ในท้ายที่สุด หลงเซี่ยวอวี่ยังคงระงับความ้าที่จะยกหญิงตัวเล็กในอ้อมแขนของเขาออกไป
เพราะยามนี้เดิมทีเขาผู้มีใจแกร่งดั่งเพชร [1] ได้ถูกทำให้นางกลายเป็หัวใจแก้ว [2] ไปเสียแล้ว หากหญิงตัวเล็กผู้นี้ร้องไห้เช่นนี้ต่อไป หัวใจแก้วของเขาอาจจะแตกสลายได้
ดังนั้นฉีอ๋องผู้ซึ่งรักความสะอาดอย่างยิ่ง จึงทำได้เพียงปล่อยให้หญิงสาวตัวเล็กในอ้อมแขนเช็ดน้ำตาน้ำมูกของนางบนชุดสะอาดของเขาต่อไป
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า ฉีอ๋องผู้หมกมุ่นอยู่กับความสะอาด วันหนึ่งจะต้องถูกเช็ดถูด้วยน้ำมูกน้ำตา สิ่งที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือ เขาไม่ต่อต้านคนที่กล้าหาญทำสิ่งเหล่านี้เพราะยังมีความรู้สึกทำอะไรไม่ถูก
หลงเซี่ยวอวี่ถอนหายใจเบาๆ ทั้งทำอะไรไม่ถูก ทั้งทุกข์ใจ จากนั้นเขาจึงยกมือที่เห็นกระดูกเป็ข้อขึ้นมาลูบผมสีเข้มของนางเบาๆ ดูแลปลอบโยนนางราวกับเป็สมบัติล้ำค่าที่อยู่ในอ้อมแขน
พูดไปมากมายถึงเพียงนั้นแล้ว เหตุใดหลงเซี่ยวอวี่ถึงไม่ตอบ? เขายังโกรธเื่นั้นอยู่อีกหรือ? ยามคิดถึงเื่นี้ จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็รู้สึกไม่พอใจอีกครั้ง
หากเขากล้าคิดจะสังหารนางอีก นางจะโต้กลับให้แรงยิ่งกว่า
จู่ๆ มู่จื่อหลิงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง สะอื้นอีกสองครั้ง ทำหน้าบูดบึ้งอย่างโมโห แต่กลับเปล่งเสียงขึ้นจมูกออกมาอย่างหนักแน่น “หลงเซี่ยวอวี่ ท่านทำข้าร้องไห้ มันเป็ความผิดของท่าน”
ดวงตาของมู่จื่อหลิงแดงจากการร้องไห้ จมูกยังแดงจากการเสียดสี ขนตาหนาติดกันเป็แพ หน้าอกสั่นเทาตลอดเวลาจากการสะอื้นไห้ ทั้งน่ารักและน่าสงสารในคราวเดียว
หลงเซี่ยวอวี่ลดสายตาลงเล็กน้อย มองไปที่สาวน้อยผู้น่าสงสารที่อยู่ตรงหน้าเขา ก่อนยอมจำนนอย่างสมบูรณ์
การปลอบผู้หญิงเป็งานที่ยากและเหนื่อยที่สุดในใต้หล้า
แต่ยามเผชิญหน้ากับหญิงสาวตัวเล็กที่เอาแต่ใจต่อหน้าเขา ฉีอ๋องยังคงอดทนอย่างมาก
หลงเซี่ยวอวี่ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เสียงของเขานุ่มนวลอย่างน่าประหลาดใจ “ทำฉีหวางเฟยร้องไห้ ถือเป็ความผิดของเปิ่นหวาง ทั้งหมดเป็เปิ่นหวางที่ผิดเอง”
เขาลูบจมูกแดงของมู่จื่อหลิงด้วยปลายนิ้วนุ่ม “ไม่เป็ไรแล้ว อย่าร้องไห้ ร้องจนหน้าตาไม่ต่างจากลูกแมว [3] แล้ว...”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็หยิบผ้าเช็ดหน้าเนื้อนุ่มสะอาดสะอ้านออกมา เช็ดน้ำตาและน้ำมูกที่หลงเหลืออยู่บนใบหน้าของมู่จื่อหลิงออก การเคลื่อนไหวของเขาอ่อนโยนมาก
เมื่อครู่มู่จื่อหลิงร้องไห้อย่างหนักมากเสียจนยามนี้ยังคงสะอื้นอยู่เป็ระยะ แม้ว่านางจะไม่ร้องไห้แล้ว แต่เสียงสะอื้นยังคงทำให้หลงเซี่ยวอวี่เป็ทุกข์
จากนั้น หลงเซี่ยวอวี่ก็ยื่นมือออกมาอีกครั้ง พร้อมที่จะรับมู่จื่อหลิงกลับสู่อ้อมแขนของตน อยากจะเกลี้ยกล่อมหญิงตัวเล็กผู้นี้ที่ทำให้เขารู้สึกแย่อีกครั้ง
แต่ว่า...
