เมื่อแสงยามเช้าของวันลอดผ่านม่านหน้าต่างมาตกกระทบใบหน้า ฉันที่เซื่องซึมอยู่ต้องลุกขึ้นมาบิดี้เีและหาวออกมาหวอดใหญ่
แม้ฉันจะอยากนอนต่ออีกสักหน่อย แต่ก็ต้องลุกขึ้น เพราะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนยังไม่ได้จัดการของในห้องนั่งเล่นเลย
ฉันเดินไปที่ห้องครัว เพื่อตระเตรียมวัตถุดิบที่จะใช้ทำอาหารเช้าไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วเอาขนมปังปิ้งใส่เข้าเตาอบ ก่อนจะเข้าห้องน้ำใช้เวลาล้างหน้าล้างตาสักพัก และเปลี่ยนเป็ชุดลำลองอยู่บ้าน
วันหยุดเต็มวันแบบนี้ช่างหาได้ยาก นี่ถ้าไม่ใช่ว่าแฟนคลับชอบจำหน้าฉันได้ และเข้ามาขอถ่ายรูปบ่อยๆ ฉันคงออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้ว
“ยอมรับชะตากรรมเถอะ นาเดชิโกะ นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เธอต้องแลกสำหรับการเป็ไอกะ”
ฉันที่พึมพำกับตัวเองพลางก้มเก็บเสื้อคลุมอาบน้ำที่กองอยู่บนโซฟาและเซ็กซ์ทอยที่ตกอยู่บนพื้น พลางตำหนิตัวตนอีกครึ่งของตัวเอง
ฉันเกิดมาในชื่อ ‘นาเดชิโกะ ซาซากิ’ แต่ตอนนี้ฉันเห็นแค่ตัวเองที่เป็ไอดอล ‘ทาจิบานะ ไอกะ’ เท่านั้น
ฉันจะมีความสุขมากเมื่อได้ขึ้นไปแสดงบนเวที เพราะฉันรู้สึกได้ถึงความสำเร็จจากการทำงานหนักร่วมกับสมาชิกคนอื่นๆ และประสบความสำเร็จในการสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าฉันรู้สึกเซ็งๆ กับชีวิตตัวเองในตอนนี้พอสมควร เพราะถ้าเทียบกับตอนก่อนออดิชันแล้ว นี่มันไม่ได้สะดวกสบายเหมือนที่คิดไว้เลย
ฉันว่าฝีมือการทำอาหารของฉันก็ดูใช้ได้นะ อย่างน้อยก็ทำขนมปังปิ้งโปะเบคอนกับไข่ดาวให้เหมือนอาหารเช้าสุดหรูที่เสิร์ฟในร้านอาหารได้
ส่วนการจะถ่ายภาพอาหารและอัปโหลดไปยังหน้าเพจก็ต้องระมัดระวัง และต้องได้รับความยินยอมจากผู้จัดการก่อนด้วย เพราะเธอเคยบอกว่า แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่นึกไม่ถึงในภาพถ่าย อาจถูกแฟนคลับผู้คลั่งไคล้จับสังเกต และอาจสืบหามาถึงที่พักได้เลย
แล้วเ้าของเล่นในมือนี้ไม่ต้องพูดถึง เพราะมันจะไม่เป็ประเด็นแค่เื่ซื้อของใช้ส่วนตัวเท่านั้น
ฉันเช็ดคราบที่เปื้อนมันออกเล็กน้อย แล้วยัดลงไปในกล่องที่เต็มไปด้วยคอลเลกชันของเล่นอื่นๆ
่ที่ฉันเดบิวต์ ในทุกๆ ค่ำคืนอันแสนเงียบเหงา ฉันก็มีเหล่าเพื่อนดีๆ นี้ละที่คอยอยู่กับฉันตลอด แล้วตอนนี้ฉันก็ค่อนข้างพอใจกับเพื่อนใหม่ชิ้นนี้ด้วย สงสัยครั้งหน้าฉันต้องลองเล่นของเล่นชิ้นอื่นดูบ้าง
หลังจากปิดกล่องและบอกลาพวกมัน ฉันก็กลับไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้า และครุ่นคิดว่าจะใช้เวลาทั้งวันทำอะไรดี
“โอ้... แต่ละคนในวง CYRA ตารางแน่นกันหมดเลย”
ขณะที่กำลังทานอาหารเช้า ฉันที่เห็นข้อความตารางงานของสมาชิกทั้งสี่รวมถึงตัวฉันเด้งเข้ามาในกลุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็พับแผนการที่จะชวนสมาชิกคนอื่นๆ ในวงไปเที่ยวเก็บไป
ถึงฉันรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อคิดว่า หากไปข้างนอกอาจต้องเผชิญหน้ากับแฟนๆ ที่เจอกันตามลำพังหรือบังเอิญ แต่ยังไงฉันก็อยากออกไปเจอแสงแดด และซื้อของข้างนอกอยู่ดี อีกอย่าง ฉันไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสักพักแล้วด้วย
“เช้าวันธรรมดาน่าจะโอเคอยู่มั้ง”
ฉันยัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปาก แล้ววางจานไว้บนเคาน์เตอร์ ก่อนตัดสินใจเปลี่ยนชุดเตรียมออกไปข้างนอก
ต่อให้จะแต่งตัวเพื่อลบตัวตนการเป็ไอกะไปมากแค่ไหน แต่ก็เดาไม่ได้อยู่ดีว่าจะถูกแฟนคลับจำขึ้นมาได้ในสถานการณ์ไหน
ดังนั้นการสวมเสื้อผ้าไม่ให้โดดเด่นเกินไปจะดีที่สุด แถมยังรักษารสนิยมของตัวเองเมื่อถูกจำได้อีกด้วย
เมื่อแน่ใจแล้วว่าแว่นตา หมวก และหน้ากากเรียบร้อยดีแล้ว ก็เหลือแค่หยิบรองเท้าและเตรียมที่จะออกไปข้างนอก
"เอ๋?"
แต่ในขณะที่ฉันเดินมาถึงตรงทางเข้าและกำลังเปิดตู้รองเท้า ก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงมาจากกรอบประตูห้อง
ความอยากรู้ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกระวังระไวเท่าไหร่นัก แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกกังวลกับข้อความที่จะเขียนอยู่ในนั้นมากกว่า
เมื่อฉันก้มลงไปหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน ฉันก็รู้สึกสมองโล่งและแข็งทื่อไปทั่วทั้งร่าง
เืทั้งตัวพลันสูบฉีดขึ้นไปบนหน้าผาก จนสมองหยุดทำงานไปพักหนึ่ง
[คุณเพื่อนบ้าน ผมว่าเมื่อคืนคุณทำเยอะไปหน่อย หวังว่าคุณจะควบคุมตัวเอง และลดเสียงลงสักหน่อยนะครับ]
จำนวนห้องของแต่ละชั้นของที่นี่มีไม่มาก แล้วบังเอิญว่าห้องของฉันตั้งอยู่ที่สุดทางเดิน
ถ้าอย่างนั้นเพื่อนบ้านที่เขียนข้อความนี้ คำตอบที่น่าจะเป็ไปได้ที่สุดก็คือ หนุ่มหล่อที่ทักทายฉันเมื่อวานนี้ ‘นายเพื่อนบ้าน’ เพียงคนเดียวของฉัน
นี่เหรอวิธีที่จะทำให้เราได้ทำความรู้จักกันอย่างจริงจัง วิธีที่น่าอับอายและขายขี้หน้าที่สุดนี่อะนะ!?
แถมข้อความนี้มันใจร้ายและว่าร้ายกันเกินไปแล้ว ต่อให้ฉันจะฉีกกระดาษนี้ทิ้งไป ก็ใช่ว่าจะลืมข้อความนี้ไปได้ง่ายๆ นะ
ความตั้งใจที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอกสลายหายไปหมด ตอนนี้ฉันแค่อยากจะกลับไปนอน และลืมไอเื่บ้าบอนี้ไปให้หมด
"ฮือ... ฮือ..."
ตอนนี้หัวของฉันแทบจะจมอยู่กับหมอน ไม่สนใจแล้วว่าตัวเองกำลังสวมชุดที่จะออกไปข้างนอกอยู่ เพราะความรู้สึกมันเอ่อล้นไปด้วยความอับอายและเสียใจ
ไม่ว่าจะเป็เื่จริงหรือไม่ก็เถอะ นายเพื่อนบ้านคงคิดว่าฉันเป็ยัยผู้หญิงขี้หมกมุ่นแน่ๆ หรือเมื่อคืน… เขาจะได้ยินเสียงที่ฉันเรียกหาเขาด้วย
นี่มันจะไม่แย่ไปกว่านี้เหรอ ถ้าเขารู้ว่าฉันเป็ใคร เฮ้อ... ไม่อยากจะคิดเลย…
“เอาละ หาวิธีขอโทษเขาดีกว่า”
แต่คงไม่ใช่วันนี้แน่นอน
วันนี้ฉันไม่ใช่ ‘ไอกะ’ ที่อยากออกไปข้างนอก แต่เป็ ‘นาเดชิโกะ’ ที่หมกตัวอยู่ในบ้าน และจะไม่ออกไปไหนทั้งนั้น!
“อ๊าก…!!!”
เสียงแห่งความสลดใจดังขึ้นในห้องฉันอีกครั้ง
ตอนนี้ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร ได้แต่นั่งนิ่งอยู่บนเตียง และคิดไปมาแต่เื่ความผิดพลาดที่ตัวเองทำไว้ จนได้รับการปฏิบัติน่าอับอายแบบนี้
แต่ประเดี๋ยวเดียวฉันก็คงเลิกวิตกและรู้สึกผิดไปเอง
และถึงฉันจะทานอาหารเช้าไปแค่มื้อเดียว แต่ก็ยังไม่อยากลุกออกไปจากเตียง จนกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน แล้วห้องมืดลง
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็ถอดเสื้อและเครื่องประดับที่ใส่ออกออกไปทีละชิ้น แล้วโยนไปรอบๆ เหลือไว้เพียงชุดชั้นในและผ้าห่มที่ห่อหุ้มร่างกายตัวเองเอาไว้
คอนโดแห่งนี้ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างเงียบสงบ มียานพาหนะสัญจรไปมาน้อยและไร้เสียงรบกวน เมื่อท้องฟ้ามืดลงจึงเงียบสงบลงมาก
ความเงียบแบบนี้ทำให้ฉันมีพื้นที่สงบสติอารมณ์มากขึ้น และเริ่มคิดว่าควรจะไปขอให้คุณซาเอกุสะซังย้ายบ้านให้อีกครั้ง แล้วหนีไปเลยดีไหม…
แต่ปัญหาคือ จะเอาเหตุผลไหนไปอ้างคุณซาเอกุสะซัง ว่าจะย้ายที่อยู่หลังจากที่เพิ่งจะย้ายมาที่นี่ได้ไม่นานเล่า
‘ฮะ นี่เธอบอกว่า เธอช่วยตัวเองเสียงดังจนเพื่อนข้างห้องได้ยิน แล้วก็อยากย้ายที่อยู่หนีอะนะ?!’
เมื่อฉันจินตนาการถึงคำพูดของคุณซาเอกุสะซังแบบนั้น หัวก็รู้สึกปวดแปลบขึ้นมา
ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ คือการขอโทษอย่างจริงใจสินะ?
แต่ไม่ว่าจะบอกกับเขาโดยตรงหรือเขียนข้อความเพื่อขอโทษ นี่ก็เป็ปัญหาที่น่าหนักใจชะมัด
"...?"
ไม่รู้ว่าฉันหูแว่วไปเองรึเปล่า แต่คิดว่าได้ยินเสียงบทสนทนาบางอย่าง
ตอนแรกนึกว่าเสียงมาจากข้างนอก แต่พอฟังดีๆ น่าจะมาจากข้างห้อง
“นายเพื่อนบ้านพาใครมาที่บ้านเหรอ?”
ปกติแล้วเวลานี้ฉันไม่ค่อยอยู่ในห้องนอน นี่จึงเป็ครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ หลังจากที่อาศัยอยู่มาสักพัก
จริงๆ ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟัง แต่แค่เสียงบทสนทนามันเฉี่ยวไปมาอยู่ที่หูน่ะสิ
ถึงเสียงนั้นจะดังอย่างเเผ่วเบา แต่ก็ค่อนข้างชัดเลย หากตั้งใจฟังดีๆ ก็ได้ยินสิ่งที่พูดกันได้อย่างครบถ้วน
ยังไงก็เหอะ ฉันรู้สึกว่าการเก็บเสียงของคอนโดระดับไฮเอนด์แห่งนี้แย่เกินไปจริงๆ
ต่อจากนี้ไป เสียงครางที่ฉันร้องออกมาตอนช่วยตัวเอง อาจจะต้องเบาลง...
“โอ๊ย... อย่าทำให้ฉันต้องนึกถึงเื่นี้อีกเลย”
ฉันลุกขึ้นนั่ง แล้วเอามือลูบแก้มที่เริ่มร้อนผ่าว เหมือนอาการปวดหัวและความรู้สึกอับอายจะกลับมาอีกครั้ง
ขณะที่ฉันสำนึกเสียใจอยู่นั้น เสียงจากข้างห้องกลับเข้ามาทำลายความเงียบนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
แล้วฉันก็ค่อยๆ พบว่า มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้ในตอนแรก…
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้