เป็เวลากว่าสิบวันแล้วั้แ่ไปเยือนเฟิ่งจูไห่ วันนั้นจิ่วฟางเทียนฉีเดินทางกลับเทือกเขาจู่เสียอย่างรีบร้อน ก่อนไปก็ไม่ได้ทิ้งคำกล่าวใดไว้
แม้จะอยู่ที่ชิงหลิ่วถังไม่กี่วัน แต่เขาก็พูดคุยกับเฉิงเฟิงไม่น้อย ถึงอีกฝ่ายจะค่อนข้างเย่อหยิ่ง ทว่าเป็คนตรงไปตรงมาและจิตใจดี ทั้งคู่จึงเข้ากันได้ในระดับหนึ่ง
วันที่เขากลับไป หลิ่วเฉิงเฟิงถึงกับร้องห่มร้องไห้ เหตุการณ์นี้ทำให้จิ่วฟางเทียนฉีตั้งรับไม่ถูก
หลังจากที่จิ่วฟางเทียนฉีจากไปเฉิงเฟิงก็เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องไม่ออกไปไหนถึงสองวัน สุดท้ายเขาก็ยอมออกมาเพราะหลิ่วไป๋เจ๋อขอร้อง คนเป็พี่รู้สึกได้ว่าจิตใจของน้องชายยังไม่มั่นคง เดิมทีมีความคิดอยากให้อีกฝ่ายออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ขณะพิจารณาอยู่นั้น หลิ่วชิงเหยียนผู้เป็บิดาก็ส่งข่าวมาเสียที
หลิ่วชิงเหยียนให้คนนำจดหมายมาส่ง เนื้อความข้างในกล่าวว่า หลายวันก่อนได้เดินทางไปยังิเก๋อพร้อมกับอวิ๋นหลานเฟิงผู้นำตระกูลอวิ๋น จะเดินทางกลับวันไหนยังไม่อาจทราบได้ จึงขอให้พวกเขาดูแลชิงหลิ่วถังให้ดี รวมทั้งดูแลมารดาของตนและมารดาของเฉิงเฟิง
“ท่านพ่อเดินทางไปิเก๋อจริงๆ ด้วย” หลิ่วไป๋เจ๋อสับสนเป็อย่างมาก
ิเก๋อคือพื้นที่พิเศษในแดนเจ๋อ สถานที่นี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยกองกำลังใด และไม่ได้เป็ของกองกำลังไหนด้วย ทั้งยังมีสถานะพิเศษมาก เปรียบเป็ศูนย์กลางของดินแดนเจ๋อก็ว่าได้
สถานที่ลึกลับอย่างิเก๋อเปรียบเสมือนจุดศูนย์กลางจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะแคว้นเฟิ่งเทียน สำหรับชาวเมืองที่แห่งนั้นเปี่ยมไปด้วยแรงศรัทธาและความน่าเกรงขาม
ทุกๆ สิบปีจะจัดการชุมนุมขึ้นที่นั่น ในแต่ละครั้งจะเลือกผู้ที่มีจิติญญาแข็งแกร่งสิบสามคนจากแดนเจ๋อเข้าสู่สำนัก ผู้ได้รับเลือกจะถูกเรียกว่าศิษย์สำนักิเก๋อ ระยะเวลาในการคัดเลือกคือหนึ่งเดือน
การได้รับเลือกเป็ศิษย์สำนักิเก๋อเป็สิ่งที่ทุกคนภาคภูมิใจ หากมีคนในครอบครัวเป็หนึ่งในนั้น ทั้งผู้ถูกเลือกและตระกูลจะได้รับความเคารพจากบุคคลภายนอก นอกจากนี้ทางสำนักิเก๋อจะมอบเงินและสิ่งของมากมายเป็ค่าตอบแทนให้ตระกูลนั้น เนื่องจากผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็ศิษย์แทบจะไม่มีโอกาสออกจากสำนักเลย แม้จะมีโอกาสได้ออกมาบ้าง แต่ก็เป็ทุกๆ สิบปีที่ประตูจะถูกเปิด ่เวลาก่อนหน้าประตูสำนักจะปิดสนิทและห้ามผู้ใดเข้าออก