จากหางตาของมู่จื่อหลิง นางบังเอิญเห็นจุดหนึ่งที่มีรอยเปียกขนาดใหญ่บนหน้าอกของหลงเซี่ยวอวี่ จากนั้นนางก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อครู่นางเช็ดน้ำตาน้ำมูกไปทั่วตัวเขา
ในด้านการรักษาความสะอาดนั้น ฉีอ๋องอยู่ในจุดสุดยอดไร้เทียมทาน...ยามนี้ตัวเขาเต็มไปด้วยน้ำตาน้ำมูก เขาไม่รู้สึกรังเกียจหรือ? หรือยังไม่หายโกรธ?
มู่จื่อหลิงอดไม่ได้ที่จะยกเปลือกตาขึ้นมองหลงเซี่ยวอวี่
แต่นางไม่ได้มุ่งเป้าไปที่เขาเพราะสำนึกผิด นางจำได้ว่า ก่อนหน้านี้มารร้ายผู้นี้ทำอะไรกับนางบ้าง ดังนั้น...
ยามรู้สึกว่ามือใหญ่ของหลงเซี่ยวอวี่โอบรอบเอวของนาง มู่จื่อหลิงจึงรีบคลานออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างรวดเร็ว
หลังจากคลานถอยหลังกลับไประยะหนึ่ง นางเหลือบมองไปที่ชุดตรงบนหน้าอกของหลงเซี่ยวอวี่ ที่เมื่อครู่ถูกนางเช็ดจนเปียกด้วยท่าทางรังเกียจ โดยเลียนแบบน้ำเสียงของเขาในยามแสดงความรังเกียจนางก่อนหน้านี้ “ชุดของท่านสกปรก”
หญิงผู้นี้...หลงเซี่ยวอวี่เกือบคำรามด้วยความโกรธ เช็ดน้ำตาและน้ำมูกทั่วร่างของเขา เขายังไม่ได้พูดอะไรเลย นางกล้าดูถูกเขาได้อย่างไร?
หลงเซี่ยวอวี่เหยียดสองนิ้วเรียวยาวออกมา จับชุดที่เปียกชุ่มบนหน้าอก ตัวสั่นด้วยความขยะแขยง “สกปรกถึงเพียงนี้ ไม่ใช่เพราะใครบางคนทำหรอกหรือ”
มู่จื่อหลิงพึมพำอย่างไร้เหตุผลอีกครั้ง กัดริมฝีปากของนาง ไม่พูดอะไร
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่กระตุกเป็รอยยิ้มที่สวยงามมอบให้มู่จื่อหลิง เขาถอดชุดคลุมที่เหนียวเหนอะหนะจากฝีมือนางออก หยิบชุดที่สะอาดออกมาจากช่องลับของรถม้า ก่อนจะสวมใส่ลงไป
มู่จื่อหลิงพึมพำอย่างลับๆ ในใจ มารร้ายแสนเย้ายวนใจผู้นี้! เหตุใดถึงไม่รู้จักสงวนตัวเอาเสียเลย ฉีอ๋องชอบแต่งตัวต่อหน้านางเช่นนี้เสมอ คิดได้อย่างไร ช่างไร้ยางอายสิ้นดี
แม้ว่านางจะได้เห็นร่างกายที่สมบูรณ์แบบราวกับหยกขาวนี้ถึงสามครั้งในเวลาไม่ถึงวัน แต่มู่จื่อหลิงก็ยังมองไปทางอื่นด้วยความเขินอาย
