ฉีอันยังอายุน้อย ถึงแม้ว่าเขาจะติดเฉียวเยว่ แต่ติดไท่ไท่สามกับอิ้งเยว่มากกว่า กลางวันยังพอว่า แต่กลางคืนนี่สิไม่ไหว
วันรุ่งขึ้นฉีจือโจวก็ต้องพาเด็กกลับไปส่งแต่เช้า
แต่การปรับตัวของเฉียวเยว่กลับดีกว่า
เฉียวเยว่ไม่ร้องกลับบ้าน ซูซานหลางมารับไปแล้วหนหนึ่ง แต่อาจารย์ฉีทำหน้าบูดใส่เขา ไม่ยอมให้พากลับไป
ด้วยเหตุนี้ ซูซานหลางจึงต้องหน้าเศร้ากลับไป
การมาพักค้างคืนหนนี้จึงยาวต่อเนื่องถึงเจ็ดแปดวัน
อาจารย์ฉีเป็บัณฑิตที่มีวิถีชีวิตเป็แบบฉบับ เมื่อมีเวลาก็จะอ่านตำราเขียนหนังสือ เฉียวเยว่ยกขาอวบนั่งขัดสมาธิบนตั่งเล็กในห้องหนังสือ อ่านตำราตามไปด้วย
พูดตามตรง อักษรโบราณล้วนแต่เป็อักษรจีนแบบตัวเต็ม อันที่จริงเฉียวเยว่ก็ไม่รู้จักเสียเป็ส่วนใหญ่ แต่เมื่อได้ััมาพอประมาณก็รู้สึกว่าไม่ต่างกันมาก หากตัวไหนไม่รู้จักจริงๆ ก็ถามอาจารย์ฉีได้
อาจารย์ฉีสังเกตอย่างละเอียด เขาพบว่าหลายต่อหลายครั้งเฉียวเยว่ไม่รู้จักตัวอักษรอย่างแท้จริง แต่นางสามารถเขียนลำดับขีดโครงสร้างอักษรคร่าวๆ ออกมาได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็อัจฉริยะที่เรียนรู้เร็วกว่าผู้อื่น
เด็กฉลาดเยี่ยงนี้แม้มิได้มาจากคนในครอบครัวก็ยังเป็ที่น่าชมชอบ นับประสาอันใดกับเด็กน้อยตรงหน้าที่เป็หลานสาวแท้ๆ ของตนเอง
"ท่านตาเ้าคะ อักษรตัวนี้อ่านว่าอย่างไร?"
ตัวนี้ไม่คุ้นตาเลย
อาจารย์ฉีไม่รู้สึกว่าถูกเฉียวเยว่รบกวนสักนิด กลับพึงพอใจในความใฝ่รู้ของนางเสียด้วยซ้ำ เขาชะโงกมองตอบว่า "นี่คือเจิน"
เฉียวเยว่ร้องอ้อ "ข้าไม่เคยเห็นอักษรตัวนี้มาก่อนเ้าค่ะ"
อาจารย์ฉีอมยิ้ม "รอให้เ้าโตอีกหน่อย ก็จะรู้จักอักษรเพิ่มขึ้นเอง"
ฉีจือโจวเข้ามาในห้องเห็นตาหลานกำลังอ่านตำรา มุมปากของเขาโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม "เฉียวเยว่ ดูซิ ลุงเอาสิ่งใดมาให้"
เดิมทีฉีจือโจวเป็คนเ็า แข็งกร้าว แทบไม่เคยยิ้มกับผู้อื่นอยู่แล้ว ั้แ่ภรรยาจากโลกนี้ไป ก็ยิ่งกลายเป็คนเ็าห่างเหินปฏิเสธผู้คน อย่าว่าแต่กับคนอื่นเลย แม้แต่ญาติแท้ๆ ในสกุลฉีคิดจะมาแสวงหาผลประโยชน์อันใดจากเขาก็ไม่เคยได้ผลลัพธ์ที่ดี นานวันเข้า ทุกคนต่างรู้แล้วว่าเขามีนิสัยอย่างไร จึงไม่กล้ามาหาเื่ต่อหน้าเขาอีก
แม้จะเป็น้องสาวร่วมอุทร เขาก็เพียงแค่สนิทสนมใกล้ชิด แต่ไม่เคยอ่อนโยนกับนาง
หากถามว่ามีผู้ใดสามารถทำให้เขายิ้มได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็คงจะมีแต่เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้
เขาซ่อนมือไว้ด้านหลัง เฉียวเยว่ชำเลืองมองแต่เดาไม่ถูก "เป็ของอร่อยใช่หรือไม่เ้าคะ?"