“ยังเหลือเวลาอีกปีหนึ่งก่อนประตูสำนักจะเปิด เหตุใดท่านพ่อจึงต้องไปยังสำนักิเก๋อด้วย…”
พลันเกิดเสียงดังทำลายความเงียบ หลิ่วไป๋เจ๋อดันหน้าต่างไม้ให้เปิดออก นกสีเงินตัวหนึ่งก็บินเข้ามาเกาะไหล่ มันใช้จะงอยปากถูไถเส้นผมสีเงิน ส่งเสียงร้องจิ๊บๆ
หลิ่วไป๋เจ๋อลูบขนสีเงินเงางาม หยิบเมล็ดดวงดาวจากแขนเสื้อออกมาป้อนอิ๋นซิง และเอ่ยว่า “ไปเถอะ”
อิ๋นซิงกางปีกโผบินออกไปนอกหน้าต่างแล้วหายไปในพริบตา
ครึ่งชั่วยามต่อมาหลิ่วไป๋เจ๋อก็มาหยุดอยู่หน้าประตูของไป่เย่าถัง ปลายฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้อากาศทั้งอบอุ่นและแห้งจึงมีผู้ป่วยเข้าแถวรอพบหมออยู่ไม่น้อย นอกประตูมีคนยืนเรียงกันยาวเหยียด
ทันทีที่หลิ่วไป๋เจ๋อก้าวเข้าไป อิ๋นซิงก็กระพือปีกบินวนอยู่เหนือศีรษะ ในห้องสำหรับทำการรักษามีคนคุ้นหน้ากำลังง่วนกับการจัดยา เหงื่อซึมบนหน้าผาก เขาใช้แขนเสื้อปาดออกอย่างไม่ใส่ใจ เนื่องจากมีคนจำนวนมากมาหาหมอ หลิ่วไป๋เจ๋อยืนรอกว่าครึ่งเค่อโดยที่อูิโยวไม่ได้สังเกตเห็น
“คุณชายหลิ่วมาแล้วหรือเ้าคะ!”
เื้ัปรากฏร่างอูิหลิงในชุดสีเขียวสง่างาม คนทั้งคู่ที่ยืนอยู่จุดนั้น ดึงดูดความสนใจของผู้อื่นเป็อย่างมาก
“แม่นางให้อิ๋นซิงไปตามข้าด้วยเหตุใดหรือ”
“คุณชายหลิ่วโปรดตามข้ามาก่อนเ้าค่ะ!”
อูิหลิงเดินนำไปยังลานด้านในของไป่เย่าถัง ที่นั่นไม่มีผู้อื่นอยู่ ทำให้เงียบสงบกว่าข้างนอกมาก
พอทั้งสองนั่งลง คนรับใช้ก็นำชามาให้แล้วจากไป อูิหลิงมองไปยังหลิ่วไป๋เจ๋อ นางมีท่าทีลังเลไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“แม่นางอู หากมีสิ่งใดก็เอ่ยออกมาตรงๆ เถิด”
อูิหลิงถอนหายใจ และพูดว่า
“นานแล้วที่พวกข้าออกมาจากหุบเขา รวมทั้งได้พบท่านผู้นำตระกูลหลานแล้ว แม้ิโยวจะปฏิเสธการทำนาย แต่ก็ถือว่าบรรลุจุดประสงค์ในการเดินทางมาที่นี่ อีกไม่กี่วันข้าและท่านพี่จะกลับหุบเขาไป่หลิง ก่อนออกเดินทางก็มีบางอย่างที่อยากจะขอร้องท่าน”
หลิ่วไป๋เจ๋อกล่าว “แม่นางิหลิงว่ามาเถิด”
“ข้าอยากให้คุณชายหลิ่วช่วยเกลี้ยกล่อมิโยว ปกติเขาสนิทสนมกับคุณชาย บางทีอาจจะฟังคำพูดท่านก็ได้”
“แม่นางิหลิงอยากให้ข้าเกลี้ยกล่อมเขาให้กลับไปพร้อมกันใช่หรือไม่” อีกฝ่ายถาม
“ไม่ ตรงกันข้ามต่างหาก!”
เสียงนั้นดังมาจากด้านหลัง เป็อูิเยี่ยที่เพิ่งกลับจากข้างนอก
“ท่านพี่!”
อูิหลิงลุกขึ้น คนเป็พี่ชายก้าวไปปลอบนางว่า “ไม่เป็ไร ข้ากำชับและจัดการทุกอย่างที่นี่แล้ว เ้าไม่ต้องกังวล”
หลิ่วไป๋เจ๋อถามด้วยความสงสัย “ก่อนหน้าิโยวแอบออกมาจากหุบเขาไป่หลิง แต่ตอนนี้พวกท่านกลับ้าให้เขาอยู่ที่นี่ หมายความว่าอย่างไรกันแน่”
อูิเยี่ยพูดต่อ “ขอกล่าวแบบไม่ปิดบัง ก่อนหน้านี้ที่พวกเราสองพี่น้องเดินทางมายังเมืองเฟิ่งเทียน นอกจากเพื่อพบผู้นำตระกูลหลานแล้ว ยังต้องพาิโยวกลับหุบเขาตามคำสั่งท่านแม่ เพราะท้ายที่สุดเขาก็คือผู้ที่จะรับ่ต่อตำแหน่งผู้นำหุบเขาไป่หลิง”
“แล้วเหตุใดถึงได้เปลี่ยนใจเสียล่ะ”
อูิเยี่ยถอนหายใจ “ทุกคนต่างรู้ดีว่าิโยวไม่้ารับสืบทอดตำแหน่ง อันที่จริงครั้งนี้ข้าเตรียมพร้อมเอาไว้ แม้ต้องมัดแขนมัดขาข้าก็ต้องพาเขากลับไปให้ได้ แต่จู่ๆ ิโยวก็มาหาข้า แล้วบอกว่าอยากกลับหุบเขาไป่หลิง ทั้งยังจะไม่ออกจากหุบเขาเว้นแต่จำเป็จริงๆ”
ถ้วยชาในมือหลิ่วไป๋เจ๋อสั่นเล็กน้อย เขาค่อยๆ วางมันลงที่เดิม
“จากนิสัยของิโยวพฤติกรรมเช่นนี้ถือว่าแปลกมาก หากเขาซ่อนตัวไม่ยอมกลับไปยังหุบเขาคงจะทำให้ข้ารู้สึกสบายใจขึ้นสักหน่อย แต่ท่าทีที่เชื่อฟังมากเกินไปแบบนั้นทำให้ข้าไม่สบายใจ”
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยเขาไป”
“แต่…” อูิเยี่ย้าจะโน้มน้าวอีก แต่อูิหลิงหยุดไว้ก่อน
“ท่านพี่ คุณชายหลิ่วก็พูดแล้ว ดังนั้นปล่อยให้ิโยวทำตามที่อยากทำเถิด กว่าเขาจะยอมเชื่อฟังท่านไม่ใช่เื่ง่าย เหตุใดถึงไม่สบายใจล่ะเ้าคะ”
อูิเยี่ยถอนหายใจ และไม่เอ่ยอะไรอีก
“หากพี่อูไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวลา”
“เดี๋ยวก่อน!”