หลังจากหลงเซี่ยวอวี่เปลี่ยนชุดแล้ว เขาก็หมุนกลไกและฟื้นคืนรถม้าให้กลับคืนสู่สภาพเดิม สั่งให้กุ่ยหยิ่งกับกุ่ยเม่ยเร่งความเร็วรถม้า
จากนั้น หลงเซี่ยวอวี่ก็ไม่เปิดโอกาสให้มู่จื่อหลิงขัดขืน รีบคว้านางมาไว้ในอ้อมแขน กอดนางแน่นเพื่อที่นางจะได้ไม่รับผลกระทบจากรถม้าที่เร่งความเร็วอย่างกะทันหัน
ในเวลาเดียวกัน ม้าเปินเหลยและม้าเมฆา เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ส่งเสียงร้อง กางกีบเท้าวิ่งควบออกไปราวกับสายลม
หลงเซี่ยวอวี่วางคางไว้บนศีรษะของมู่จื่อหลิง ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นหอมรื่นรมย์น่าหลงใหลจากเส้นผมของนาง
หลังจากร้องไห้อย่างหนักอยู่พักหนึ่ง อารมณ์ของมู่จื่อหลิงที่ราวกับเมฆดำทะมึนก็ผ่านไป ตามมาด้วยท้องฟ้าสดใส นางรู้สึกปลอดโปร่งยิ่งนัก
การร้องเมื่อครู่ ราวกับได้ปลดปล่อยความหดหู่ที่เก็บกดอยู่ในใจมานานออกมา ทำให้นางรู้สึกสบายตัวมาก
มู่จื่อหลิงซุกอยู่ในอ้อมแขนของหลงเซี่ยวอวี่อย่างเงียบๆ จึงมองไม่เห็นท่าทางของเขา
นางอยากจะเงยหัวขึ้น แต่หลงเซี่ยวอวี่ไม่ให้โอกาสนางเลย เขาทิ้งน้ำหนักทั้งหมดไว้บนศีรษะนาง
ในยามนี้ ดวงตาสีเข้มของหลงเซี่ยวอวี่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนที่ไม่อาจจางหายไปได้ สีหน้าแสดงออกถึงความรักอย่างสุดซึ้ง มีความพึงพอใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่ามู่มู่ของเขาจะมีพลังมหาศาลขนาดนี้ ทันทีที่นางร้องไห้ โลกของเขาก็ดับมืดลง ความรู้สึกนี้แย่มากจริงๆ
รอยยิ้มเ้าเล่ห์ที่ยากจะอธิบาย แต่แฝงไว้ด้วยแววพึงพอใจฉายผ่านดวงตาของหลงเซี่ยวอวี่
โดยไม่คาดคิด เขา หลงเซี่ยวอวี่ผู้ซึ่งเ็าและอ้างว้างจะมีวันที่อ่อนแอได้เช่นนี้
มู่จื่อหลิงเป็จุดอ่อนเดียวของหลงเซี่ยวอวี่
หลงเซี่ยวอวี่ก้มหัวลงจูบหน้าผากขาวเนียนของมู่จื่อหลิงอย่างรักใคร่ นี่เป็จุดอ่อนเดียวที่สามารถคร่าชีวิตเขาได้ ดังนั้นจึงต้องได้รับการปกป้องอย่างดี
......
