“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”
เข็มเงินหนึ่งร้อยแปดเล่มเคลื่อนไหวไปมาในอากาศ หมุนวนเป็วงโคจรรูปแบบเฉพาะตัวตามการขยับนิ้วมือขึ้นลงอย่างพลิ้วไหวของเยี่ยเฉินเฟิง
“เป็ทักษะการควบคุมเข็มที่ยอดเยี่ยมมาก”
เมื่อหมอชราเห็นภาพตรงหน้า ต่างก็ใจนตัวแข็งทื่อ ระดับฝีมือที่สั่งสมจากความเลื่อมใสในวิชาแพทย์ตลอดสิบปีของพวกเขา ยังไม่สามารถควบคุมเข็มเงินได้คล่องแคล่วดั่งใจนึกเช่นนี้เลย
“อัจฉริยะ เด็กหนุ่มคนนี้จะต้องเป็อัจฉริยะด้านการใช้เข็มอย่างแน่นอน”
หลังจากได้เห็นฝีมือของเยี่ยเฉินเฟิงแล้ว ท่านหมอทั้งสามก็เลื่อนฐานะของอีกฝ่ายให้อยู่สูงเทียบเท่ากับพวกตนในทันที สีหน้าที่เคยดูิ่เหยียดหยามก็มลายหายไปหมดสิ้น
“ข้าเรียนทักษะฝังเข็มอันเก่าแก่นี้มาจากท่านอาจารย์ หากท่านเ้าเมืองเชื่อมั่นในฝีมือของข้าก็ปล่อยให้ข้าได้ลองรักษาดูสักครั้ง แต่ถ้าท่านไม่เชื่อ ข้าก็จะกลับออกไปเดี๋ยวนี้แหละ” เยี่ยเฉินเฟิงกวาดสายตามองหมอชราผมขาวสามคนที่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ พลางกุเื่อาจารย์ที่ไร้ตัวตนขึ้นมากล่าวอ้าง
“ประเดี๋ยวก่อน ข้าขออภัยที่เสียมารยาทใส่เ้าเมื่อครู่นี้” ไป๋เจียงสุ่ยเห็นสีหน้าท่าทางของหมอชราทั้งสาม จึงเข้าใจได้ทันทีว่าฝีมือของเด็กหนุ่มคนนี้เป็ของจริง เขาจึงรีบลุกขึ้นกล่าวขอโทษอีกฝ่าย “เชิญ...”
เยี่ยเฉินเฟิงพยักหน้ารับเบาๆ เดินตามสองพ่อลูกไป๋เจียงสุ่ยและไป๋ซีหย่าไปยังสวนด้านหลังซึ่งมีอาคารไม้สองชั้นตั้งอยู่ ก่อนจะพบกับร่างของไป๋ซีซานที่นอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงหยกเหมันต์
ดูจากสีหน้าของไป๋ซีซาน ขาข้างหนึ่งของเขาได้เหยียบเข้าประตูปรโลกไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย สามารถหมดลมหายใจได้ตลอดเวลา
เมื่อตรวจชีพจรของอีกฝ่ายจึงพบว่าร่างกายของเขาร้อนดุจเตาไฟ จุดชีพจรทั่วร่างกายถูกพลังงานความร้อนเผาไหม้จนเปราะบางสุดขีด
หากมิใช่เพราะตระกูลไป๋ร่ำรวยมากพอที่จะหาเตียงหยกเหมันต์มาใช้ระงับพลังงานความร้อนในร่างกายของเขาไม่ให้ะเิออกมา ไป๋ซีซานอาจจะเสียชีวิตไปตั้งนานแล้วก็ได้
“ท่านหมอเฉิน บิดาของข้ายังมีทางรักษาหรือไม่?” หลังจากที่เยี่ยเฉินเฟิงตรวจชีพจรเสร็จ ไป๋เจียงสุ่ยก็รีบถามขึ้นด้วยความกังวล
“ถ้าข้าวินิจฉัยไม่ผิดพลาด อาการป่วยของบิดาท่านเกิดจากพิษชนิดหนึ่ง” เยี่ยเฉินเฟิงเชื่อมต่อกับศาสตร์การแพทย์ในห้วงสมอง แล้วพูดกับอีกฝ่ายอย่างใจเย็น
“พิษ? เป็ไปไม่ได้หรอก บิดาข้าาเ็เพราะธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างฝึกฝนต่างหากล่ะ” ไป๋เจียงสุ่ยขมวดคิ้วแน่น เขาเกิดไม่มั่นใจในฝีมือของเด็กหนุ่มขึ้นมาอีกครา
“ท่านเ้าเมืองไป๋ ท่านเคยลองคิดดูหรือไม่ว่าอาการาเ็จากธาตุไฟเข้าแทรกแม้จะรุนแรงแต่ก็ไม่ใช่โรคที่ไร้หนทางรักษา และเท่าที่ข้าได้ยินมา ท่านถึงขั้นไปเชิญตัวหมอหลวงมาเพื่อช่วยรักษาบิดาของท่าน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าอาการของเขาจะทุเลาลงเลย”
เยี่ยเฉินเฟิงสังเกตเห็นแววตาเคลือบแคลงของอีกฝ่าย จึงกล่าวออกไปเรียบๆ
“จริงด้วย ท่านหมอสวีตรวจร่างกายของบิดาข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่ก็ไม่พบสาเหตุที่แท้จริงของการป่วย” ไป๋เจียงสุ่ยพยักหน้ารับ
“เป็เพราะหมอหลวงสวีไม่เคยพบเจอพิษชนิดนี้มาก่อนอย่างไรล่ะ อีกทั้งพิษในร่างกายของบิดาท่านก็แทรกซึมเข้าไปถึงชั้นไขกระดูกแล้ว ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ก่อนบิดาท่านจะล้มป่วยเขาน่าจะทานผลิญญาธาตุไฟเข้าไป” เยี่ยเฉินเฟิงคาดเดาจากข้อมูลที่กลั่นกรองจากความทรงจำในห้วงจิติญญา
“ท่านหมอเฉินกล่าวถูกต้องแล้ว ไม่นานมานี้บิดาของข้าได้กินผลหั่วซิงเจ่าเข้าไป แต่ว่าหั่วซิงเจ่าผลนั้นตระกูลไป๋ได้มาจากงานประมูลที่เมืองหลวง ไม่น่าจะมีสิ่งแปลกปลอมอะไรได้”
ไป๋เจียงสุ่ยเล่าให้ฟังอย่างตรงไปตรงมา ละทิ้งความเคลือบแคลงสงสัยที่มีต่อเด็กหนุ่มและก่อเกิดเศษเสี้ยวความหวังขึ้นมาในใจ
“ท่านเ้าเมือง ในตอนนั้นบิดาท่านน่าจะกลืนผลหั่วซิงเจ่าลงไปทั้งลูกเลยสินะ อีกทั้งน่าจะไม่ใช่แค่ผลหั่วซิงเจ่าอย่างเดียว บิดาของท่านยังกินของบางอย่างตามลงไปด้วย” เยี่ยเฉินเฟิงคาดเดา
“ใช่แล้ว ผลหั่วซิงเจ่าหาได้ยากยิ่ง ท่านพ่อคงกลัวว่าผลหั่วซิงเจ่าจะสูญเสียพลังิญญาที่มี จึงได้กลืนกินมันลงไปทั้งผล หลังจากกินผลหั่วซิงเจ่าเข้าไปแล้ว ท่านพ่อก็ดื่มน้ำยาถนอมชีพจรตามลงไปเพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนจากผลหั่วซิงเจ่าทำร้ายจุดชีพจร” ไป๋เจียงสุ่ยพยักหน้ารัวๆ ในยามนี้เขาเชื่อฝีมือของเด็กหนุ่มอย่างไม่มีข้อแม้
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เนื้อของผลหั่วซิงเจ่าไม่มีพิษแต่เมล็ดของมันเต็มไปด้วยพิษไฟ การที่บิดาของท่านกินผลหั่วซิงเจ่าทั้งลูกแล้วยังดื่มน้ำยาถนอมชีพจรตามเข้าไปอีก มันส่งผลให้พิษไฟไม่สามารถระบายออกจากร่างกายผ่านทางรูขุมขนที่อุดตันได้ และค่อยๆ กัดกร่อนลึกลงไปในไขกระดูก อาการป่วยจึงยิ่งทรุดหนัก”
