อะไรนะ! เขาว่าอะไรนะ!
มู่ฟางเหนียงเดินกระแทกส้นเท้ากลับเข้ามาในบริเวณลานบ้านที่ใช้เป็ที่ตากสมุนไพร นางฮึดฮัดหันซ้ายหันขวาอย่างหงุดหงิด แลทุกสิ่งรอบข้างก็ขวางหูขวางตาจนอยากยกเท้าขึ้นเตะของที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็เกรงว่าจะต้องเสียเวลามาเก็บของที่ตัวเองเตะไปอีก
อะไรกัน! นางสิ้นเปลืองพลังงานในการอ่านและคัดลอกตำราแพทย์นั้นอยู่สองวันสองคืน ไม่ขึ้นเขาไปช่วยท่านพ่อเก็บสมุนไพร เอาแต่อ่านตำรานี่จนหลงลืมเวลา ปล่อยให้ท่านพ่อต้องกินอาหารเย็นชืดไปหลายมื้อ กลางคืนก็อดหลับอดนอนเปลืองเทียนไขไปตั้งเท่าไหร่ แล้วจู่ๆ ให้คนมาบอกว่าเขายังไม่เอาตำรากลับคืน ให้นางเก็บไว้ก่อน นางจะฝากบ่าวรับใช้ที่มาส่งข่าวคืนให้ ก็เหมือนเขาจะรู้ จึงกำชับมาว่าไม่รับฝาก นางต้องเอาไปคืนด้วยตนเอง เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่สะดวกจะอยู่ตรวจหนังสือทุกแผ่นทุกหน้า ชายผู้นี้นิสัยเหมือนเด็กเอาแต่ใจอย่างที่เคอหลิ่งหลินชอบพูดให้นางฟังนัก
จะแปลกอะไรที่นางจะเข้าใจไปว่าเขาอายุสิบขวบ! ถึงได้ฝากกลองป๋องแป๋งเอาไว้ปลอบใจยามที่ต้องอยู่ไกลพี่สาวและครอบครัว!
นางเป็ลูกคนเดียว แต่กระนั้นก็ติดตามบิดาตลอด เรียกได้ว่าบิดาอยู่ที่ไหน นางอยู่ที่นั่น แม้จะไม่ได้อยู่เป็หลักแหล่ง แต่นางก็ไม่เหงาเพราะบิดาของนางเป็ทั้งพ่อ แม่ และเพื่อนให้นาง เมื่อเคอหลิ่งหลินเล่าเื่ราวของ ‘น้องชาย’ ที่ต้องใช้ชีวิต่หนึ่งอยู่ห่างไกลครอบครัวเพื่อศึกษาเล่าเรียน นางจึงเข้าใจความรู้สึกที่น้อยใจตามประสาเด็กเหมือนถูกพ่อแม่ทิ้งขว้างทั้งที่ความจริงแล้ว สิ่งที่ทำไปเพื่ออนาคตของเขาเอง
ก็นั่นแหละ นางจึงเข้าใจไปว่าเขาเป็เด็กเล็กๆ เอาแต่ใจ ไร้เหตุผล ชอบเอาชนะและขี้น้อยใจ ใครจะไปรู้ว่านิสัยแบบนั้นอยู่ในตัวผู้ชายร่างกำยำผู้นั้นเล่า!