จู่ๆ อูิเยี่ยก็ร้องห้ามเอาไว้ “ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่ข้าอยากจะบอกพี่หลิ่ว”
“เื่ใดหรือ”
อูิเยี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดว่า “ไม่กี่วันก่อน ท่านพ่อส่งจดหมายถึงข้าและิหลิง ในนั้นกล่าวว่า เมื่อหลายวันก่อนท่านเดินทางไปยังิเก๋อร่วมกับผู้นำอีกหลายตระกูล หนึ่งในนั้นมีท่านผู้นำตระกูลหลิ่วด้วย ไม่รู้ว่าพี่หลิ่วทราบหรือยัง”
หลิ่วไป๋เจ๋อขมวดคิ้วและพูดว่า “ท่านผู้นำอูก็ไปด้วยเช่นกันหรือ”
“ดูเหมือนว่าท่านผู้นำตระกูลหลิ่วจะแจ้งให้พี่หลิ่วทราบแล้ว ถ้าเป็เช่นนั้นข้าก็วางใจ แต่ไม่เข้าใจเช่นกัน อีกตั้งหนึ่งปีก่อนที่สำนักิเก๋อจะเปิดประตู เหตุใดท่านพ่อ และคนอื่นๆ ถึงได้ไปเยือนในเวลานี้”
จดหมายจากอูอีและหลิ่วชิงเหยียนล้วนไม่ได้อธิบายเหตุผลไว้ ลูกๆ ของพวกเขาจึงไม่อาจคาดเดาอะไรได้
อึดใจถัดมา เย่าถง[1] ผู้หนึ่งก็เข้ามารายงานด้วยท่าทีรีบร้อนว่า “คุณชายใหญ่ คุณหนูใหญ่ แย่แล้วขอรับ! คุณชายรองกำลังมีเื่อยู่ด้านนอกขอรับ!”
ทั้งสามรีบตามเย่าถงผู้นั้นออกไป วันนี้มีคนมารอพบหมอจำนวนมาก ทางเข้าของไป่เย่าถังจึงมีผู้คนล้อมเป็วง ทั้งด้านในและด้านนอกอย่างละสามแถว
คนไม่น้อยพากันดูเื่น่าสนุก เสียงกู่ร้องดังมาจากด้านในและเสียงะโของอูิโยวก็ดังตามมา
“ปากเ้ามันสกปรก หากไม่ล้างเสียบ้างคงยากจะคลายความรังเกียจในใจข้า”
“อูิโยว เ้ากล้า- โอ๊ย!”
เสียงจากฝูงชนดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงน้ำสาดกระเซ็น
ด้วยความร้อนใจอูิเยี่ยจึงฝ่าผู้คนเข้าไป สิ่งที่เห็นทำให้ต้องอ้าปากค้าง เขาเห็นคนคนหนึ่งถูกอูิโยวกดลงไปในถังน้ำ อีกฝ่ายพยายามดิ้นหนีเต็มที่ ร่างกายท่อนบนจมอยู่ในถัง เท้าที่อยู่ข้างนอกเตะไปมา ทั้งยังขยับช้าลงเรื่อยๆ เพราะตัวคนใกล้ขาดอากาศหายใจ
อูิเยี่ยก้าวขึ้นหน้าเพื่อจับอูิโยวโยนไปด้านข้าง แล้วดึงคนผู้นั้นออกจากถังน้ำ ทันทีที่ถูกดึงออกมาเขาก็ไออย่างรุนแรง ทั้งยังพยายามโกยอากาศหายใจ ไม่ได้สนใจเศษดินและหยาดน้ำบนร่างกาย นอนพังพาบอยู่บนพื้น เสื้อผ้าที่เคยสวยงามในตอนนี้กลับดูยุ่งเหยิง
“คุณชายรองตระกูลอวิ๋นหรือ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่”
อูิเยี่ยหันไปถามอูิโยว แต่อีกฝ่ายไม่ใส่ใจและพูดว่า “อย่าถามข้าเลย ข้าไม่ใช่คนจากคฤหาสน์อวิ๋นหลานซาน ถามเขาเองสิ”
“ิโยว เ้าทำตามอำเภอใจเกินไปแล้วนะ!”
อูิเยี่ยดุด้วยความโกรธ ิโยวขมวดคิ้วไม่พอใจ “พี่ใหญ่ ท่านกล่าวหาข้าโดยไม่ถามความจริง ข้าไม่ผิด!”
