“อีกอย่าง ครั้งนี้ครอบครัวเหล่าซื่อทำให้ข้าขายขี้หน้า ข้าไม่มีทางยอมให้นางได้ใช้ชีวิตสุขสงบแน่ หึ ในเมื่อเ้าทำให้ข้าไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ข้าก็จะไม่มีทางให้นางได้อยู่ในบ้านหลังนี้”
จางต้าและภรรยาเองก็ไม่ใช่คนไม่มีเหตุผลอะไรขนาดนั้น นางเองก็มีสมอง
ั้แ่ที่ถูกซูฉีเฉียวสั่งสอน นางก็คิดเพียงแค่ว่าจะกำจัดครอบครัวของเหล่าซื่อได้อย่างไร แน่นอนว่าการขับไล่เช่นนี้ นางจะไม่ยอมให้เงินแม้แต่ตำลึงเดียว
แต่จะใช้วิธีใดเพื่อขับไล่พวกนางออกไปนั้น จางต้าและภรรยาก็พากันขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แผนการก็ปรากฏขึ้นมาในใจของพวกเขา…
หลายวันต่อมาได้ผ่านเื่ราวไปอย่างสงบ ซึ่งนั่นทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด
จากที่นางสังเกตการณ์ดู จางต้าและภรรยาของเขาไม่น่าจะใช่คนที่มีความอดทนมากขนาดนั้น ในทางกลับกันหญิงนางนั้นน่าจะเป็คนที่มีนิสัยฉุนเฉียวอยู่แล้ว เสียเปรียบขนาดนั้นมีหรือจะไม่มาหาเื่ตน
แต่ว่านางก็ไม่ได้สนใจเกี่ยวกับจางต้าและภรรยาของเขาว่าจะเป็อย่างไร เพราะนางมีเื่ให้คิดมากมายอยู่แล้ว
ยามนี้จางเฉาิสานตะกร้าอยู่ที่บ้าน โดยได้รับคำแนะนำที่เขาเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างจากภรรยาในตอนที่นางพูดถึงเื่ที่ให้เขาสร้างลวดลายดอกไม้ขึ้นมา
จางเฉาิก็ยิ่งใส่ใจและครุ่นคิดอย่างจริงจังมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นการทำกระเป๋าสานเล็กๆ ที่เหล่าเด็กสาวฐานะร่ำรวยชอบใช้กัน รวมไปถึงตะกร้าที่คนในยุคปัจจุบันชอบนำมาใช้บรรจุเสื้อชั้นใน รวมไปถึงตะกร้าเล็กๆ ที่เอาไว้ใส่ขนมด้วย…
เมื่อย้อมสีด้วยพรรณไม้ที่ให้สีสัน ตะกร้าที่ดูหยาบกระด้างในคราแรกก็ค่อยๆ สวยงามและประณีตมากขึ้น
ต้องบอกเลยว่า ฝีมือของจางเฉาิดีขึ้นแล้ว
ตัวนางเคยเห็นตะกร้าใส่ขนมที่ทำด้วยความประณีตจากในยุคปัจจุบันและในชาติที่สอง
หากสามารถสานออกมาได้ก็คงดี แต่นางทำไม่ได้น่ะสิ
ทว่าจากการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ทั้งคู่จึงเลือกปิดประตูทำเครื่องสานอยู่ที่บ้าน เพราะทั้งคู่มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ทำให้คนทั่วไปไม่ค่อยแวะเวียนมาหา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาสามารถซ่อนตะกร้าสานที่สวยงามและประณีตเอาไว้ไม่ให้ใครเห็นได้
แม้ว่าในมือจะมีเงินแล้ว แต่ซูฉีเฉียวก็ไม่อยากจะนำไปใช้สุรุ่ยสุร่าย
แต่การที่จะซื้อเกลือหยาบและข้าวของต่างๆ นั้นถือเป็เื่จำเป็
ส่วนพวกน้ำมันบางครั้งก็จำเป็จะต้องทำออกมาบ้าง ต่อให้ครอบครัวจะยากจน แต่ในด้านของการบำรุงร่างกาย หากสุขภาพร่างกายไม่แข็งแกร่งจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไรกัน
เป็ไปตามแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ วันต่อมาหลังจากที่ซูฉีเฉียวกำชับกับจางเฉาิเล็กน้อย นางก็ขึ้นเขาไปขุดหน่อไม้ ทั้งยังไปที่ตลาดเพราะอยากจะนำหน่อไม้ไปขายและตรวจสอบดูว่าที่ตลาดนั้นเป็อย่างไร
พูดตามตรง ชีวิตในยุคโบราณเช่นนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
ไม่มีทางที่นางจะเหมือนนางเอกในละครที่จะสามารถนำผักมาขายแลกเป็เงินจำนวนมากมายได้ และยิ่งไม่มีทางจะหาซื้อของอร่อยๆ อย่างหมูตุ๋นแบบในละครได้แน่
จากที่นางเข้าใจ เครื่องในหมูตุ๋นนั้นคงจะมีขายแน่นอน แต่เป็ไปไม่ได้ที่นางจะจ่ายเงินมากขนาดนั้น หากเป็เครื่องในหมูราคาก็คงจะถูกลงมาสักหน่อย
ในตลาดเองก็มีการขายน้ำแกงเครื่องในหมูรวมด้วย
แต่การทำน้ำแกงเช่นนี้เป็อะไรที่ง่ายดายมาก
แค่ใส่ลำไส้ ปอด ตับและโรยต้นหอมซอยลงไป ใส่น้ำมันและน้ำตามลงไป ราคาสองเหรียญทองแดงต่อหนึ่งชาม มีผู้คนมากมายที่้าซื้อเมนูนี้กันสักชาม จากนั้นก็พากันหาสถานที่ยืนหรือนั่งลิ้มรสมัน
ในส่วนของผักป่า พูดตามตรงว่าตอนนี้ไม่เหมือนในยุคปัจจุบัน ผักจำพวกผักป่าเป็สิ่งที่เหล่าคนจนที่ไม่มีอะไรจะกินจริงๆ ถึงจะนำมันมารับประทาน พวกคนมีเงินบางครั้งก็อาจจะอยากกินผักสดตามฤดูกาลบ้าง
นางเห็นครอบครัวหนึ่งที่ค้าขายถั่วงอกเขียว ซึ่งพวกเขาขายดีกันมากๆ
ซูฉีเฉียวรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางเดินจนทั่วตลาดดูเหมือนว่าจะมีแค่ผักสดเท่านั้นที่จะขายได้ราคาสูง หากเป็พวกสินค้าตามฤดูกาลก็มักจะมีราคาที่ถูกลงมามากกว่า บางคนขายของมาครึ่งค่อนวัน มีใบหน้าที่ไม่สะสวยหรือมีเหตุผลบางอย่างที่ทำให้ไม่ราบรื่น ก็ทำให้ขายของได้ยาก
ซูฉีเฉียวเดินวนอยู่ในตลาดมาสองรอบ หน่อไม้มีราคาถูก ขายได้เพียงสิบเหรียญทองแดงเท่านั้น ซึ่งนางต้องะโจึงจะขายได้ นางมองคนขายหน่อไม้ใกล้ๆ นางที่ไม่ะโร้องขาย หน่อไม้พวกนั้นก็แทบจะขายไม่ออก ดูๆ ไปแล้วในยุคโบราณนี้ไม่เหมือนกับยุคปัจจุบันที่ผู้คนต่างพากันตื่นเต้นที่ได้เห็นอาหารสดใหม่จากธรรมชาติจริงๆ ในทางกลับกัน หน่อไม้เหล่านี้คนธรรมดาทั่วไปมักนำมาผัดน้ำมัน ซึ่งยอดขายก็ไม่ได้สูงนัก
เมื่อเดินอยู่ในตลาดมาครึ่งค่อนวัน ซูฉีเฉียวก็ได้รู้ว่าผู้คนในยุคนี้ไม่ใช่คนโง่เขลาเลย แม้ว่าจะเป็การทะลุมิติครั้งแรกหรือครั้งที่สอง ก็เห็นได้ว่านางมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่าสักเล็กน้อย
เพราะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างขวางกว่า ทำให้มีความครุ่นคิดไตร่ตรองที่มากกว่าคนอื่นสักหน่อย
หลังจากที่เข้าใจเื่อุปสงค์และอุปทานแล้ว นางจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าจะปลูกผักตามฤดูกาล