“เป็อะไรไปเหนียงเอ๋อร์” น้ำเสียงสงบเยือกเย็นเอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางฮึดฮัดของลูกสาวอยู่กลางลานบ้าน
นางสูดลมหายใจลึก พยายามข่มโทสะของตนก่อนจะหมุนตัวหันไปเอ่ยตอบ
“ไม่มีอะไรเ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไร ไยเ้าทำเหมือนจะพังบ้านทั้งหลังได้ นี่ดีที่เ้าไม่มีวรยุทธ์ ไม่เช่นนั้นพ่อก็ไม่รู้ว่าบ้านจะมีรูที่ใดบ้าง”
“ท่านพ่อก็พูดเกินไป” นางเบ้ปากทำแง่งอนแล้วเดินไปหาบิดา
“หากเ้าจะเอาดีด้านการรักษาคน เ้าควรใจเย็นและไม่แสดงอาการเช่นเมื่อครู่” คนเป็พ่อเตือนพร้อมสั่งสอน “ที่นี่มีผู้ใดนอกจากท่านพ่อเล่า” นางเบ้ปากน้อยๆ “เป็หมอแล้วอย่างไร ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกรึ เจอคนไข้ไม่รักตัวเอง ลูกก็ดุใส่เหมือนกันแหละ ใครจะไปใจดีเหมือนท่าน มีอะไรก็โอ๋คนไข้นัก ท่านควรดุพวกเขาบ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็เจ็บป่วยอาการเดิมๆ กลับมาให้ท่านต้องปวดหัวเพราะคิดว่าอย่างไรท่านก็รักษาพวกเขาได้”
คราวนี้คนเป็พ่ออ้าปากค้าง โดนลูกสาวดุเป็เื่ปกติ แต่นี่เห็นชัดๆ ว่านางโมโหผู้อื่นมาพาลมาลงที่เขา นิสัยนางเหมือนแม่ก็ตรงนี้ พูดจาตรงไปตรงมา เปิดเผยไม่ซ่อนเร้น แม้การเป็หมอควรมีบุคลิกสงบเยือกเย็นให้คนไข้สบายใจ ทว่าลูกสาวของเขากลับเป็หมอที่...จะเรียกว่านางปากร้ายก็กล่าวเกินจริงไป นางอาจพูดจาห้วนและดุไปบ้าง แต่เท่าที่สังเกตก็เห็นคนไข้ที่นางรักษาหรือโดนนางบ่นใส่ ก็แย้มยิ้มหรือหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันทั้งนั้น ไม่มีใครโกรธเคืองนาง หากนางติดตามเขาไปรักษาบ้านเศรษฐี นางสงบปากสงบคำลงไปสักครึ่งซึ่งก็นับว่ายากแล้ว เพราะถ้าเจอคนนิสัยไม่ดีดูแคลนผู้อื่น นางก็สรรหาคำพูดมาประชดประชันได้อยู่ดี
แต่ถ้านับฝีมือการตรวจรักษาของนางแล้ว นางคือลูกศิษย์ที่เขาภูมิใจนัก เพียงหกเจ็ดขวบนางก็ท่องสูตรยารักษาโรคทั่วไปได้ สิบขวบก็ฝังเข็มเป็ เขาไว้ใจขนาดยอมให้ใช้ตัวเองเป็หุ่นให้นางฝังเข็ม นอกจากนี้เื่อาหารการกิน นางก็ทำได้ไม่ขาดตกบกพร่อง เพราะนางเป็ที่เอ็นดูของผู้อื่น ยามที่เขารักษาคน บางครั้งนางก็ไปเข้าครัว หัดทำกับข้าวกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง นำอาหารมาให้เขากินครบสามมื้อ ดูแลเขาไม่ขาดตกบกพร่อง เสื้อผ้าที่เขาสวม นางก็ล้วนซักและปะชุนให้เรียบร้อย ไม่ต้องอับอายว่าใส่เสื้อผ้าเก่า ไม่รวมเื่เงินทองรายได้อันน้อยนิดที่นางจัดการได้อย่างดี ไม่เคยได้อดอยากกันนัก เขาต่างหากที่จะพานางลำบากเพราะมักใจอ่อนไม่ค่อยเก็บเงินค่ารักษา แถมถ้ายากจนมาก็แถมเงินให้นิดหน่อย ถ้านางรู้เห็นก็แอบค่อนว่าเขา แต่ก็มิได้ห้ามอะไร
