เล่มที่ 7 บทที่ 197 เสียงระฆัง
หุบเขาร่วนสือเป็หนึ่งในเขตหวงห้ามของเมืองวั่งไห่ ที่นั่นมีหมอกพิษปกคลุมตลอดทั้งปี มารปีศาจอาละวาดบ่อยครั้ง แถมยังมีปีศาจขั้นเยาหวังอาศัยอยู่อีกด้วย หลายพันปีมานี้ มันได้กลืนกินผู้บำเพ็ญที่ผ่านเข้ามาไปจำนวนไม่น้อยเลย ต่อให้เป็ศิษย์สามสำนักใหญ่เองก็ไม่กล้าเข้าใกล้ พอนานวันเข้า ที่แห่งนี้จึงกลายเป็เขตหวงห้าม
ไม่ว่าจะมองอย่างไร หุบเขาร่วนสือก็ไม่เหมาะที่จะเป็สถานที่นัดคุยเท่าไร หลินเฟยเองก็คิดไม่ถึงว่าผู้ขายชิ้นส่วนประตูมิติ จะนัดให้เขามาเจอที่นี่...
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินเฟยก็จะไปเจอให้ได้...
แม้แต่อสุรกายกุ่ยหวังก็เคยประมือมาแล้ว มีหรือที่เขาจะเกรงกลัวต่อปีศาจขั้นเยาหวัง?
คิดได้ดังนั้นหลินเฟยก็ยิ้มน้อยๆออกมา อย่างไรก็ตามเขาจะต้องได้ชิ้นส่วนประตูมิติมาให้ได้ หากไม่มีสิ่งนี้ละก็ เกรงว่าจะไม่สามารถกลับไปยังพิภพหลัวฝูได้ง่ายๆ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะต้องสะสางให้กระจ่างภายในเดือนหน้า...
หลายวันต่อมาหลินเฟยก็เอาแต่ขลุกตัวหลอมมีดบินฮั่วอู๋ในร้านหลอมอาวุธฟานซื่อไม่ออกไปไหน เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ในที่สุดเทศกาลไห่หุ้ยก็จบลง ตรอกซอยที่ครึกครื้นก็เริ่มกลับมาสงบเงียบ เหล่าฝูงเรือก็ทยอยแล่นออกจากท่า ทำให้ท่าเรือที่แน่นขนัด เริ่มมีที่ว่างเพิ่มขึ้น...
ทว่าในวันนี้...
จู่ๆก็มีเสียงระฆังดังสนั่นไปทั่วเมืองวั่งไห่
เสียงระฆังนั้นดังมาจากทางกำแพงเมือง...
กระบี่ ยันต์ ค่ายกล และระฆังล้วนเป็ส่วนหนึ่งของค่ายกลคุ้มกันเมือง โดยทั้งสี่จะประจำอยู่ตามทิศทั้งสี่ของเมือง และบัดนี้เสียงระฆังที่ดังขึ้น ก็เป็เสียงระฆังไท่เสวียน ที่ปกปักรักษาอยู่ประจำทิศตะวันออก
“เป้ง!”
“เป้ง!”
“เป้ง!”
ระฆังไท่เสวียนดังสามครั้งติดกัน ทันใดนั้นทั่วทั้งเมืองวั่งไห่ก็เกิดแตกตื่นขึ้นทันที เพราะระฆังดังสามครั้งแปลว่ามีมารปีศาจบุกเข้ามา ผู้บำเพ็ญที่อยู่บริเวณท่าเรือต่างพากันหนีตายออกมา ฝูงเรือน้อยใหญ่มากมายพากันกางใบเรือเตรียมแล่นออกไป ทั้งเรือรบเฟยเซียน เซินหลัว และหวงเฉวียนบัดนี้เรือทั้งสามกำลังมีแสงเรืองรองสว่างออกมา และนี่คือสัญญาณเพื่อบ่งบอกว่ามีผู้บำเพ็ญขั้นจิงตันคอยคุ้มกันอยู่...