“ท่านหมอเฉิน บิดาของข้าจะรักษาหายหรือไม่?” ไป๋เจียงสุ่ยยอมวางทิฐิในฐานะเ้าเมือง กล่าวถามอีกฝ่ายอย่างนอบน้อมและจริงใจ
“ข้าจะรักษาอย่างสุดความสามารถ” เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงต่ำ “พวกท่านออกไปรอตรงนั้นเถอะ ห้ามมารบกวนเวลาข้าทำการรักษา มิฉะนั้นผลที่ตามมาพวกท่านก็รับผิดชอบกันเอาเอง”
แม้พิษไฟบนโลกใบนี้จะเป็ที่เลื่องลือว่าขจัดออกจากร่างกายได้ยากเย็นนัก แต่บังเอิญที่ทักษะเข็มนภาทมิฬของเยี่ยเฉินเฟิงสามารถแก้ไขหักล้างพิษไฟได้พอดี
“ขอบคุณท่านหมอเฉินมาก ชีวิตของบิดาข้าอยู่ในมือท่านแล้ว ขอเพียงท่านรักษาเขาให้หายขาดได้ ตระกูลไป๋ของข้าจะตอบแทนน้ำใจของท่านอย่างงาม” ไป๋เจียงสุ่ยกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายอย่างซาบซึ้งใจก่อนจะพาไป๋ซีหย่าผู้เรียบร้อยอ่อนหวานไปยืนดูจากที่ไกลๆ
เยี่ยเฉินเฟิงขยับเข้าไปใกล้ร่างของไป๋ซีซาน ใช้พลังิญญาฉีกเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออก เผยให้เห็นร่างกายผอมแห้ง มีเพียงหนังหุ้มร่างคล้ายกับโครงกระดูกเดินได้เท่านั้น
เมื่อเห็นร่างกายผอมติดกระดูกของไป๋ซีซาน ไป๋ซีหย่าถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ดวงตาคู่งามแดงระเรื่อด้วยความสงสารจับใจ
“ฟู่...”
เยี่ยเฉินเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติ ล้วงหยิบตลับเข็มเงินออกมาจากกล่องยา ขยับมือตามกลวิธีของทักษะเข็มนภาทมิฬ แผ่พลังิญญาแทรกซึมลงไปในเข็มแหลมแต่ละเล่ม เขาขยับปลายนิ้วเพียงเบาๆ เข็มเงินเ่าั้ก็ปักลงตรงจุดชีพจรทั่วร่างของไป๋ซีซาน ทั้งรวดเร็วและแม่นยำราวกับจับวาง
เมื่อได้เห็นทักษะการฝังเข็มที่คล่องแคล่วว่องไวดุจใจนึกของเยี่ยเฉินเฟิงแล้วนั้น สองพ่อลูกไป๋เจียงสุ่ยและไป๋ซีหย่าก็เบิกตากว้างด้วยความตะลึง สีหน้าฉายชัดว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
ทักษะการแพทย์ที่ราวกับปาฏิหาริย์ของเยี่ยเฉินเฟิงทำให้สองพ่อลูกยอมรับนับถือจากใจจริง
เมื่อเข็มเงินเล่มที่หนึ่งร้อยแปดถูกฝังลงตรงจุดชีพจรสุดท้ายของไป๋ซีซาน พลังิญญาที่แฝงตัวอยู่ในเข็มเงินก็ทำการกระตุ้นเส้นลมปราณทั่วร่างของเขาซ้ำไปซ้ำมา ก่อกำเนิดเป็ไอเย็นกระแสหนึ่งแทรกซึมลงไปในชั้นไขกระดูกและขับพิษไฟที่อยู่ภายในร่างกายของเขาออกมา