คนเป็พ่อได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง แม้จะมีรูปร่างหน้าตาสะสวยเพียงไร แต่สิ่งที่สำคัญและได้รับการยกย่องเสียยิ่งกว่าความงามภายนอกก็คือหญิงสาวผู้ทรงไว้ซึ่ง สามเชื่อฟัง สี่คุณธรรม สามเชื่อฟังนั้นได้แก่ ก่อนแต่งให้เชื่อฟังบิดา หลังแต่งให้เชื่อฟังสามี และเมื่อสามีตายจากก็ให้เชื่อฟังลูกชาย ถือเป็แิที่ยิ่งใหญ่ของผู้หญิงในสมัยก่อน ทั้งชีวิตทำเพื่อคนอื่นและอยู่เพื่อคนอื่น
แต่ดูเหมือนว่าเขาเป็บิดาที่อยู่ในโอวาทของบุตรสาวเสียแล้ว
มู่ฟางเหนียงเห็นท่านพ่อนิ่งงันไป โทสะที่คุกรุ่นเมื่อครู่ก็เริ่มสงบลง เอาเถิด คนผู้นั้นถือตนว่ายศศักดิ์สูงกว่านางซึ่งเป็หญิงชาวบ้านธรรมดา ซ้ำยังเป็หมอหญิงที่ไร้เกียรติ มิควรค่าแก่การเคารพนับถือแล้ว นางจะขุ่นเคืองใจให้ร่างกายทรุดโทรมไปไย ดีแล้ว...มันย่อมเป็การดีเสียอีก เพราะนางจะได้มีเวลาพลิกหน้ากระดาษอ่านทวนซ้ำสักรอบสองรอบ เขาจะเอาคืนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น นางก็พร้อมจะคืนของที่มิใช่ของตัวเองให้ หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินไปประจบบิดาที่นิ่งงันไปราวกับก้อนหิน
“หลายวันมานี้ลูกไม่ได้ขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรกับท่าน เดี๋ยวลูกจะทำบะหมี่อร่อยๆ ให้ท่านพ่อกินก็แล้วกันนะ”
“เ้าทำอะไรมาพ่อก็กินทั้งนั้นแหละ” เป็ประโยคที่พูดจนติดปาก หมอมู่หยางซัวยกมือลูบศีรษะเบาๆ “ว่าแต่เมื่อครู่ มิใช่คนมาจากจวนแม่ทัพจ้าวหรอกหรือ?”
“ใช่เ้าค่ะ” นางพยักหน้ารับ “แต่ไม่มีอะไรหรอก เอ่อ...แค่มาส่งข่าวเท่านั้น”
“นึกว่าแม่นางเคอฟื้นแล้ว” ผู้เป็พ่อพึมพำ “พ่อว่าอีกไม่กี่วันเคอหลิ่งหลินคงจะฟื้นแล้วละ การหลับเป็การฟื้นฟูร่างกายที่ดีอย่างหนึ่ง”
“ลูกติดตามท่านพ่อมานาน ยังไม่เคยเห็นผู้ใดหลับนานนับเดือนขนาดนี้”
“อาการเจ็บป่วยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผู้อารักขาของคุณชายเฉินที่ไปค้นหาไข่มุกหมื่นราตรีมิได้ถูกพิษจากเปลือกหอย แต่เพราะร่างกายถูกทำร้ายจากผู้มีวรยุทธ์สูงส่ง พ่อดูรอยฝ่ามือของเคอหลิ่งหลินแล้ว เป็รอยฝ่ามือเดียวกับที่ผู้อารักขาผู้นั้นได้รับ เขาจึงาเ็บอบช้ำรักษาได้โดยง่าย แต่เคอหลิ่งหลินถูกพิษ แม้ถูกขับออกก็เพราะฝ่ามือทรงพลังนั้น แต่ก็ทำให้ร่างกายทั้งบอบช้ำและมีพิษหลงเหลืออยู่ นางต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าปกติ”