"เ้าเพิ่งกินขนมไปตอนบ่าย นี่หิวอีกแล้วหรือ?" ฉีจือโจวถาม
พวงแก้มป่องของเฉียวเยว่ผลิยิ้มเบ่งบาน "เปล่าเ้าค่ะ เพียงอยากรู้ว่าท่านลุงเตรียมสิ่งใดให้ข้า"
ในที่สุดฉีจือโจวก็ยื่นของขวัญออกมาพร้อมกับอมยิ้ม "ชอบหรือไม่?"
พอเฉียวเยว่ได้เห็นก็ตะลึงตาค้าง หลังจากนั้นก็ะโตัวลอย เข้าไปหอมแก้มฉีจือโจวหนึ่งที "ท่านลุงเก่งกาจที่สุด ท่านลุงเป็เทพ์"
นางถือหนังสือภาพวิ่งวนไปรอบๆ
อาจารย์ฉีชะโงกศีรษะเข้ามาดูพลางคาดเดา "หนังสือภาพของฉีเทียนต้าเซิ่ง [1] รึ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าราวกับโขลกกระเทียม ดวงตาสุกใสระยิบระยับวับวาวดุจดวงดาว อิ่มเอมไปด้วยความสุข
"ยอดเยี่ยมไปเลย ข้ามีหนังสือภาพแล้ว"
ฉีจือโจวนั่งบนตั่งแล้วอุ้มนางขึ้นมานั่งตัก "เฉียวเยว่อ่านดูว่าดีหรือไม่? อยากแก้ไขตรงไหนก็บอกลุง"
หนังสือภาพค่อนข้างเรียบง่าย ไม่มีสีสันงดงามเหมือนหนังสือการ์ตูนในปัจจุบัน แต่เฉียวเยว่กลับรู้สึกว่านี่คือสิ่งที่ดีที่สุด มีเอกลักษณ์เป็หนึ่งเดียวในใต้หล้า
"ดีมาก ดีมาก ข้ารักท่านลุงที่สุด"
แล้วก็หอมแก้มฉีจือโจวอีกที พะเน้าพะนอเสียจนเ้าตัวทิ้งความเ็าไปเสียสิ้น เหลือเพียงสีหน้านุ่มนวลอ่อนโยน "เฉียวเยว่อยากได้สิ่งใดก็บอกลุง"
เฉียวเยว่ตอบอื้ม ด้วยความดีอกดีใจ
ต้องกล่าวว่าฉีจือโจวมีความตั้งใจอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าหนังสือภาพควรมีลักษณะเช่นไร แต่กลับคาดคะเนความชอบของเฉียวเยว่จากรูปสัตว์ที่นางวาดเล่นส่งเดชที่ห้องหนังสือตลอด่หลายวันมานี้
เห็นเด็กหญิงอวบอ้วนตัวน้อยตั้งใจอ่านหนังสือภาพอย่างจริงจัง เขาพลันรู้สึกอารมณ์ดีอย่างบอกไม่ถูก
ฉีจือโจวมองอาจารย์ฉี ก่อนเดินนำออกจากห้องไปก่อน
เฉียวเยว่นอนคว่ำลง ยกขาน้อยๆ ขึ้นแกว่งไปมา อ่านหนังสือภาพอย่างสนุกสนาน เวลาผ่านไปนานเท่าไรสุดที่จะรู้ได้ แต่หันมาอีกทีก็พบว่าท่านตาออกไปแล้วเช่นเดียวกัน ทว่าเฉียวเยว่ก็ไม่เอามาใส่ใจ ยังคงอ่านหนังสือต่อ
จนกระทั่งเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด และจุดโคมแล้ว เฉียวเยว่ถึงเรียกอวิ๋นเอ๋อร์เข้ามาถาม "ท่านตาเล่า?"
