สายตาที่นิ่งดุจน้ำในสระบัวนั้น ทำให้เขาตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ แต่เมื่อหันไปเห็นคำสั่งที่นำมาด้วย ก็พลันนึกได้ว่านางเป็ใคร และเขาต้องมาที่นี่เพื่อสิ่งใด
“พรุ่งนี้เ้าต้องเข้าวังกับข้า”
“อะไรนะเ้าคะ เหตุใดต้องเข้าวังด้วย”
“หึ ยังมีหน้ามาถามว่าเพราะเหตุใด มิใช่เพราะพวกเ้าหรอกหรือ ที่ยื่นเงื่อนไขนี้ให้ท่านอ๋อง พรุ่งนี้ต้องเข้าวังเพื่อไปรับตำแหน่งฮูหยินตราตั้งของเ้าอย่างไรเล่า”
สีหน้าของอีกฝ่ายซีดลงจนเขาจับสังเกตได้ แม้เขาจะนึกสงสัย แต่เพราะอคติในใจที่เกิดขึ้น จากบิดาจอมโลภของนาง จึงทำให้แม่ทัพหนุ่มมองนางในแง่ดีไม่ได้
“เตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้ยามเฉิน (07.00 น.) ข้าจะมารับที่เรือนเพื่อเข้าวัง”
แม้ว่าจะดูกังวลใจอยู่บ้าง แต่หลินอิงก็เชิดหน้าขึ้นด้วยสีหน้าไม่เกรงกลัว แม้เขาจะเป็แม่ทัพใหญ่ก็ตาม
“ไม่มีปัญหาเ้าค่ะ ท่านมีธุระแค่นี้ใช่หรือไม่”
“ที่นี่เป็จวนแม่ทัพ ข้าจะอยู่หรือไปเกี่ยวอะไรกับเ้าด้วย เป็แค่ผู้อาศัย มีหน้าที่ถามเ้าของจวนด้วยหรือ”
“เช่นนั้นก็เชิญท่านแม่ทัพตามสบายเถิดเ้าค่ะ ผู้อาศัยขอตัวก่อน”
นางเดินเข้าไปในเรือนแล้ว เขาลอบสังเกตเห็นท่าเดินของนางที่แปลกไป ดูเหมือนว่านางจะเจ็บขาข้างซ้าย แต่ก็พยายามเดินให้เหมือนปกติ
“ไม่น่ามีอะไรละมั้ง คงเมื่อยจากการทำสวน…ลืมเอาขนมไปงั้นหรือ”
หลิวเว่ยหยางยกชาขึ้นมาดื่ม พร้อมกับหยิบขนมเปี๊ยะในจานมา ซึ่งขนมน่าจะพึ่งลงจากเตาได้ไม่นาน กลิ่นจึงหอมยั่วใจจนทำให้เขาอดที่จะลองชิมไม่ได้
“ขนมเปี๊ยะธรรมดาแต่ทำอร่อยขนาดนี้เชียว… ใส่ฟักบดลงไปด้วย”
เขานึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ นางบอกว่าเป็คนทำขนมนี้เอง ซึ่งเื่นี้อีกทั้งเื่ที่นางกับสาวใช้เพียงแค่สองคน ค่อย ๆ ทำให้เรือนหลังนี้น่าอยู่ขึ้นมา ทำให้เขารู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม
“คิดไม่ถึงเลยว่า บุตรสาวของเศรษฐีหน้าเือย่างเมิ่งฉี จะทำสวนและขนมด้วยตัวเอง เมิ่ง…หลินอิง เ้าตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
ในสวน
ปัก ปัก ปัก!
“คุณหนูท่านทะเลาะกับท่านแม่ทัพมาหรือเ้าคะ”
“เปล่าเสียหน่อย เขาน่ะหรือจะทำข้าโมโหได้”
“แต่ว่าทำไม…”
“หึ”
ปัก ปัก ปัก!
เสียงจอบในมือนางที่ยกหน้าดิน เพื่อจะปลูกผักกระแทกลงไปแรงกว่าปกติจนผิงเพ่ยรู้สึกว่า งานในวันนี้น่าจะเสร็จเร็วกว่าที่คิด
“ที่ข้าโมโหก็คือ… ดันลืมขนมเอาไว้ที่โต๊ะ พอนึกขึ้นได้กลับไม่กล้าเดินไปเอาต่างหากเล่า!”
“โธ่คุณหนูละก็เื่แค่นี้เอง ในครัวยังมีเหลืออีก เดี๋ยวข้าไปเอามาให้นะเ้าคะ ท่านก็นั่งพักสักหน่อยเถอะ”
“ยิ่งคิดยิ่งโมโห ขนมที่ข้าอุตส่าห์ทำกลับโมโหเ้าคนบ้าอำนาจนั่น จนลืมเอามาจนได้ เจ็บใจนัก”
“คุณหนูท่านอย่าคิดมากเลยเ้าค่ะ ตอนนี้เราดีกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว สามารถซื้อของมาเก็บ และทำขนมได้เท่าที่้า อยากกินอะไรก็ไม่ต้องคิดแล้วว่าทำได้กี่ชาม”
เมื่อผิงเพ่ยพูดเช่นนี้หลินอิงก็เงียบลงทันที นางลืมไปเสียได้ว่าที่นี่มิใช่จวนสกุลเมิ่ง ที่พวกนางกว่าจะหาอะไรมาทำกินได้แต่ละครั้ง ยากยิ่งกว่าหาทอง แม้ว่าบิดาของนางจะให้เงินเดือน แต่กับสามชีวิตที่ต้องดูแลก็แทบจะไม่พอ จะทำขนมได้สักสามก้อนก็ต้องใช้เวลาเก็บวัตถุดิบมากกว่าสิบวัน
“นั่นสินะข้าลืมไปเลย ตอนนี้ข้าไม่ต้องจำกัดการทำอาหารแล้วนี่นา”
“เช่นนั้นข้าไปเอาขนมมาให้ท่านนะเ้าคะ วันนี้เราหยุดก่อนเถอะเ้าค่ะ พรุ่งนี้ค่อยทำต่อ”
“ได้สิ เช่นนั้นเ้าก็มองที่หน้าเรือนด้วยนะ ว่าเขากลับไปหรือยัง”
“เ้าค่ะ”
ผิงเพ่ยเดินไปแล้ว นางจึงหันมาล้างมือและนั่งพัก เมื่อนั่งมองจากตรงนี้แล้ว เวลาสองวันที่นางกับผิงเพ่ยช่วยกันทำความสะอาดที่นี่ ก็นับว่าไม่เสียเปล่า เพราะเรือนนี้เมื่อทำความสะอาดแล้ว น่าอยู่มากเลยทีเดียว
“ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ลงแรงไปเยอะละนะ”
“คุณหนูขนมมาแล้วเ้าค่ะ กำลังร้อน ๆ เลยระวังนะเ้าคะ”
“เขากลับไปหรือยัง”
“ท่านแม่ทัพกลับไปแล้วเ้าค่ะ ข้ามาช้าเพราะมัวแต่เก็บกาน้ำชากลับมาเ้าค่ะ”
“เอ๊ะ แล้วจานขนมละ”
“ตอนที่ข้าไปเก็บ มีแค่กาน้ำชาที่ดื่มจนหมดแล้วเท่านั้นเ้าค่ะ อย่างอื่นข้าไม่เห็น”
“อะไรนะ”
เรือนหน้า
“ท่านแม่ทัพ นั่นคือ…”
“ทำไม เ้ามองอะไรกัน นี่ขนมของข้า!”
“ปกติท่านแม่ทัพ ไม่ชอบของหวานพวกนี้มิใช่หรือขอรับ”
“ใครบอกว่าข้าไม่ชอบกิน เพียงแต่ไม่มีใครทำอร่อยเท่านั้นเอง”
“งั้นหรือขอรับ เช่นนั้น…”
จื่อรั่วเมื่อเห็นท่านแม่ทัพกินด้วยความอร่อย ก็นึกอยากลองบ้าง ดูเหมือนว่าหลิวเว่ยหยางเองก็จะรู้ เขารีบดึงจานขนมที่เหลือเพียงสองชิ้นมาที่โต๊ะ
“เ้ารีบเอารายงานออกไปส่งเถอะ พรุ่งนี้ต้องเตรียมตัวเข้าวังอีก”
“ขอรับ”
เมื่อจื่อรุ่ยเดินออกไปแล้ว เขาก็กินขนมที่เหลือจนหมด เสียดายที่น้ำชาของนาง กาเล็กเหลือเกินเขาจึงกินขนมได้ไม่หมด จำเป็ต้องถือจานของนางกลับมาถึงเรือนหน้านี้ด้วย
“ก็แค่ขนมจานเดียว ทำใจแคบไม่ให้ข้ากินไปได้”
วันถัดมา
“คุณหนูเ้าคะ ท่านบอกว่าวันนี้ต้องเข้าวัง แล้วชุดเล่าเ้าคะจะสวมชุดไหนไปดี”
ผิงเพ่ยกังวลเล็กน้อย เพราะเมิ่งหลินอิงไม่เคยสวมชุดใหม่ และแทบจะไม่เคยซื้อชุดให้ตัวเองเลย เงินทุกเหวินของนางเก็บเอาไว้ซื้ออาหารและยาสำหรับมารดาเท่านั้น เมื่อทราบว่าคุณหนูจะต้องเข้าวัง ผิงเพ่ยจึงเริ่มกังวลเพราะหากฮูหยินท่านแม่ทัพแต่งกายไม่เหมาะสมแล้ว จะทำให้นางขายหน้า
“เ้าไม่ต้องห่วงหรอก เดิมทีข้าเองก็คิดมากเช่นกัน แต่เ้าลองดูกล่องนี้สิ”
“นี่มันกล่องสินเดิมที่ติดตัวท่านมานี่เ้าคะ”
“ใช่แล้ว ฮูหยินใหญ่นางบอกว่านี่เป็ชุดที่สั่งตัดพิเศษพร้อมเครื่องประดับ เดิมทีข้าก็คิดจะเอาไปขายหลังออกจากจวน พึ่งมาเข้าใจในตอนนี้นี่เองว่า เหตุใดนางจึงมอบชุดนี้มาให้ข้า”
ที่แท้ฮูหยินใหญ่รู้อยู่แล้วว่า หลินอิงจะต้องเข้าวังเพื่อไปรับตราตั้งจากท่านอ๋อง นางเกรงว่าจะเสื่อมเสียมาถึงสกุลเมิ่ง จึงได้มอบชุดหรูหราที่ตัดเย็บด้วยผ้าไหมชั้นดี อีกทั้งเครื่องประดับที่เข้าชุดกัน เมื่อทั้งสองเปิดออกมาดูก็พบว่ามันงดงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“คุณหนู ชุดแบบนี้ข้าเคยเห็นแต่คุณหนูใหญ่สวมอยู่ที่จวน นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้ท่านจะได้สวมชุดสวย ๆ เช่นนี้ด้วย ข้าตื่นเต้นยิ่งนักที่จะได้แต่งตัวให้ท่าน รีบสวมเถอะเ้าค่ะ”
หลิงอิงสวมชุดใหม่ซึ่งมีสีม่วงอ่อน ผิงเพ่ยรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นคุณหนูของตัวเองได้สวมชุดที่เหมาะสมเสียที พวกนางใช้เวลาแต่งตัว ไม่นานหลังจากที่สวมเครื่องประดับเสร็จแล้ว แม่ทัพหลิวก็เดินมาถึงหน้าเรือน
“ท่านแม่ทัพมาแล้ว!”
เสียงของจื่อรุ่ยะโอยู่หน้าจวน ทั้งสองจึงได้รีบเร่งจัดแจงเก็บของ ผิงเพ่ยเป็คนเดินออกมาก่อน และแจ้งท่านแม่ทัพอีกครั้ง
“ฮูหยินเล่า”
“ฮู…อ้อ ฮูหยินพึ่งจะแต่งตัวเสร็จเ้าค่ะ”
ผิงเพ่ยไม่คุ้นชินกับสรรพนามนี้ แต่เมื่อท่านแม่ทัพพูดออกมานางก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้น บัดนี้คุณหนูของนางเป็ฮูหยินของท่านแม่ทัพแล้ว มิใช่คุณหนูรองสกุลเมิ่งที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งอีกต่อไป
เมื่อประตูเปิดออกมา เมิ่งหลินอิงก็เดินออกมาพร้อมกับชุดที่เป็ทางการ ทำเอาแม่ทัพหนุ่มยืนนิ่งเมื่อเห็นสตรีที่งดงาม ใบหน้าของนางแต่งแต้มสีสันเพียงเล็กน้อย แต่สิ่งที่สะดุดตาเขามากที่สุด กลับเป็ริมฝีปากอิ่มที่ทาชาดสีลูกท้อนั่นต่างหาก
“ขออภัยที่ให้ท่านต้องรอนาน ข้าพร้อมแล้วเ้าค่ะ”
“ท่านแม่ทัพ ฮูหยินบอกว่าพร้อมแล้วขอรับ”
หลิวเว่ยหยางกะพริบตาถี่ ๆ สองสามครั้ง และหันมากระแอมก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“รถม้าเตรียมพร้อมแล้วตามข้ามาเถอะ เข้าวังครั้งแรกอย่าไปสายจะดีกว่า”