“แต่ฝ่ามือนั้นทำให้นาง...สูญเสียกำลังภายใน” หญิงสาวหยุดคิดอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “คนเป็วรยุทธ์ ใช้กำลังภายในมิได้ ลูกเคยได้ยินว่าบางคนยอมตายแต่ไม่ขออยู่เยี่ยงคนพิการ”
“มือเท้านางก็ยังอยู่ดีมิใช่รึ” มู่หยางซัวถอนหายใจเบาๆ ก่อนคลี่ยิ้มออกมา “เ้าคิดหรือว่าอย่างเคอหลิ่งหลินจะทำร้ายตัวเอง นางซุกซนสมเป็พี่สาวเ้า เื่แค่นี้นางคงไม่คิดสั้นเช่นนั้นหรอก”
หญิงสาวได้ฟังตามนั้นแล้วก็เผลอหัวเราะออกมา
จริงด้วย ‘พี่สาว’ ของนางเป็คนมองโลกในแง่ดี แค่ไม่มีวรยุทธ์แต่ก็ยังมีสองมือสองเท้า นางคงไม่ทำร้ายตัวเองหรือคิดสั้นแบบนั้นแน่ๆ นางยิ้มน้อยๆ ออกมาแล้วขอตัวเข้าครัวจัดเตรียมอาหารกลางวันของคนทั้งสอง ปกติท่านพ่อมักกินง่ายอยู่ง่าย นางต้องคอยฝึกปรือฝีมือทำอาหารเพื่อบำรุงสุขภาพของท่าน แม้จะเป็อาหารง่ายๆ ตามประสาคนเบี้ยน้อย ครู่ต่อมานางก็ยกชามบะหมี่หอมกรุ่นมาให้บิดาและตัวนางเองด้วย
มู่หยางซัวไม่อยากรอเฉยๆ จึงนำสมุนไพรออกมาจากตะกร้าเตรียมคัดแยก ที่บ้านอยู่กันเพียงสองคนพ่อลูก ไม่มีบ่าวไพร่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาไม่มีรายได้พอจะจ้างใครมาช่วยงาน สมุนไพรเหล่านี้เป็ชนิดที่หาได้ในป่าเขา ไม่ได้ลำบากอะไรนัก เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนยากจน ไฉนเลยจะมีเงินซื้อยาดีๆ จากร้านขายยาได้ เขาและลูกสาวตระหนักในข้อนี้ดี จึงพยายามดัดแปลงตำรับยาที่ศึกษามาเพื่อนำสมุนไพรที่หาได้ง่ายมาเป็ตัวยารักษา
จะว่าไปมู่ฟางเหนียงเสียอีกที่ชาญฉลาดกว่าเขา เรียนรู้ที่จะปรุงอาหารเป็ยา คนไหนเจ็บป่วยอะไรมา หากไม่หนักหนาอะไรนัก นางจะสั่งให้กลับไปบำรุงด้วยอาหารต่างๆ ตามอาการของคนป่วย เช่น กุยช่าย ช่วยขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด ช่วยฆ่าเชื้อและช่วยถ่ายพยาธิ มีสรรพคุณรักษาโรคนิ่วและหนองใน จี๋เกีย (ขิง) มีสรรพคุณช่วยขับลม ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง ช่วยฆ่าพยาธิและขับปัสสาวะ บำรุงสายตา ช่วยละลายเสมหะ แก้ไอและเจ็บคอ บำรุงสายตาและช่วยให้เจริญอาหาร และเซียะเต่า (ถั่วแดง) ช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดี ช่วยบำรุงเืและช่วยขับปัสสาวะ มีสรรพคุณในการลดอาการเหน็บชา ลดผดผื่นคันตามร่างกาย และช่วยบำรุงมดลูกให้ทำงานดีขึ้น
เพียงไม่นาน กลิ่นบะหมี่หอมกรุ่นก็ลอยมาแตะปลายจมูกก่อนที่ชามบะหมี่จะมาถึง เพราะอยู่กันแค่สองคนพ่อลูกจึงไม่มีพิธีรีตองอะไรนัก อยากนั่งกินตรงไหนก็นั่งกิน นางจึงยกถาดไม้ที่มีชามบะหมี่ร้อนหอมกรุ่นสองชามมาหาเขาที่ลานตากสมุนไพร