"ผู้าุโต้อนรับแขกอยู่ที่ห้องโถงเ้าค่ะ ได้ยินว่าจ้าวอ๋องมา" อวิ๋นเอ๋อร์ตอบทันควัน
เด็กตัวเล็กๆ อย่างเฉียวเยว่กลับทำท่าทางจริงจังราวกับผู้ใหญ่ "เหตุใดจ้าวอ๋องถึงมาพบผู้อื่นเวลามื้ออาหาร เช่นนี้ไม่ดีเลย ทีนี้ควรจะเชิญเขาร่วมรับประทานอาหารหรือไม่เชิญดีล่ะ หากไม่เชิญ ดูเหมือนจะไร้มารยาท และใจแคบไปหน่อย แต่ถ้าเชิญก็สิ้นเปลืองอาหาร"
นางเพียงจงใจแกล้งสนุกๆ แต่คนด้านนอกไหนเลยจะเข้าใจ จ้าวอ๋องถึงกับซวนเซ เขายังไม่ทันเข้าประตูก็ถูกซาลาเปาน้อยรังเกียจแล้วหรือ?
เดิมทีได้ยินว่าเด็กหญิงตัวน้อยแสนประหลาดคนนั้นอยู่ที่นี่ จึงอยากจะมาเยี่ยมนางเสียหน่อย ไม่นึกว่าซาลาเปาน้อยอ้วนกลมจะกลัวว่าเขามาเบียดบังอาหารการกิน
ช่างทำให้คนหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ อาจารย์ที่อยู่ด้านข้างก็ทำท่าทางครุ่นคิด
์ อาจารย์คงไม่เชื่อว่าเป็จริงหรอกกระมัง?
"อาจารย์ ข้ากินน้อยมาก จริงๆ นะขอรับ" เขาละล่ำละลัก
หากไม่แสดงตัวอะไรสักอย่าง คงต้องถูกไล่ออกจากบ้านเป็แน่
อาจารย์ฉีชำเลืองมองเขาปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้อง
"ไกวเยว่"
เฉียวเยว่ได้ยินเสียงเรียกที่หน้าประตู ก็สวมรองเท้าทันควัน พอเห็นว่าไม่ทันแล้ว จึงยืนอยู่ข้างตั่งเล็กแล้วยอบกายเล็กน้อย "ซูเฉียวเยว่คารวะท่านอ๋องจ้าว ท่านอ๋องแข็งแรงกำยำเช่นนี้ช่างดียิ่ง"
จ้าวอ๋อง "..."
ข้าเพิ่งจะยี่สิบเอ็ด!
ยังหนุ่มขนาดนี้หากไม่แข็งแรง อีกไม่กี่ปีข้ามิถูกดินฝังกลบหน้าแล้วหรือ
"เสี่ยวเฉียวเยว่ ครั้งก่อนเ้ายังเรียกข้าว่าพี่ชายอยู่เลย หรือว่าลืมสิ้นแล้ว?" เขากล่าวเตือนสติ
เฉียวเยว่เกาศีรษะ "แต่บิดาข้าเป็ศิษย์พี่ของท่าน มารดาข้าก็เป็ศิษย์พี่หญิงของท่าน หากข้าไม่เรียกท่านว่าท่านอาแต่กลับเรียกว่าพี่ชาย มิเป็การไม่เคารพท่านหรือเ้าคะ?"
นางหันไปมองอาจารย์ฉี "ท่านตา ท่านว่าถูกต้องหรือไม่เ้าคะ?"