เครื่องในหมูมีราคาถูก เพราะกลัวตายนางจึงซื้อกลับไปที่บ้าน ล้างทำความสะอาดเพื่อปรุงอาหารชนิดต่างๆ แน่นอนว่านางซื้อเนื้อติดมันมาด้วยเล็กน้อย กลั่นออกมาเป็น้ำมันเอาไว้ใช้ หากฐานะดีขึ้นแน่นอนว่านางก็อยากซื้อเนื้อไร้มันมากินเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ ยามนี้นางยากจนเกินไป หากทำเนื้อติดมันออกมา แต่ละมื้อพวกนางก็จะได้กินเนื้อคนละสองชิ้น
เกลือหยาบคือสิ่งจำเป็ที่จะต้องซื้อ ส่วนเกลือละเอียดเป็สิ่งที่นางคงไม่มีปัญญาจะซื้อมากินได้ นางชั่งเกลือหยาบสองกิโลครึ่งเทลงไปในเครื่องในหมูและเนื้อติดมันสองกิโลกรัม ใส่เครื่องปรุงอีกเล็กน้อย จ่ายเงินไปทั้งหมดห้าร้อยเหรียญทองแดง
เงินสองตำลึง แค่เพียงชั่วครู่เดียวก็ถูกแบ่งออกไปเศษหนึ่งส่วนสี่แล้ว กล่าวได้เลยว่าชีวิตของนางช่างผ่านไปด้วยความยากจนข้นแค้นจริงๆ
เพราะ้าปลูกผักตามฤดูกาล ซูฉีเฉียวจึงซื้อเมล็ดพันธุ์ผักจำนวนหนึ่งมาด้วย
แม้แต่ถั่วเหลือง นางก็ซื้อมาด้วยเล็กน้อยเช่นกัน
ในตลาดมีถั่วงอกจากถั่วเขียวขาย หากนางปลูกถั่วงอกจากถั่วเหลืองออกมาก็น่าจะเป็ของที่ขายดีอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน
นางประเมินออกมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซูฉีเฉียวสะพายของที่ตั้งใจจะนำกลับบ้านไปจนเต็ม ก่อนที่จะเดินทางกลับนางก็ตัดใจซื้อน้ำตาลทรายแดงมาอีกเล็กน้อย
อันที่จริงนางอยากจะซื้อน้ำตาลทรายขาวสักหน่อย แต่ใครจะไปรู้ว่าเมื่อเอ่ยถามราคาแล้วจะพบว่าน้ำตาลทรายขาวนั้นแพงกว่าน้ำตาลทรายแดงเกือบห้าเท่า เมื่อเห็นกลุ่มผู้ที่จับจ่ายซื้อของในตลาดแล้ว พวกเขาจะต้องเป็คนรวยเท่านั้นจึงจะสามารถซื้อน้ำตาลทรายขาวได้ ซึ่งนั่นทำให้น้ำตาลทรายแดงค่อนข้างขายดีเพราะคนยากจนมีจำนวนมาก คนยากจนจำนวนมากต่างก็พากันซื้อน้ำตาลทรายแดงแทน
“หากรู้วิธีกลั่นน้ำตาลทรายขาวออกมาได้ก็คงจะดี หากเป็เช่นนั้นราคาน้ำตาลจะเปลี่ยนไปอย่างไรกัน” ในขณะที่ถอนหายใจ ซูฉีเฉียวก็คิดวิธีหาเงินเช่นนี้ออกมาด้วย
นางทำไม่เป็นี่ แต่ว่านางรู้วิธีทำ หากนางสามารถศึกษาและปรับแต่งวิธีการกลั่นน้ำตาลทรายขาว จากราคานั้น…นางจะหาเงินได้เท่าใดกันนะ
คิดมาถึงตรงนี้ซูฉีเฉียวก็ตื่นเต้นแล้ว แต่ว่านางไม่ใช่คนมีสติปัญญาเช่นนั้น ซึ่งนางรู้ว่าตอนนี้ยังไม่สามารถทำให้ความคาดหวังของตนเองประสบความสำเร็จได้
ข้าวก็ยังต้องกินทีละคำ เส้นทางนี้ก็จะต้องค่อยๆ เดินไปทีละก้าวเช่นกัน เื่ความเป็อยู่ยังไม่สามารถจัดการให้ราบรื่นได้ แล้วนางจะเอาเงินมากมายที่ไหนมาทำการกลั่นน้ำตาลทรายขาวได้เล่า
อันที่จริงต่อให้เป็เพียงแค่การทดลอง แต่ก็ต้องสิ้นเปลืองน้ำตาลจำนวนไม่น้อย
เมื่อยึดมั่นความตั้งใจนี้แล้ว ซูฉีเฉียวจึงเก็บข้าวของทั้งหมดเพื่อกลับบ้าน
บอกได้เลยว่า เส้นทางในยุคโบราณนี้ไม่ได้เดินอย่างง่ายดายเลยจริงๆ
แค่เดินจากตลาดเล็กๆ เช่นนี้ก็ต้องใช้พลังงานเป็สองเท่า