เวลานี้อูิเยี่ยจะสนใจได้อย่างไร เขารีบเข้าไปช่วยพยุงอวิ๋นจวาขึ้นจากพื้น หลังตรวจสอบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็อะไรร้ายแรงก็ถอนหายใจโล่งอก
อูิโยวที่กำลังโกรธเตรียมหมุนตัวเดินจากไป แต่บังเอิญชนเข้ากับใครบางคน ขณะกำลังจะะเิโทสะก็เห็นรูปร่างหน้าตาคนตรงหน้าเสียก่อน จึงกลืนความโกรธลงท้องไปทันที ใบหน้าพลันแดงก่ำ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกแสบร้อนโพรงจมูกและกระบอกตา
ขณะที่น้ำตากำลังจะไหลเขาก็รีบยกมือเช็ดออก ก่อนจะลดมือลงก็ถูกคนตรงหน้าคว้าแขนเอาไว้แล้วดึงตัวออกไปจากฝูงชน
เมื่อกลับมามีสติอีกครั้งทั้งคู่ก็ออกจากประตูเมืองไปไกลแล้ว ข้างหน้าคือสระน้ำทีู่เาชุ่ยอวิ๋น ห้อมล้อมด้วยต้นอ้อซึ่งพลิ้วไหวไปตามแรงลม
“เหตุใดถึงมาที่นี่”
อูิโยวะโขึ้นบนก้อนหิน เอื้อมมือไปดึงต้นอ้อแล้วบิดไปมา ไม่นานก็ถักทอได้เป็กระต่ายตัวน้อย
เขาแตะนิ้วบน 'หูกระต่าย' ขนฟูยาวแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่ความผิดข้า อวิ๋นจวาถีบประตูเข้ามาด้วยความโกรธเพราะมาตามหาคน เขาบอกว่าเป็ท่านพี่หญิงพาตัวอวิ๋นลั่วน้องสาวของเขาไปซ่อน ไม่เพียงแค่นั้นยังพูดออกมาอีกว่า จะช้าหรือเร็วอย่างไรท่านพี่หญิงของข้าก็ต้องกลายเป็คนของเขา แล้วคิดว่าข้าจะทนได้อย่างนั้นหรือ ท่านพี่หญิงเป็ว่าที่ภรรยาเ้า จะให้คนแบบนั้นมาชิงตัวไปได้อย่างไร ข้าก็เลยจัดการเขา แม้ว่าโกรธมากแต่ข้าก็โจมตีอย่างมีขอบเขต อวิ๋นจวาไม่มีพลังจิติญญา เพื่อความเสมอภาคข้าจึงไม่ได้ใช้พลังเช่นกัน ใครจะรู้ว่าเ้าคนงี่เง่าไร้ประสบการณ์นั่น แค่โดนหมัดไม่กี่ทีก็ล้มพับไปเสียแล้ว ตอนแรกข้าแค่อยากระบายความโกรธ แต่คำพูดเขาไม่เข้าหูเกินไป ดังนั้นจึงช่วยล้างปากให้สักหน่อย ตระกูลใหญ่แห่งคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานสั่งสอนลูกหลานอันธพาลแบบนี้ออกมาหรือ ช่างน่าขายหน้าจริงๆ หากเื่ถึงหูอวิ๋นหลานเฟิง เ้าคิดว่าเขาจะทำอย่างไร บุตรชายที่รักดันทำให้คนยิ่งใหญ่เช่นเขาต้องอับอาย ฮ่าๆ แค่คิดก็น่าสนุกแล้ว”
อูิโยวยิ่งพูดก็ยิ่งกระตือรือร้น พูดไปพูดมาก็ค่อยๆ ลืมความคับข้องใจก่อนหน้า หลิ่วไป๋เจ๋อเพียงแค่ยืนฟังเงียบๆ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง ไม่ได้กล่าวอะไร
__________________________________
[1] เย่าถง หมายถึง ผู้ทำหน้าที่สรุปผล จัดยา หรือช่วยดูแลเกี่ยวกับยา ส่วนใหญ่จะเป็คนอายุน้อย จึงถูกเรียกว่าเย่าถง (เย่า=ยา, ถง=เด็ก)