"มีเหตุผล" อาจารย์ฉีพยักหน้า
จ้าวอ๋องรีบเอ่ยทันควัน "แม่หนูน้อยน่ารักจะเรียกข้าอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น
น้ำเสียงแฝงแววประจบสอพลอเต็มที่
เฉียวเยว่ถอนหายใจให้กับความเป็มหาเทพของท่านตาของนาง
"แล้วเหตุใดหนูน้อยคนนี้ยังอยู่ที่นี่อีกเล่า?" จ้าวอ๋องทำสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย
เฉียวเยว่หัวแหลมยิ่งกว่าหัวลิง ถามขึ้นทันที "แล้วเหตุใดข้าจะอยู่ที่นี่ไม่ได้ บ้านข้าเกิดเื่อันใดหรือ?"
อาจารย์ฉีกลอกตาใส่จ้าวอ๋องโดยตรง เ้าปัญญาอ่อน!
"ไม่มีอันใด ไกวเยว่มิต้องคิดมาก" อาจารย์ฉีปลอบประโลมนาง
สีหน้าของเฉียวเยว่เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่ยอมปล่อยวาง "งั้นข้าอยากกลับบ้านแล้ว ท่านตาช่วยส่งข้ากลับได้หรือไม่?"
อาจารย์ฉีถลึงตาใส่จ้าวอ๋องอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า "ไกวเยว่ไม่รักตาแล้วหรือ ไหนบอกว่าจะค้างที่นี่หลายๆ วันอย่างไรเล่า พวกเรายังต้องเขียนอักษรด้วยกัน อีกอย่าง ท่านลุงของเ้ายังเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง ยังฟังไม่จบก็จะกลับแล้วหรือ"
แต่เด็กน้อยกล่อมยาก
เฉียวเยว่ยืนกรานหนักแน่น "ข้าเป็ห่วงท่านแม่กับพี่สาวและน้องชาย ท่านก็รู้ มีคนถ่อยคิดจะสังหารพวกเขา ข้าต้องกลับไปปกป้อง"
เดิมทีอาจารย์ฉีกำลังขบคิดอยู่ว่าจะรั้งตัวเฉียวเยว่อย่างไร แต่ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไรถึงจะดี
เฉียวเยว่เด็กขนาดนี้จะไปรู้เื่ราวได้อย่างไร
"ความจริงพี่สาวเ้าพลั้งตกจากบันไดเมื่อวานตอนบ่าย ขาได้รับาเ็" เขาบอก
เฉียวเยว่เดือดดาลลุกขึ้นมาเต้นผางทันใด "พี่สาวข้าเป็อย่างไรบ้าง นางาเ็รุนแรงหรือไม่ อยู่ดีๆ จะตกบันไดได้อย่างไร แต่ไหนแต่ไรมาพี่สาวข้าเป็คนรอบคอบระมัดระวังมาก ไม่น่าจะเป็ไปได้"
เฉียวเยว่เริ่มร้องไห้ "ข้าจะกลับบ้าน ข้าจะไปหาพี่สาว ข้าจะกลับบ้านไปดูพี่สาว"
เห็นเด็กน้อยร้องไห้น่าสงสาร อาจารย์ฉีก็ปวดร้าวใจอย่างหนัก ออกคำสั่งกับจ้าวอ๋องทันที "รีบสั่งคนไปเตรียมรถม้า ข้าจะส่งเฉียวเยว่กลับจวน"
พอได้ยินเสียงจากทางนี้ ฉีจือโจวก็รีบเข้ามารับเฉียวเยว่ไป "เด็กดี เฉียวเฉียวไม่ร้อง เฉียวเฉียวไม่ร้อง"
เฉียวเยว่ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว "พี่สาว..."
"ฮ่องเต้ไม่อยู่ หมอหลวงสามารถมาตรวจให้พี่สาวข้าได้หรือไม่ ท่านลุง ท่านคิดหาวิธีสิ ท่านคิดหาวิธีสิ" บัดนี้ฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
เด็กน้อยยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดผวา สั่นไปทั้งตัว ฉีจือโจวเห็นหลานสาวขวัญหนีดีฝ่อเช่นนี้ ก็ปลอบอย่างระมัดระวัง "เฉียวเยว่ไม่ต้องห่วง ไม่มีอันใด พี่สาวเ้าหกล้มเมื่อวาน หมอหลวงมาดูแล้ว ข้าเองก็หาท่านหมอที่มีวิชาแพทย์สูงส่งไปช่วยดูอีกแรง ไม่เป็ไร พักรักษาตัวสองเดือน ไม่ลงจากเตียงเร็วเกินไป ก็จะไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย ที่ไม่บอกเ้าเพราะกลัวว่าเ้าจะเป็กังวล เ้ายังเล็กนัก อย่าร้อง อย่าร้อง"
"พี่สาว... พี่สาวไม่เป็อันใดจริงหรือ?"