ในขณะเดียวกันที่ทะเลอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ก็มีคลื่นขนาดั์ปรากฏขึ้น และมันกำลังพุ่งเข้ามาอย่างน่าสะพรึงกลัวเลยทีเดียว...
ราวกับถูกกระแสอันโเี้ปลุกให้ตื่นขึ้น เมืองวั่งไห่ที่สงบนิ่งมานานก็สั่นไหวขึ้น เพียงพริบตาเดียวก็มีอักขระจำนวนมากพวยพุ่ง เมืองที่หลับใหลมาเป็เวลานานแห่งนี้ ในที่สุดก็สำแดงพลังออกมาอีกครั้ง มองเผินๆแล้วก็ละม้ายกับสัตว์ร้ายที่กำลังจะตื่นขึ้น พื้นดินสั่นะเืเป็วงกว้างนับพันลี้ แม้แต่จุดชีพจรใต้พิภพก็เกิดแปรปรวน ครู่เดียวก็มีพลังมากมายหลั่งไหลเข้ามายังเมืองวั่งไห่แล้ว
กำแพงเมืองที่ขรุขระบัดนี้มีอักขระมากมายปรากฏขึ้นเลือนราง บนท้องฟ้าก็มีลำแสงสายหนึ่งปกคลุมเป็ชั้นจางๆราวกับจานใบั์ กำลังคว่ำปิดพื้นที่ของเมืองวั่งไห่เอาไว้
และในเวลานี้เองที่ทุกคนก็ระลึกได้ว่า เมืองวั่งไห่ก็เป็เมืองที่เกิดขึ้นจากการสูญเสียเืเนื้อของเหล่าผู้บำเพ็ญมากมายในอดีต!
ขุมพลังมากมายที่ตื่นขึ้นมา กำลังกดข่มไอโเี้ที่แพร่กระจายในอากาศ เพียงครู่เดียวท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี จากเดิมที่มีเมฆดำควันปกคลุมราวกับพายุฝน ก็กลายเป็ท้องฟ้าใสไร้เมฆทันที...
ทว่าตรงเส้นขอบฟ้ากำลังมีเมฆหมอกควันกลุ่มหนึ่งคล้ายสัตว์ร้ายขนาดั์คืบคลานเข้ามา มันค่อยๆกลืนกินท้องฟ้าสีครามไล่เข้ามาทีละน้อย
เมฆหมอกดำเริ่มปกคลุมแทนที่ท้องฟ้าสีคราม บัดนี้เองบริเวณกลางทะเลก็เกิดคลื่นน้ำวนคล้ายัอาละวาด คลื่นน้ำวนกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆกระทั่ง สุดท้ายก็ถูกเมฆหมอกดำที่ราวกับหลุมดำดูดกลืนเข้าไป
ไม่นานเมฆหมอกดำก็มืดครึ้มขึ้นเรื่อยๆ จนมืดฟ้ามัวดินไปหมด ไม่เห็นแสงตะวันแม้แต่น้อย เหมือนกับกับเวลาหมุนกลับตาลปัตรไปหมด กลางวันแปรเปลี่ยนเป็กลางคืน มองไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อเมฆหมอกดำเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่าเรือในรัศมีประมาณสิบกว่าลี้ ทุกคนในบริเวณจึงสังเกตเห็นว่าเส้นขอบฟ้าสูงขึ้นกว่าเดิมมาก และยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง
ท้องทะเลที่ไร้คลื่นเริ่มปรากฏระดับน้ำที่สูงขึ้น จนในที่สุดก็มีความสูงเทียบเท่าเส้นขอบฟ้าเสียแล้ว...
‘นี่มันคลื่นั์!’
หากมองจากทางเมืองวั่งไห่จะเห็นเพียงคลื่นที่โหมซัดเข้ามาระลอกใหญ่ แม้คลื่นจะยังซัดมาไม่ถึงฝั่ง แต่ก็ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัว
พลังนี้แข็งแกร่งราวกับพลังจากฟ้าดินยิ่งใหญ่ ไม่มีสิ่งใดจะต้านทานได้เลย
หากไม่สกัดคลื่นั์ที่สูงนับพันจ้างนี้ไว้ละก็ เมื่อโหมซัดเข้ามาถึงฝั่งเมื่อใด เช่นนั้นแรงปะทะที่รุนแรงก็เพียงพอที่จะถล่มทุกอย่างในรัศมีสิบลี้ให้พินาศจนหมดแน่นอน
บริเวณที่ห่างจากท่าเรือประมาณสิบกว่าลี้ มีเสาไฟสูงกว่าร้อยจ้างนับสิบต้นตั้งอยู่กระจัดกระจาย เดิมทีเสาไฟพวกนี้มีไว้เพื่อบอกทิศทางในทะเล และที่สำคัญเสาพวกนี้ยังเกิดจากฝีมือของสามสำนักใหญ่ จึงมีพลังไม่ธรรมดา มารปีศาจทั่วไปก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้...
เสาไฟสามต้นที่ตั้งตระหง่านมานับพันปี จู่ๆก็มีอักขระมากมายปรากฏขึ้นมา ไอิญญาที่แผ่กระจายออกมานั้น เข้มข้นไม่น้อยไปกว่าศาสตราวุธเลยด้วยซ้ำ!
ภายใต้คลื่นน้ำที่กำลังซัดรุนแรงนั้น ก็มีเสียงคำรามกึกก้องลอดดังออกมา จากนั้นอักขระมากมายที่รายล้อมอยู่รอบเสา ก็ถูกดูดกลืนหายไปในพริบตาเดียว ลำแสงมากมายก็อับแสงลงพลัน ก่อนที่เสานับสิบต้นจะหายวับตามไป...
เหลือเพียงเสาสามต้นที่ยืนหยัดมาตลอดพันปี คอยต้านพายุที่โหมกระหน่ำด้วยสภาพโงนเงน...
เรือนับร้อยลำที่จอดอยู่บริเวณท่าเรือในตอนนี้ มีสภาพคล้ายกับใบไม้ใบน้อยที่ลอยอยู่กลางน้ำ ไม่อาจต้านคลื่นน้ำที่ซัดมาได้เลย เพียงคลื่นเบาบางที่ซัดมา ก็ทำเอาเรือทั้งลำถูกดูดกลืนเข้าไปในวังน้ำวน เพียงพริบตาเดียวก็ถูกชนจนแตกสลาย...
ทุกครั้งที่คลื่นน้ำซัดผ่านเข้ามา เหล่าสิ่งปลูกสร้างก็ล้วนพังทลายลง บัดนี้ท่าเรือแสนอลังการได้กลายเป็ซากปรักหักพังไปเสียแล้ว...
เพียงไม่กี่อึดใจ ท่าเรือก็ทรุดต่ำลงไปหลายสิบจ้าง พื้นดินก็ราวกับถูกบั่นลงไปเรื่อยๆ ความสูงของระดับพื้นต่ำลงไปจากเดิมมาก สิ่งคุ้มกันท่าเรือทั้งหลายก็พากันแตกสลายเป็ผุยผง ลำแสงที่ส่องเรืองรองก็ดับสูญไปหมดภายในเวลาไม่นาน...
คลื่นั์สูงนับพันจ้างที่เปี่ยมไปด้วยพลังโเี้กำลังกวาดทำลายทุกสิ่งอย่างในเมืองวั่งไห่...
“เป้ง!”
ทว่าในเวลานี้เอง เสียงระฆังก็ดังขึ้นอีกครั้ง...
หลังจากมีพลังเข้มข้นจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้ามายังระฆังโบราณที่อยู่เหนือกำแพงเมือง จากเดิมที่เป็เงาเลือนราง ก็พลันชัดเจนขึ้นทันที มองเพียงผิวเผินคล้ายกับระฆังใบั์ขนาดเท่าูเา กำลังลอยอยู่เหนือกำแพงสูง ทันใดนั้นก็มีแรงกดดันมหาศาลแพร่กระจายออกมา ลมพายุที่โหมกระหน่ำก็ถูกกดข่มจนสงบลง แม้แต่อากาศก็ยังถูกสะกดจนนิ่งสนิท
-------------------------------------------------------------------------------