“รอดแล้ว ท่านพ่อมีหนทางรักษาแล้ว”
ในระหว่างที่เยี่ยเฉินเฟิงกำลังฝังเข็มอยู่นั้น ไป๋เจียงสุ่ยก็ได้ปลดปล่อยพลังิญญาคอยสำรวจสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เมื่อเขาััได้ว่าพลังงานความร้อนขุมหนึ่งกำลังถูกขับออกมาจากร่างกายของไป๋ซีซานผ่านทางรูขุมขน หัวใจก็พองโตขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามปราม
ใน่แรกเยี่ยเฉินเฟิงยังใช้ทักษะเข็มนภาทมิฬขจัดพิษไฟได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อเวลาเริ่มผ่านไป จุดอ่อนด้านพลังิญญาของเขาก็เริ่มเผยออกมาให้เห็น การควบคุมเข็มเงินเริ่มเป็ไปอย่างยากเย็น
แต่เพื่อให้ได้มาซึ่งเงินรางวัลหนึ่งแสนตำลึงของตระกูลไป๋ เยี่ยเฉินเฟิงจึงกัดฟันอดทนรักษาต่ออย่างไม่ท้อถอย เขาส่งพลังิญญาผ่านเข็มเงินทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเล่ม แปรเปลี่ยนให้กลายเป็ไอเย็นบริสุทธิ์ขับไล่พิษไฟให้สูญสลาย
เกือบจะหนึ่งชั่วโมงผ่านไป เตียงหยกเหมันต์ที่รองรับร่างของไป๋ซีซานได้ถูกพลังงานความร้อนกัดเซาะไปมากกว่าครึ่ง และพิษไฟในร่างของเขาก็ถูกขจัดออกมาจนหมดสิ้น
“ฟู่ เท่านี้ก็น่าพอแล้วล่ะ พิษไฟส่วนใหญ่ในร่างของผู้เฒ่าไป๋ถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว”
เยี่ยเฉินเฟิงดึงเข็มเงินเล่มสุดท้ายออกด้วยร่างกายที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากและกล่าวออกมาอย่างแ่เบา
“พิษไฟถูกขจัดออกหมดแล้ว รวดเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ไป๋เจียงสุ่ยเลิกคิ้วถามอย่างเหลือเชื่อ
พิษไฟที่แม้แต่หมอหลวงยังต้องยอมแพ้ แต่เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถขจัดได้หมดสิ้น เื่นี้น่าเหลือเชื่อเกินกว่าไป๋เจียงสุ่ยจะจินตนาการได้
“คาดว่าพรุ่งนี้บิดาของท่านก็คงจะได้สติ หากเ้าเมืองไป๋ไม่เชื่อก็ลองเรียกหมออีกสามคนด้านนอกมาตรวจดู เท่านี้ก็จะพิสูจน์ได้แล้วว่าข้าไม่ได้พูดปด” เยี่ยเฉินเฟิงเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรง เขาใช้แขนเกาะขอบเตียงพยุงร่างกายที่เหนื่อยล้าเต็มทน
“ได้ เช่นนั้นเชิญท่านหมอเฉินพักผ่อนที่ห้องข้างๆ นี้ก่อนเถิด”
เพื่อความรอบคอบรัดกุม ไป๋เจียงสุ่ยจึงสั่งให้ไป๋ซีหย่าประคองเยี่ยเฉินเฟิงไปพักผ่อนที่ห้องข้างๆ ก่อน จากนั้นก็ออกไปเชิญหมออีกสามคนเข้ามาตรวจอาการโดยรวมของไป๋ซีซาน