ปกติแล้วถนนสายนี้ก็ไม่ค่อยจะมีผู้คนผ่านมาอยู่แล้ว เพราะถนนเส้นที่เดินทางกลับบ้านนั้นเป็ถนนที่เดินขึ้นเขาทั้งหมด
สำหรับตัวนางที่ก่อนหน้านี้ได้รับการเอาอกเอาใจ หลังจากใช้เวลาเดินทางมาตลอดหนึ่งชั่วโมงก็ทำให้นางเสียเหงื่อไปไม่น้อย
โชคดีที่ร่างกายนี้ได้รับการฝึกฝนมาั้แ่ในอดีต ทำให้นางเดินทางได้โดยที่แรงไม่ตก
“น้องฉี…” ตอนที่นางเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง นางก็ได้นำของที่แบกเอาไว้วางลงบนคันนาเล็กๆ เพื่อพักผ่อนสักครู่ แล้วก็มีเสียงที่เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยดังมาจากในป่า
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นจึงมองไปยังป่าผืนนั้น
ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากในป่า
ดูจากภายนอก ชายผู้นั้นมีใบหน้าหล่อเหลายิ่ง แต่ความหล่อเหลานั้นไม่เหมือนกับบุรุษ คนประเภทนี้ไม่ใช่แบบที่ซูฉีเฉียวชื่นชอบ แต่การที่ชายหนุ่มคนนี้มองมาที่นางด้วยแววตาอ่อนโยนนั้นคือเื่อะไรกัน
“น้องฉี…ข้ารู้ว่าเ้าจะผ่านมาที่นี่เวลานี้ ข้า ข้ารอเ้ามาตลอด” ชายหนุ่มรูปหล่อจ้องมองมาที่นางด้วยแววตาร้อนแรง ไล่ลงมาตามซอกคอและมองต่ำลงไปจนถึงหน้าอกของนาง…
แววตานั้นทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกกรุ่นโกรธ นางมองเสื้อผ้าที่ชายคนนั้นสวมเป็ชุดไว้ทุกข์ ราวกับว่าเขากำลังอยู่ใน่ไว้ทุกข์ ให้ตายเถิด กำลังอยู่ใน่ไว้ทุกข์แต่มาจ้องมองหญิงสาวเช่นนี้หรือ!
ใบหน้าของนางเ็า แบกของขึ้นหลัง ตั้งใจจะไปจากตรงนี้
ใครจะไปคิดว่าชายคนนั้นกลับรีบมาขวางหน้านาง ใบหน้าหล่อเหลามองมาที่นางด้วยความเสียใจ
“น้องฉี เ้าคงไม่ได้ถูกเ้าพิการนั่นทำให้ลุ่มหลงแล้วใช่หรือไม่ อีกเดือนเดียวข้าก็จะไว้ทุกข์ครบแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะไปสู่ขอเ้านะน้องฉี…”
ประโยคสุดท้ายที่เขาเอ่ยเรียกน้องฉีกลับทำให้ซูฉีเฉียวรู้สึกขนลุก
นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดเ้าของร่างเก่าจึงได้ชื่นชอบชายที่ตุ้งติ้งเช่นนี้ จะว่าไปหากจางเฉาิแต่งตัวสักหน่อยเขาก็ไม่ได้ดูย่ำแย่ไปกว่าชายที่อยู่เบื้องหน้านางในยามนี้เลย ชายที่เป็แม่บ้านแม่เรือน คอยปกป้องดูแลนาง รอคอยนางและทำเพื่อนาง คงเป็เพราะกลัวว่านางจะมาอาศัยอยู่กับบุรุษคนนี้กระมัง
“เ้าเป็ใคร ข้าไม่รู้จักเ้า” ซูฉีเฉียวจ้องมองด้วยแววตาเ็า ้าที่จะเดินผ่านร่างของชายผู้นี้ไป
ชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นั้นคงคาดไม่ถึงว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้ จึงทำให้เขาตกตะลึงอยู่กับที่ จนกระทั่งซูฉีเฉียวเดินผ่านร่างของเขาไปแล้วเขาถึงได้ตอบสนองก่อนจะร้องไห้ออกมา “น้องฉี ตอนนั้นพวกเราก็ตกลงกันดิบดีแล้วว่าเมื่อข้าส่งบิดาไปสู่สุคติแล้ว และไว้ทุกข์ครบหนึ่งเดือนข้าก็จะมาสู่ขอเ้า อีกอย่างเื่นี้พวกเราก็คุยกับจางเฉาิแล้วด้วย เ้า…ทำไมเ้า…”