แม้ว่าจะมีหลงเซี่ยวอวี่อยู่ด้วย แต่พวกเขาก็เดินทางอย่างเอื่อยเฉื่อยมาตลอดทาง ยามนี้ใกล้จะค่ำแล้ว มู่จื่อหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาทำให้ฮ่องเต้รอมาทั้งวัน มันดูดื้อรั้นเกินไป
ฉีหวางเฟยมีตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นอาจไม่เป็ไรหากปล่อยให้ฮ่องเต้ต้องรอสักวัน แต่นางก็เป็เพียงกุ้งตัวเล็ก แม้ว่านางจะมีหน้าอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่คู่ควรกับการแสดงตนต่อหน้าฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าใบหน้าเพียงเล็กน้อยนี้ไม่เพียงพอ
มู่จื่อหลิงหันศีรษะมองไปยังภาพนอกหน้าต่าง ถามอย่างหดหู่เล็กน้อย “ข้าควรจะเข้าวังั้แ่เช้าตรู่ แต่ยามนี้มันสายไปแล้ว หากเสด็จพ่อของท่านตำหนิเล่า?”
แต่ใครจะรู้ว่าในยามที่นางรู้สึกหดหู่และเป็ทุกข์ หลงเซี่ยวอวี่กลับไม่สนใจเื่นี้
หลงเซี่ยวอวี่ตีหน้าผากของนางด้วยลูกเกาลัด ตอบคำตอบที่ไม่เกี่ยวข้อง และแก้ไขประโยคของนาง “มู่มู่คนโง่ เสด็จพ่อของข้าเป็ฮ่องเต้ที่เป็พ่อของเ้าเช่นกัน”
“อืม มันเจ็บ!” มู่จื่อหลิงกุมหน้าผากด้วยความเจ็บ จ้องมองเขาอย่างโกรธเคือง ชายผู้นี้ไม่กังวลเลย เขายังคงอารมณ์ดี
หลงเซี่ยวอวี่จูงมือเล็กๆ ของนางออกมา ลูบหน้าผากนางเบาๆ พูดช้าๆ ด้วยท่าทางไม่สนสิ่งใด “ขันทีผู้แจ้งพระราชโองการเรียกตัวเ้า เป็เขาที่มาช้า หากจะโทษ...ก็ต้องโทษคนที่มาช้า”
ยามเห็นใบหน้าของมู่จื่อหลิงที่กำลังจะเดือดดาล ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์ เขาลูบหัวมู่จื่อหลิงอย่างอ่อนโยน “เ้าขี้โกงถึงขนาดอยากให้เปิ่นหวางเข้าวังมาด้วยกัน แล้วยังต้องกลัวสิ่งใดอีก หืม?”
คนผู้นี้...มู่จื่อหลิงกัดฟัน
คนผู้นี้พูดเื่ไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร นาง้าให้เขาเข้าวังด้วยกันหรือ ก่อนที่นางจะพูด เป็เขาที่ตอบตกลงออกมาก่อน แล้วนางจะเป็คนขี้โกงได้อย่างไร?
มู่จื่อหลิงรู้ว่าแม้ยามนี้นางจะรู้สึกโกรธ แต่นางก็ไม่สามารถพูดตอบโต้ได้ ไม่เช่นนั้นนางจะทำอย่างไรหากชายผู้นี้ปล่อยให้นางเข้าไปในวังคนเดียว? นางไม่สามารถแบกรับความผิดใหญ่หลวงที่ทำให้เ้าแห่งแผ่นดินต้องรอทั้งวันได้
มู่จื่อหลิงบ่นพึมพำ เบือนหน้าหนีอย่างไม่พอใจ
สายตาของนางจับจ้องไปที่ล่วมยาข้างกาย หลงเซี่ยวอวี่รู้วิธีใช้ลายนิ้วมือของนางเพื่อเปิดล่วมยามา ก่อนหน้านี้นางก็เคยสงสัยอยู่พักหนึ่ง
แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ยามนี้หลงเซี่ยวอวี่มีความเชี่ยวชาญ ถึงขนาดจับมือนางโดยไม่ชักช้า ใช้ลายนิ้วมือเพื่อเปิดล่วมยา
หากไม่มีอะไรมากไปกว่าการเปิดล่วมยาก็ไม่เป็ไร แต่หลังจากเปิดมัน หลงเซี่ยวอวี่ยังสามารถพบยาที่จำเป็ในขวดได้ในครั้งแรก น่าทึ่งมาก!
