วจะปกป้องตระกูลจิ่งได้หรือ?”
“เ้าจะกังวลแทนผู้อื่นไปทำไม เขาจะปกป้องตระกูลจิ่งได้หรือไม่ เ้าเข้าไปยุ่งได้หรือ?”
คนผู้นั้นหัวเราะฮิๆ “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น ตระกูลจิ่งก็ถือว่าเป็ตระกูลใหญ่ เหตุใดถึงเลือกผู้สืบทอดอย่างส่งๆ เช่นนี้ นี่มันไม่ยุติธรรมจริงๆ”
คนอีกผู้หนึ่งหัวเราะดังพรืดออกมา “ไม่ยุติธรรมอย่างไร ตระกูลของผู้อื่น อยากจะทำแบบไหนก็ทำแบบนั้น เ้าอย่าได้ริษยาเลย”
คนผู้นั้นรีบพูดเสียงสูง ท่าทางร้อนตัว สีหน้าเหมือนจะบอกว่าเหตุใดเ้าถึงได้คิดเช่นนี้ “ข้าก็แค่เรียกร้องความยุติธรรมเพื่อคุณชายจิ่งเคอท่านนั้นต่างหาก ดูการประลองครั้งนี้สิ พวกเขาสองพ่อลูกทำได้ดีถึงเพียงนี้ แต่ผู้นำตระกูลจิ่งกับนายน้อยผู้ ‘อ่อนแอ’ คนนี้ แม้แต่หน้ายังไม่โผล่มา เดิมทีคิดว่าเป็ยอดฝีมือที่แอบซ่อนอยู่เื้ั สุดท้ายพอมาดู เฮอะ เกรงว่าคงทำได้เพียงเล่นกับเด็กสาวเท่านั้น”
อีกผู้หนึ่งก็อดพยักหน้าด้วยไม่ได้ ในน้ำเสียงแฝงแววดูถูก “พวกเขาคงไม่ใช่ว่าเลือกจากผู้ใดมีหน้าตางดงาม ผู้นั้นก็ได้เป็ผู้นำตระกูลหรอกกระมัง? แล้วคุณชายจิ่งเคอผู้นั้นประลองรอบใด? สงสัยในฝีมือเขาจริงๆ ไม่รู้ว่าเมื่อมาเทียบกับแจกันดอกไม้ผู้ ‘งดงาม’ ท่านนี้แล้วจะเป็อย่างไร?”
คำพูดหยอกล้อแฝงไปด้วยการล้อเล่นและเยาะหยัน
คนพวกนี้ยืนอยู่ด้านหลังพวกอ๋าวหรานพอดี ได้ยินแล้วพวกอ๋าวหรานก็อดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ จิ่งเซียงหันหน้าไปแล้วคิ้วขมวดเข้าด้วยกัน น้ำเสียงเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน “พวกท่านพูดนินทาลับหลังเช่นนี้คิดว่าเกินไปหรือไม่ พี่ชายข้าแข็งแกร่งเพียงใดข้าจะไม่รู้เชียวหรือ? ถึงตาพวกเ้ามาพูดนั่นพูดนี่ั้แ่เมื่อไร?”
จิ่งเซียงนั้นนับว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้าง อย่างไรเสียก็มีหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ วรยุทธ์ก็ดี ไม่มีบุรุษคนใดจะจำนางไม่ได้ บวกกับเหยียนเฟิงเกอและจิ่งจื่อที่ด้านข้างที่ทุกคนล้วนคุ้นหน้าคุ้นตากันแล้ว ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ อย่างไรก็ต้องร้ายกาจกว่าคนทั้งสองที่พูดกันอยู่นี้แน่
เมื่อเห็นสีหน้าของพวกอ๋าวหรานทั้งสี่ดูเกรี้ยวกราด คนทั้งสองที่พูดอยู่นั้นก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ รีบยิ้มอย่างนอบน้อมแล้วถอยไปด้านหลัง
หากไม่อธิบายออกไป ทุกคนก็ต้องคิดจริงๆ ว่าจิ่งฝานไร้ความสามารถ แต่ถ้าอธิบายก็จะเหมือนเป็การแก้ตัว เหมือนกับว่าตัวเองอับอายแล้วพานโกรธ ทุกคนที่รุมล้อมอยู่ถึงแม้จะไม่พูดอะไร แต่สีหน้าแต่ละคนล้วนแสดงออกว่าไม่เชื่อประโยคสุดท้ายที่จิ่งเซียงพูดออกมาและยังมีความดูถูกจิ่งฝานปนอยู่ด้วย