"ไม่เป็อันใด" ฉีจือโจวกล่าวอย่างจริงจัง
เขาอุ้มเด็กขึ้นรถม้า กระซิบบอกข้างหู "เฉียวเฉียววางใจ ลุงจะไม่ให้เกิดอะไรขึ้นกับอิ้งเยว่อย่างแน่นอน เ้าไม่ต้องกลัว"
เฉียวเยว่ซบที่คอของฉีจือโจว ร้องสะอึกสะอื้นไม่หยุด
"ท่านพ่อ ท่านอย่าไปเลย เดี๋ยวข้าไปส่งนางเอง" เขาเอ่ยอีกประโยค
จวนสกุลฉีส่งเด็กกลับมาอย่างเอิกเกริก ซูซานหลางย่อมรู้ว่าความแตกแล้ว เมื่อวานเขายังดีใจที่พ่อตาไม่ปล่อยหลานกลับมา แต่ดูจากตอนนี้เ้าตัวน้อยของพวกเขาช่างรู้มากจริงๆ
เขากำชับไท่ไท่สาม "เ้าดูแลอิ้งเยว่ ข้าจะไปดูเฉียวเยว่ ยายหนูรักอิ้งเยว่ที่สุด คงจะขวัญหนีดีฝ่อแล้ว"
เขาพูดไปก็เดินไปทางเรือนชั้นนอก บังเอิญพบกับซูต้าหลางกับไท่ไท่ใหญ่ที่ผ่านมาพอดี
ซูต้าหลางเป็คนเคร่งครัดเ้าระเบียบ เห็นเขาท่าทางรีบร้อน ก็ถามขึ้นอย่างเอาใจใส่ "ซานหลางอย่าร้อนใจ อิ้งเยว่เป็อะไร?"
"พี่ใหญ่มาเยี่ยมอิ้งเยว่หรือ? ท่านไปก่อนได้เลย พี่ภรรยาพาเฉียวเฉียวกลับมาแล้ว ข้ากำลังจะไปรับ"
ซูต้าหลางพยักหน้า "เมื่อมีคนมา พวกเรายังไม่ไปดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมอิ้งเยว่อีกที เ้าอย่ากระวนกระวายเกินไปจนขาดสติ"
"ข้าทราบแล้ว พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็ห่วง"
สิ้นคำกล่าวก็เห็นฉีจือโจวอุ้มเฉียวเยว่เดินเข้ามา ดวงหน้าตุ้ยนุ้ยของเฉียวเยว่ยังมีคราบน้ำตาเปื้อนอยู่ "ท่านพ่อ"
เพียงพริบตาเดียวน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมา ซูซานหลางไหนเลยจะเคยเห็นบุตรสาวของตนร้องไห้ เด็กคนนี้เข้มแข็งที่สุด แต่ไหนแต่ไรมาไม่ชอบร้องไห้ ปรกติถูกตีนางยังยิ้มร่า แต่ตอนนี้กลับดวงตาแดงก่ำ
"เฉียวเฉียวอย่าร้อง"
ฉีจือโจวกับซูต้าหลางต่างคารวะซึ่งกันและกัน ก่อนเดินตามซูซานหลางกลับไปที่เรือนสามโดยไม่รีรอ
พอเฉียวเยว่เข้าประตูมาก็ร้องไห้โฮ "พี่สาว!"
อิ้งเยว่สีหน้าซีดเซียว แต่กลับยังมีสติ มุมปากของนางโค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม "กระต่ายอ้วนน้อย เ้าร้องไห้น่าเกลียดมาก"
...
[1] ฉีเทียนต้าเซิ่งเป็ชื่อเรียกหนึ่งของซุนหงอคง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้