มู่จื่อหลิงพูดไม่ออก เห็นได้ชัดว่านี่เป็ของนาง ชายผู้นี้ใช้มันเก่งขนาดนี้ได้อย่างไร ใช้เก่งทั้งที่ใช้เพียงไม่กี่ครั้ง
“แล้วเหตุใดล่วมยาของข้าถึงอยู่ตรงนี้ ท่านขโมยไปั้แ่เมื่อใด” มู่จื่อหลิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปที่หลงเซี่ยวอวี่อย่างว่างเปล่า
แม้ว่าล่วมยานี้จะไม่ค่อยได้ใช้ใน่ที่ผ่านมา แต่นางก็หยิบมันออกมาดูทุกวัน ใส่ยาที่ทำขึ้นใหม่ลงไป ยามนี้พวกเขากำลังจะเข้าวังหลวง หลงเซี่ยวอวี่จะนำล่วมยาไปเพื่ออะไร?
ขโมย...คำนี้ดูไม่เหมาะสมสำหรับฉีอ๋อง!
มุมปากของหลงเซี่ยวอวี่ขยับเล็กน้อย เขาอยากจะจับหญิงผู้นี้แล้วตีก้นนางจริงๆ สิ่งที่นางพูดในวันนี้ เหตุใดเขาถึงไม่ชอบฟังมันนักนะ?
อันดับแรก เสด็จพ่อของเขาก็คือฮ่องเต้ ล่วมยาของนาง เขาขโมยไปหรือ? หญิงผู้นี้ลืมตัวตนของนางไปแล้ว หรือนางพยายามทำให้เขาโกรธกันแน่?
หลงเซี่ยวอวี่มองมู่จื่อหลิงด้วยความโกรธและขบขัน ขณะที่นางกำลังจะอ้าปากอีกครั้ง
แต่ไม่ได้รอคำตอบ
มู่จื่อหลิงกัดนิ้วของนางอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้น ดูเหมือนนางจะคิดอะไรบางอย่างได้ จึงพูดว่า “ไม่ หรือว่า...ครั้งนี้ท่าน้าให้ข้าเข้าวังเพื่อรักษาคนอีกหรือ?”
“อืม” หลงเซี่ยวอวี่ตอบด้วยเสียงแ่เบา พร้อมความอ่อนโยนที่ชวนมึนเมาซึ่งส่องมาจากในดวงตาของเขา เขาเกาจมูกสวยของนาง “เป็การรักษาคน”
“ข้าอยากรักษาคนจริงๆ...” มู่จื่อหลิงพึมพำ
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกตัวขึ้น เม้มริมฝีปากด้วยความไม่พอใจ เหลือบมองหลงเซี่ยวอวี่ “ที่แท้ท่านก็ไม่ได้อยากเข้าวังกับข้า ท่านจะเข้าวังอยู่แล้ว แต่ท่านยังเรียกข้าว่าคนขี้โกง ท่านมันอันธพาล”
หลงเซี่ยวอวี่มองนางอย่างขบขัน แสร้งทำเป็พูดอย่างจริงจัง “เมื่อเป็เช่นนี้ อย่างนั้นเปิ่นหวางจะกลับ ส่วนเ้าเข้าวังด้วยตนเอง?”
น่ารังเกียจ ผู้นี้รู้ว่าต้องขู่นางด้วยสิ่งนี้ ดังนั้นมู่จื่อหลิงจึงแสร้งทำเป็ไม่ได้ยินที่เขาพูด เปลี่ยนเื่ในทันที “ครั้งนี้ท่านจะให้รักษาใคร?”
---------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ใจแกร่งดั่งเพชร (金刚钻的心) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า ใจแข็งมาก ไม่อ่อนไหวกับเื่ใดได้โดยง่าย
[2] หัวใจแก้ว (玻璃心) เป็คำเปรียบเปรย มีความหมายว่า คนที่จิตใจอ่อนแอมากๆ มีเื่มากระทบนิดๆ หน่อยๆ ก็รับไม่ได้
[3] ร้องจนหน้าตาไม่ต่างจากลูกแมว (哭成小花猫) เป็วลี มีความหมายว่า ร้องไห้หนักมากจนหน้าตาเลอะเทอะดูไม่ได้