จิ่งเซียงเห็นสีหน้าของทุกคนจึงอดโกรธเคืองจนกระทืบเท้าไม่ได้ ส่งเสียงดังหึออกมาหนักๆ หนึ่งทีก็หันศีรษะกลับ หาได้สนใจพวกเขาไม่
แต่พวกจินเฉียนเป้ยนับว่าสงบนิ่งแล้ว มองพวกเขาด้วยสีหน้าปลอบใจ ไม่ว่าในใจจะคิดอย่างไร แต่อย่างน้อยสีหน้าก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเฉพาะจินเฉียนเป้ย ชัดเจนว่าอยากจะสู้กับจิ่งฝานดูสักตั้ง เขาผู้นี้ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนอยากจะสู้ด้วยทั้งสิ้น
พวกสวีหรงฉี่เองก็ยืนอยู่ข้างพวกอ๋าวหราน เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แต่ความรู้สึกในแววตาล้วนค่อนข้างซับซ้อน คาดว่าคงขบคิดอยู่มากมาย แผนการต่างๆ คงจะหมุนวนไปมาอยู่ในสมองพวกเขา
พวกเขาไม่เหมือนคนพวกนั้นที่มีวรยุทธ์อ่อนแอเป็ทุนเดิม พวกสวีหรงฉี่ค่อนข้างมองดูอย่างลึกซึ้ง ที่จิ่งฝานใช้กระบี่ราวกับสอนคนเขียนพู่กันบนเวทีนั้น...พวกเขาดูไม่ออกว่าจริงหรือหลอก แต่รู้ดีว่าคนผู้นี้ไม่มีทางเป็แจกันดอกไม้ที่อ่อนแออย่างแน่นอน อย่างน้อยก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่แสดงออกมา
นายน้อยตระกูลจิ่งท่านนี้้าแสร้งทำตัวเป็หมูรอกินเสือหรืออย่างไร? ลุงใหญ่ของเขาเกือบจะเข้าไปแทนที่อยู่แล้ว เขายังทำตัวแอบซ่อนสบายๆ อยู่อีก โอกาสดีเช่นนี้ไม่ควรที่จะแสดงฝีมือให้เต็มที่เพื่อตบหน้าญาติพวกนั้นหรอกหรือ?
หรือเขาคิดจะยืนหยัดไปจนถึงตอนสุดท้ายแล้วค่อยแสดงพลังอันน่าใออกมาทำให้ทุกคนตื่นตะลึง? เช่นนั้นเขาผู้นี้ก็มั่นใจในตัวเองจนน่าเหลือเชื่อแล้ว
จิ่งเซิ้งลุกขึ้นจากพื้น เดินตามจิ่งฝานมาที่อ๋าวหราน พอเห็นอ๋าวหรานก็มีสีหน้าเกรี้ยวกราด “เ้านี่มันอย่างไรกัน? ไม่ใช่ว่าเ้าต้องสู้กับข้าหรือ?”
อ๋าวหรานเสแสร้งด้วยสีหน้างุนงง “ข้าควบคุมได้เสียที่ไหน ข้าสามารถกำหนดให้ตัวเองจับได้เ้าได้ด้วยหรือ?”
จิ่งเซิ้งพูดคำว่า “เ้า” ออกมาแล้วรีบกลืนกลับลงไป คนที่ชักใยอยู่เื้ัเื่นี้ก็คือพ่อของเขา อ๋าวหรานกำหนดอะไรไม่ได้จริงๆ แต่เขาก็ไม่สามารถพูดออกมาได้ อย่างน้อยเขาก็เป็คนมีสมอง อะไรควรพูดอะไรไม่ควรพูดเขาก็ยังเข้าใจได้อยู่ ต่อให้พ่อเขาจะทำเื่ต่ำช้า แต่อย่างไรก็เป็พ่อเขา หากให้ผู้อื่นรู้ว่าพ่อเขาสามารถควบคุมผลฉลากได้ เช่นนั้นก็จะเป็การทำร้ายพ่อของเขาแล้ว
แต่ว่าจิ่งเซิ้งก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้ เื่นี้เขาเคยได้ยินบิดาพูดกับพี่ใหญ่มาก่อน แถมยังให้ความสำคัญกับเื่นี้เป็อย่างมาก คนทั้งสองเตรียมการมาเนิ่นนานเช่นนี้ เหตุใดถึงยังผิดพลาดได้อีก? แค่นี้ก็ควบคุมไม่ได้
จิ่งเซิ้งผิดหวังในตัวบิดาและคนที่จัดการเื่เ่าั้เป็อย่างมาก สายตาอดมองไปทางเวทีสูงไม่ได้ แต่พบว่าบนเวทีกลับไม่มีเค้าของบิดาเขาอยู่เลย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้