“มาเถิดท่านพ่อ กำลังร้อนๆ เลย เดี๋ยวเราค่อยช่วยกันคัดแยกสมุนไพร”
บิดาวางมือจากงานที่ทำอยู่ มองลูกสาวที่ยกชามบะหมี่ออกมาวางไว้ด้วยท่าทีคล่องแคล่ว เดินเร็วๆ ไปยกกาน้ำชามา แล้วก็รีบมานั่งกินบะหมี่ข้างเขา มู่หยางซัวคีบบะหมี่ส่งเข้าปากแล้วก็อดชื่นชมลูกสาวไม่ได้ เพราะความลำบากหล่อหลอมให้นางต้องเอาตัวรอด แม้จะไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็มิได้อดอยาก อาหารง่ายๆ ก็ปรุงรสให้อร่อยได้ราวกับมีเวทมนตร์
“อ้อ...เมื่อเช้าพ่อบังเอิญพบกับเศรษฐีกู่หลิน” มู่หยางซัวเอ่ยขึ้นมาอย่างเพิ่งนึกได้
“ทำไมรึ เขาจะเชิญพวกเราออกจากบ้านของเขาแล้วรึเ้าคะ”
อาศัยบ้านผู้อื่นอยู่จะโดนเชิญออกเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ แม้บิดาจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็หมอเทวดาไร้เงา ทว่าไม่สามารถยื้อชีวิตทุกคนได้ มีบางครั้งที่สุดจะยื้อคนเจ็บตายคามือ ญาติพี่น้องโมโหมาพังที่พักอาศัยของนางกับพ่อ นางเก็บผ้าผ่อนแทบไม่ทัน เหตุการณ์เช่นนั้นก็เคยผ่านมาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด นางจึงระแวงใจว่าจะเกิดเื่เช่นนั้นอีก
“เปล่า พ่อแค่ลองถามเื่ซื้อบ้านหลังนี้”
“ท่านพ่อจะเอาจริงหรือเ้าคะ”
“ทำไมล่ะ เราจะได้มีที่อยู่เป็หลักแหล่ง ไม่ต้องเร่ร่อนไปทั่ว ไม่ดีรึ”
“เขาจะขายให้ท่านพ่อเท่าไหร่”
“ห้าร้อยตำลึง” บิดาพูดเรียบๆ เหมือนเงินจำนวนนิดเดียว แต่มู่ฟางเหนียงที่ถือกระเป๋าเงินย่อมรู้ดีว่าทั้งบ้านมีเงินอยู่กี่ตำลึง
“แต่เศรษฐีกู่หลินบอกว่าถ้าเรา้าอยู่ที่นี่จริงๆ เขาจะยกบ้านหลังนี้ให้”
นางเคี้ยวเส้นบะหมี่อย่างละเอียดราวกับใช้ความคิด สองปีก่อน่ที่สองพ่อลูกเดินทางมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ได้รับความช่วยเหลือจากเศรษฐีกู่หลิน ภรรยาเอกของท่านกู่หลินล้มป่วยเรื้อรังเนื่องจากเสียเืจากการคลอดบุตรชายคนเดียวของตระกูล นางป่วยกระเสาะกระแสะมาเรื่อย จนกระทั่งท่านพ่อกับนางได้ตรวจดูอาการ แม้จะรู้ดีว่าชีวิตของนางสั้นนัก แต่ก็ช่วยบำรุงให้นางสบายตัวขึ้นได้บ้าง กล่าวได้ว่าไม่ทุกข์ทรมานมากนัก จากเดิมที่จะตายวันตายพรุ่ง ก็ยืดชีวิตได้นานครึ่งปี ได้พอเห็นลูกตัวเองแย้มยิ้มหัวเราะก่อนจะสิ้นใจไป