เอ่อ เื่นี้มีจางเฉาิมาร่วมด้วยหรือ ซูฉีเฉียวหงุดหงิด แม่เ้า นี่มันเื่อะไรกัน
นางกัดปากก่อนจะหมุนตัวหันมาจ้องมองชายที่อยู่ด้านหลังของนางเขม็ง
เมื่อเห็นเขาหยุดฝีเท้า ชายหนุ่มตุ้งติ้งผู้นั้นก็ดีใจเป็อย่างยิ่ง เขาก้าวมาเบื้องหน้าสองก้าว ตั้งใจจะเข้ามาคว้ามือของซูฉีเฉียว
“หยุด ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าเ้าเป็ใคร ชื่ออะไร แต่มีอยู่เื่หนึ่งที่ข้าแน่ใจและจะบอกเ้า สามีของข้าคือจางเฉาิ บุรุษของข้าก็คือเขา ั้แ่นี้เป็ต้นไป เก็บความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อข้าเสีย หลังจากนี้อย่ามารบกวนชีวิตของข้าอีก”
คาดว่าเ้าของร่างเก่าคงจะเป็ต้นตอของปัญหานี้แน่นอน ดังนั้นที่นางเอ่ยไปเช่นนั้นก็ถือว่าสุภาพมากแล้ว ทว่านางมั่นใจเื่ความในใจของชายผู้นี้
ไม่ว่าเ้าของร่างเก่าและเขาคนนี้จะตกลงอะไรกัน อย่างไรในตอนนี้นางก็ร่างนี้เอาไว้แล้ว และนางก็ไม่ได้ชอบชายตุ้งติ้งเช่นนี้ด้วย อีกอย่างชายคนนี้ยังอยู่ใน่ไว้ทุกข์แท้ๆ แต่ยังจะมามองสตรีนางนี้ด้วยสายตาเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนดีแน่ๆ
คนผู้นี้เหมือนกับขยะ นางไม่คิดจะสนใจ
ชิวสุ่ยโกรธมาก เขาไม่เคยคิดว่าซูฉีเฉียวคนนี้จะเปลี่ยนไป
เมื่อนึกถึงร่างกายบอบบางของนาง รวมไปถึงใบหน้างดงามนั่น ชิวสุ่ยก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม
ที่ผ่านมาซูฉีเฉียวถูกเขาควบคุมเอาไว้ในกำมือมาตลอด ต่อให้ผู้เป็มารดาจะดุด่า ต่อให้เขาต้องไว้ทุกข์สามปี แต่เขาก็กล่าวกับนางตลอดว่าหลังจากที่หมด่ไว้ทุกข์แล้วและซูฉีเฉียวหย่าร้าง เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนางด้วยความบริสุทธิ์ใจ
ใครจะไปคิดว่าเวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วัน นางก็ไม่รู้จักเขาเสียแล้ว
“ซูฉีเฉียว เ้ากล้าไม่รู้จักข้าอย่างนั้นหรือ หึ เป็ไปไม่ได้”
เขาไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้ซูฉีเฉียวเชื่อฟังเขามาโดยตลอด
“เหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ หรือว่าเป็เพราะครั้งก่อนที่ข้าหนีไป และปล่อยให้นางต้องเผชิญหน้ากับพี่สะใภ้คนเดียวอย่างนั้นหรือ” ชิวสุ่ยเดินและครุ่นคิดมาตลอดทางว่าเป็เพราะอะไร สุดท้ายแล้วเขาจึงนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่นัดพบกันได้
และเื่ในวันนั้นก็เป็สาเหตุที่ทำให้นางสลบไม่ฟื้นขึ้นมา
เขารู้เพียงแค่ว่าตอนที่เขาและซูฉีเฉียวนัดพบกัน ก็มีคนเดินมาจากที่ไกลๆ
ด้วยความใ ทำให้เขาวิ่งหนี ส่วนซูฉีเฉียวและคนผู้นั้นพบเจอกันหรือไม่ แล้วจะเกิดปัญหากันหรือไม่ เื่นั้นเขาไม่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน