หลังจากกินซุปร้อนๆจนหมดชามจึงรู้สึกถึงความอุ่นวาบแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย
หลังจากสู้กับเฉิ่นปู้หยุนนานกว่าหนึ่งชั่วโมงทำให้เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปทั้งตัวจึงต้องถอดเสื้อคลุมแล้วนำไปตากไว้ค่อยกลับมาสู้กันต่อข้าฝึกทั้งคืนจนเพลงขาและการเคลื่อนไหวเข้ากันได้ดีกว่าเดิมทั้งพลังของวิชาลมหายใจัและเคล็ดวิชาายังเพิ่มขึ้นซึ่งการพัฒนาก้าวหน้าไปมากจนสามารถรับรู้ได้
กระทั่งกลางดึกข้าถึงได้กลับไปยังโรงเกลากระบี่
วันต่อมากับวิชาทฤษฎีในภาคเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็วข้ากับซูเหยียนและตั้นไถเหยาเดินลงมาจากอาคารเรียนก็เห็นซ้งเชียนกำลังเดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “พี่เชวียนข้ารอท่านอยู่ตั้งนาน วันนี้ร้านชานมของข้าเปิดแล้วนะ ท่านไปดูสักหน่อยไหม?”
“อืม ได้สิ เสี่ยวเหยียนอาเหยาพวกเ้าจะไปด้วยหรือเปล่า?”
“ไปสิ ข้าว่าจะไปดูสักหน่อย” นางทั้งสองตอบรับอย่างยินดี
ร้านชานมเล็กๆ ตั้งอยู่ระหว่างทางไปโรงอาหารพนักงานสองคนของซ้งเชียนเป็ผู้หญิงอายุราวๆ ยี่สิบปีโดยวันแรกของการเปิดร้านก็ไปได้ดีเพราะมีทั้งหญิงชายยืนรอต่อคิวอยู่
“ชิมสักหน่อยไหม?” ซ้งเชียนถาม
“อืม เอารสผลไม้คนละแก้วแล้วกัน”
“ได้เลย!”
ไม่นานแก้วพลาสติกก็มาอยู่ในมือและเมื่อชิมแล้วก็รู้ว่าอร่อยใช้ได้ทีเดียว แถมยังมีกลิ่นนมที่เข้มข้นอยู่ด้วยซูเหยียนที่อยู่ข้างๆ ชิมไปคำหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “อร่อย...”
ตั้นไถเหยาพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพูดเสริม “ไม่เลวเหมือนกันนี่นา!”
ซ้งเชียนพูดด้วยสีหน้าพอใจ “ปกติชานมแบบนี้จะขายในราคาแก้วละยี่สิบเหรียญหลงหลิงซึ่งผู้หญิงจะค่อนข้างชอบ และถ้าเป็พวกคู่รักก็จะยิ่งชอบกันไปอีก...เมื่อเช้าข้าขายไปได้ตั้งพันกว่าแก้วแน่ะโดยจะได้กำไรแก้วละสิบแปดเหรียญหมายความว่าข้าเพิ่งเปิดร้านวันแรกก็หาเงินได้ตั้งหนึ่งหมื่นแปดพันเหรียญเลยล่ะตอนนี้ข้ากำลังจะคิดค้นสูตรใหม่แล้วตั้งชื่อว่าผลึกแห่งรัก กลิ่นอายรักแรกอ้อมกอดบลูเบอร์รี่และอีกเยอะแยะเลย ท่านคิดว่าอย่างไรบ้างพี่เชวียน?”
ข้าเห็นด้วยกว่าครึ่งก่อนจะถามกลับ “เื่ธุรกิจของเ้าข้ายอมรับมาดีมากก็จริงแต่เื่การบำเพ็ญของเ้าไปถึงขั้นไหนแล้ว?”
“เื่นั้นไม่มีปัญหาเพราะตอนนี้ข้าอยู่ในขั้นกลางของการหลอมปราณแล้วล่ะ”
“อืม ก็ดี ไปกินข้าวด้วยกันไหม? พวกข้ายังไม่ได้กินเหมือนกัน”
“อืม ถ้าอย่างนั้นไปกินด้วยกันเลย”
...
ข้ากลับมาที่โรงเกลากระบี่ในตอนเที่ยงแล้วฝึกเคล็ดวิชาาต่อ
ปุดๆๆ
เสียงเดือดของน้ำในหม้อที่กำลังต้มเนื้อปลาหลีฮื้อหลงหลิงดังขึ้นขณะกำลังฝึกฝนเคล็ดวิชาาและทุกๆครั้งที่ฝึกฝนจะต้องเตรียมปลาชนิดนี้ไว้เพื่อรักษาอาการาเ็ในร่างกายโดยทันทีไม่อย่างนั้นจะเกิดผลร้ายตามมา
ส่วนพลังของเคล็ดวิชาาในร่างกายที่ผ่านการฝึกฝนในหลายวันที่ผ่านมานี้ก็ใกล้จะบรรลุเต็มทีแต่ดูเหมือนจะมีบางอย่างสกัดกั้นเอาไว้ไม่ว่าจะเคลื่อนพลังไปกี่รอบจึงยังไม่เกิดผลเหมือนสิ่งที่ปิดกั้นอยู่ไม่้าให้ข้าบรรลุและพอคิดได้แบบนี้จึงไม่อยากยอมจำนนต่อสิ่งนั้นข้าเลยกินซุปเนื้อปลาไปชามหนึ่งพร้อมกับโสมโลหิตคำใหญ่ก่อนจะฝึกฝนต่อ
เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายสองโมงแบบไม่รู้ตัว ซึ่งยังทันเข้าเรียนในคาบการฝึกฝนนอกสถานที่
พอนึกถึงเื่ที่อาจารย์หลันเท้อเคยบอกว่าถ้าขั้นสำคัญของการฝึกฝนตรงกับคาบเรียนพอดีก็สามารถขาดเรียนได้เพราะการฝึกฝนย่อมสำคัญมากกว่า ข้าจึงตัดสินใจไม่ไปเสียดื้อๆเพราะอาจารย์ค่อนข้างใจกว้างถึงขั้นไม่เช็คชื่อเลยด้วยซ้ำ
เวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไปทีนิดพลังิญญาในร่างกายและพลังของเคล็ดวิชาาเพิ่มขึ้นมาอย่างถนัดตา แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ยังไม่บรรลุจุดนั้นได้อยู่ดีความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับว่าพลังิญญาในตัวที่พุ่งผ่านจุดปราณ์มันอ่อนแรงทุกครั้งคล้ายสายน้ำเล็กๆ ที่ถูกผนังอันสูงใหญ่กั้นขวางไม่ให้ไหลผ่านไปได้
กระทั่งล่วงเลยมาถึงยามโพล้เพล้ก็ยังไม่สามารถบรรลุได้อยู่ดีในทางกลับกันทั่วทั้งตัวกลับเปียกโชกเหมือนเพิ่งถูกงมขึ้นจากน้ำ
“เสี่ยวเชวียน!”
ผู้ช่วยสวี่ลู่ร้องเรียกเสียงดังก่อนจะยืนตรงหน้าประตูแล้วพูดขึ้น “พี่ของเ้าบอกให้ไปหา”
“ท่านพี่มีเื่อะไรอย่างนั้นเหรอพี่ลู่?”
“ต้องเป็เื่ดีอยู่แล้วน่าเ้ารีบเช็ดเหงื่อแล้วไปกันเถอะ”
“อืม ขอรับ”
หลังจากล็อกประตูเสร็จเรียบร้อยข้าก็เดินตามพี่สวี่ลู่ไปยังที่พักของพี่เสวียนยินซึ่งพอเดินเข้าประตูไปก็ได้กลิ่นหอมจางๆ เหมือนกลิ่นชะมด
ปี้เสวียนยินซึ่งนั่งอยู่บนโซฟามองข้าที่เปียกไปทั้งตัวก่อนจะถามขึ้น “เพิ่งจะฝึกเคล็ดวิชาามาเหรอ?”
“อืม”
“พัฒนาไปถึงไหนแล้ว?”
ข้านั่งลงก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ข้าฝึกถึงพลังกระบี่ควานเพลิงในระดับสูงของขั้นแปดกระบี่ร้างแล้วแต่ไม่รู้ทำไมยังไม่บรรลุถึงขั้นเซียนสักทีเหมือนกับว่าการฝึกมาถึงจุดสิ้นสุดที่ไปต่อไม่ได้อะไรทำนองนั้น”
“ฮึๆ...” นางหัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดต่อ “ข้าเคยเห็นคนที่ฝึกเคล็ดวิชาาในขั้นที่สี่อย่างแปดกระบี่ร้างมาก่อนถ้า้าบรรลุถึงขั้นเซียนต้องใช้พลังิญญาที่แข็งแกร่งเข้าทะลวงจุดเส้นชีพจรพลังแกร่งตรงกลางอกซึ่งเส้นชีพจรพลังแกร่งคือสิ่งที่ทุกคนมีกันอยู่แล้วแต่มีเพียงผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาาและมีพลังิญญาจนแข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะทะลวงมันได้ดังนั้นการที่เ้ายังไม่บรรลุไม่ใช่ปัญหาของพลังพร์ แต่ปัญหาอยู่ที่พลังิญญาของเ้ายังอ่อนแอเกินไปและจะพึ่งพลังิญญาจากปราณ์เส้นเดียวอาจไม่เพียงพอในการทะลวงเส้นชีพจรพลังแกร่งหรอกนะ”
ข้าได้ยินจึงพูดขึ้นอย่างหมดหวัง“แล้วถ้าข้า้าฝึกฝนเคล็ดวิชาานี้ต่อก็ต้องรอให้บำเพ็ญจนถึงขั้นเทวิญญาหรืออาจต้องรอให้บำเพ็ญจนเข้าขั้นผู้พิทักษ์เลยอย่างนั้นเหรอ?”
“ก็ไม่แน่” นางว่าแล้วลุกขึ้นด้วยรูปร่างที่ได้สัดส่วนสวยงามก่อนจะก้มหน้าลงมองข้าที่ยังนั่งอยู่แล้วพูดขึ้น “เมื่อคืนข้าเข้าไปยังใจกลางของหุบเขาหลิงหยุนชั้นที่หนึ่งและเอาของขวัญมาฝากเ้าด้วย”
“ของขวัญ?”
“อืม”นางพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังโต๊ะที่มีตลับอะไรสักอย่างวางอยู่ก่อนจะเปิดมันออกด้านในเป็เส้นบางอย่างสีเทาๆ เหมือนเอ็นวัวแต่กลับมีแสงเรืองรองส่องประกายออกมาจนข้ารู้สึกถึงพลังที่แฝงอยู่ภายใน
“นี่คืออะไร?”
“เส้นลมปราณของันวทมิฬ” นางยิ้มกว้างอย่างงดงามก่อนจะพูดขึ้น “ข้าใช้พลังไปมากกว่าจะฆ่าเ้าันวทมิฬตัวนี้ได้ของสิ่งนี้เป็สิ่งที่ล้ำค่าที่สุดในตัวของมันเพราะพลังัที่มีอยู่ในตัวจะไหลผ่านเส้นลมปราณนี้เพื่อกระจายไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกายดังนั้นข้าจึงมีความคิดที่จะใช้เส้นลมปราณนี้เพื่อเข้าไปแทนเส้นปราณิญญาระดับ์ที่เคยสูญเสียของเ้า”
ข้าได้ยินถึงกับพูดอย่างตกตะลึง “มันจะได้ผลจริงๆ เหรอ? ข้า...ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าปราณของัสามารถทดแทนปราณของมนุษย์ได้ยิ่งเป็เื่ปราณของเ้าันวทมิฬยิ่งไปกันใหญ่...”
นางยิ้มบางๆ ก่อนจะพูดต่อ “เ้าคิดจะดูถูกปราณของัทมิฬที่เป็ถึงสัตว์ิญญาระดับเก้าหรือไง? เอาน่า...ถึงอย่างไรก็ยังพอมีความหวังเพราะข้าศึกษาจากตำราหลายๆเล่มทั้งตำราปราณั ตำราปราณิญญาทุกแขนง รวมถึงตำราโบราณอย่างการล้างปราณอย่างแท้จริงซึ่งมีการบันทึกเอาไว้หมดแล้วยิ่งทำให้ข้ามั่นใจว่ามีโอกาสสำเร็จถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์!”
ข้าสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถามกลับ “พี่เสวียนยิน...แล้วถ้าอีกสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือไม่สำเร็จจะเป็ยังไง?”
“เื่นี้เหรอ...”นางเม้มปากเล็กๆ แล้วพูดต่อ “ตอนนี้ปราณิญญาของเ้าถูกทำลายจนเหลือแต่จุดปราณิญญาที่เป็หลุมว่างเปล่าถ้าข้าใส่ปราณของัตัวนี้ลงไปและสำเร็จ ก็จะเป็ตัวเชื่อมให้แก่ร่างกายของเ้าแต่ถ้าพลาดก็จะทำให้ปราณของันี้เข้าไปอุดช่องทางการไหลเวียนของพลังิญญาในตัวแทนและถ้าถึงตอนนั้น...เอาน่า อย่างมากก็แค่พลังิญญาถูกทำลายเดี๋ยวข้าจะเลี้ยงเ้าทั้งชีวิตเองไม่เห็นจะเป็เื่ใหญ่โตอะไร”
“อะไรนะ!”
ข้าถึงกับพูดอะไรไม่ออก “ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ดีเลยสักนิด...”
“เอาล่ะ ตามข้าขึ้นไปชั้นสองแล้วเริ่มกันดีกว่า”
นางว่าแล้วมือหนึ่งคว้าตลับนั้นขึ้นมาส่วนอีกมือคว้าแขนของข้าเอาไว้แล้วพยายามพาข้าขึ้นไปชั้นสองแบบทุลักทุเลและพอมาถึงห้องที่เตรียมเอาไว้ นางก็ปิดประตูลงกลอนแล้วเปิดไฟ
“เอาล่ะทีนี้เ้าก็ถอดเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วก็นอนลง”
“ถอดออกให้หมด?”
“อืม!” นางตอบรับก่อนจะยิ้มกว้างออกมา “เอาเถอะน่าใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นสักหน่อย ตอนเด็กข้ายังเคยจับด้วยซ้ำไป”
ข้าได้ยินแล้วถึงกับพูดไม่ออกถึงอย่างไรก็เป็เื่ในวัยเด็ก เพราะตอนนี้ทั้งข้าและนางต่างก็โตเป็หนุ่มเป็สาวกันหมดแล้วและแบบนี้จะเหมือนกันได้ยังไง
ทว่าข้ากลับไม่ได้ขัดขืนเพราะสิ่งที่นางทำย่อมเกิดผลดีแก่ข้าทั้งนั้น
ขณะที่ข้าถอดเสื้อผ้าแล้วนอนลงนางก็ถอดชุดคลุมนั้นออกด้วยจึงเผยให้เห็นาแที่ยังมีเืสีแดงซึมผ่านผ้าพันแผลที่แขนออกมา
“ท่านาเ็เหรอท่านพี่!” ข้าพูดอย่างใก่อนจะดึงนางลงมานั่งข้างเตียงแล้วตรวจดูาแ
นางยิ้มก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “แค่าแเล็กๆเท่านั้นเองันวทมิฬตัวนั้นเป็สัตว์ิญญาในตำนานที่คิดจะฆ่าในอึดใจเดียวไม่ใช่เื่ง่ายแถมตัวที่ข้าเจอยังดุร้ายมากด้วย แผลนี้ก็แค่ถูกมันกัดแบบเฉียดๆ เท่านั้นไม่เป็ไรหรอกน่า อีกไม่กี่วันก็หายแล้วล่ะ”
ข้ารู้สึกเจ็บแทนก่อนจะพูดขึ้นมา “ข้าต้องขอโทษจริงๆที่ทำให้ท่านต้องมาทำอะไรแบบนี้เพื่อข้า”
นางเอียงคอมองสีหน้าของข้าในตอนนี้ก่อนจะถามกลับ “เ้าเด็กนี่ในที่สุดก็รู้จักรักพี่สาวอย่างข้าแล้วเหรอ?”
“ข้าก็รักมาตลอด...”
นางที่ได้ยินพูดขึ้นเสียงเบา “จริงๆแล้วตอนที่ข้าเห็นว่าปราณิญญาของเ้าถูกทำลายไปต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าสงสารจับใจจริงๆนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชวียนที่แข็งแกร่งของข้า วันหนึ่งจะต้องกลายเป็แบบนี้ได้ถ้าข้าไม่ทำให้เ้ากลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้งแล้วเป็พี่สาวที่ดีได้อย่างไรกัน...เอาล่ะนอนลงได้แล้ว ข้าจะได้เริ่มเปลี่ยนเส้นลมปราณให้เ้าสักที”
“อืม”
ข้านอนนิ่งมองดูแผ่นฝ้าเพดานแต่ในใจกลับมีความรู้สึกที่หลายร้อยพันกำลังตีกันอยู่สัตว์ิญญาระดับเก้าคือสัตว์ที่อยู่ในขั้นสูงสุดของห่วงโซ่อาหารถึงจะเป็เทพศาสตราวุธแต่ถ้าได้ยินชื่อของมันก็ต้องหลบหลีกให้ไกลเหมือนกันส่วนใครที่กล้าเผชิญหน้าก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตายนึกไม่ถึงว่านางจะกล้าเข้าไปในหุบเขาหลิงหยุนกลางดึกเพื่อนำเส้นลมปราณของัที่ล้ำค่ากลับมาให้ข้า
ข้ารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งร่างกายเมื่อนางหักเส้นลมปราณเป็ชิ้นๆแล้ววางไปตรงคอ ทั้งแขนและขาทั้งสองข้างกลายเป็จุดไหลเวียนของปราณิญญาพอดีปราณัยังคงสดและร้อน เพราะเพิ่งถูกนำออกมาไม่นานจนข้าทนรับแทบไม่ไหวเพียงชั่วพริบตาเดียวเหงื่อกาฬก็ไหลออกมาเต็มหน้าผาก
นางพูดเสียงเบา “อดทนเอาไว้ไม่ว่าจะขื่นขมหรือเ็ปมากแค่ไหนเ้าก็ต้องอดทนคนตระกูลปู้อย่างพวกเราจะต้องไม่พ่ายแพ้ให้กับความเ็ปอย่างเด็ดขาด!”
“อืม!”
ต่อจากนั้นนางได้ผายมือทั้งสองข้างออก ก่อนจะมีพลังิญญาแผ่ซ่านออกมาแล้วรวมกันเป็กลุ่มก้อนด้วยพลังที่ร้อนระอุซึ่งเป็อาวุธิญญาของนางอย่างกระจกเพลิงทิวากรหลังจากที่เส้นลมปราณของัถูกพลังของอาวุธิญญาก็ยิ่งทำให้มันร้อนขึ้นไปอีกตอนนี้บนร่างกายของข้าเหมือนกับมีก้อนถ่านที่เพิ่งผ่านการเผามาอย่างโชกโชนวางไว้และกำลังแผดเผาทำลายเนื้อหนังทั่วทุกอณู
เฮือก...
ข้าร้องออกมาอย่างทรมานก่อนจะกำหมัดแน่นแล้วพยายามทำตัวให้นิ่ง
พอลืมตามองก็เห็นว่าพี่เสวียนยินเองก็ไม่ได้สุขสบายเพราะการทำให้เส้นลมปราณของัซึ่งเป็สัตว์ิญญาระดับเก้าสลายและแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายไม่ใช่เื่ง่ายตอนนี้ใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมา
พลังของกระจกเพลิงทิวากรสว่างวาบจนทั่วทั้งห้องสว่างราวกับยามเช้า
ในตอนนี้เองเส้นลมปราณของักำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงโดยผิวด้านนอกมีเสียงของการแตกออกจนเผยให้เห็นพลังิญญาสีแดงด้านในที่พุ่งออกมาเป็เส้นๆปลิวว่อนไปทั่วห้องเหมือนหิ่งห้อยในยามราตรี พอพี่เสวียนยินใช้พลังน้อยลงมันก็ตกลงมาบนร่างกายของข้าแล้วแทรกซึมเข้ามาในิัและเนื้อในจนแทบทนกับความรู้สึกนั้นไม่ไหวจึงต้องร้องออกมา
“อ๊าก!!”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้