เศรษฐีกู่หลินอายุเพียงสามสิบสอง มีอนุอีกสี่คน แต่รักภรรยาผู้นี้สุดใจ แม้นางตายไปก็ยังไม่เลือกใครมาเป็ภรรยาเอกคนใหม่ ลูกชายคนเดียวนั้น แรกๆ อ่อนแอนัก แต่เมื่อบำรุงตามสูตรของหมอเทวดาไร้เงาแล้วก็แข็งแรงดีขึ้น จนทุกวันนี้เป็เด็กชายที่น่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย นางเองก็เคยเข้าไปตรวจสุขภาพพร้อมสั่งยาบำรุงให้อนุแต่ละคนเพื่อจะได้มีบุตรให้เศรษฐีกู่หลินอีก เขาเป็คนดีที่น่านับถือ แต่มิใช่ว่านางกับพ่อควรอยู่อย่างสำนึกบุญคุณตลอดเวลา เกิดทำอะไรให้อนุคนหนึ่งคนใดไม่พอใจ นางกับพ่อมิต้องรีบร้อนหอบผ้าผ่อนออกไปอีกรึ
“ท่านพ่อไม่ต้องฝืนใจหรอกเ้าค่ะ ท่านไม่เคยอยู่ที่ใดนานๆ แค่อยู่ที่นี่สองปีก็นับว่านานมากแล้ว ถ้าท่านอยากเดินทาง ลูกก็พร้อมติดตามท่านพ่ออยู่แล้ว”
“เหนียงเอ๋อร์”
“รอพี่หลิ่งหลินฟื้นแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเถิดเ้าค่ะ” นางยิ้มกว้าง ดูไม่เดือดร้อนที่จะเดินทางอีกครั้ง “ท่านพ่อว่าอีกไม่กี่วันใช่ไหม ข้าจะได้มีเวลาเตรียมตัวเก็บสัมภาระ ว่าแต่ท่านอยากไปไหนคิดไว้หรือยัง”
“เหนียงเอ๋อร์” บิดาเรียกเสียงเย็นแต่ลูกสาวกลับหัวเราะออกมา “พ่อทำให้เ้าลำบากมามากแล้วจริงๆ”
“ถ้าท่านพ่อจะอยู่ที่นี่ก็ต้องซื้อหรือเช่าอยู่ แต่จะอยู่โดยไม่จ่ายอะไรเลยไม่ได้ เ้าของบ้านไม่คิด แต่ผู้อื่นอาจจะคิดไม่ดีกับเราสองพ่อลูก ไม่เช่นนั้นเราก็ไปหาบ้านหลังเล็กกว่านี้ ราคาถูกกว่านี้”
ซึ่งก็คงหาได้ยากนัก บ้านทั้งหลังแถมมีพื้นที่สำหรับตากสมุนไพรอย่างนี้ ทั้งบ้านมีเงินรวมกันไม่ถึงสามสิบตำลึงด้วยซ้ำ
“แต่ถ้าท่านพ่ออยากอยู่ที่นี่จริงๆ ท่านพ่อก็ต้องไปนั่งตรวจโรคที่ร้านยา ส่วนข้าจะลองทำขนมไปขายดีไหมเ้าคะ เราจะได้มีเงินมาจ่ายค่าบ้านกัน”
คนเป็พ่ออ้ำอึ้ง เขาไม่เคยรู้ว่าในบ้านมีเงินเท่าไหร่ หากเจอคนไข้ให้เงิน เขาก็รับมาแบบไม่ได้นับแล้วส่งให้ลูกสาวจัดการ
“ท่านพ่อค่อยๆ คิดเถิด” นางแย้มยิ้มจนดวงตาเป็ประกาย “เตรียมเดินทางก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนักหรอก”
หมอมู่หยางซัวได้ชื่อว่าเป็หมอเทวดาไร้เงา ทว่ากลับพ่ายแพ้ต่อการต่อปากต่อคำกับลูกสาวจริงๆ นางรู้ใจเขาดียิ่งกว่าตัวเขาเองเสียอีก อยู่ที่นี่สองปี ทุกอย่างสงบไม่มีเหตุภัยร้ายแรงอะไร ก็เห็นทีน่าจะได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง
“ว่าแต่” พ่อหรี่ตามองลูกสาวอย่างค้นหาบางสิ่ง
“อะไรเ้าคะ”
“เ้าคงไม่ได้ล่วงเกินใครจนต้องรีบย้ายออกไปหรอกนะ”
“ลูกนะรึ” นางชี้นิ้วที่ใบหน้าตนเองก่อนส่ายหน้าไปมาเร็วๆ “ไม่มีๆ ข้าไม่ได้ไปทำอะไรใครนะ”
จู่ๆ นางก็คิดถึงใบหน้าของชายผู้นั้น ฆ่างูของนางแล้วยังมาทวงคำขอบคุณอีก นิสัยลูกคนเดียวจริงๆ แต่เอ๊ะ! นางก็ลูกคนเดียวนี่ ไม่หรอกๆ นางเป็คนมีเหตุผลไม่ใช่คนประเภทเดียวกับเขาอย่างแน่นอน.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้