โกลาหล!
กองทัพทั้งสองอาณาจักรได้สร้างความโกลาหลขึ้นมา สนามรบถูกปกคลุมไปด้วยซากศพทหาร ในที่สุดกองทัพโม่เยว่ก็ได้เคลื่อนทัพออกจากเมืองต้วนเริ่นเพื่อต่อสู้กับทหารเสวี่ยเยว่
ทหารม้าถือหอกเงินที่ส่องแสงในความมืด ฝีเท้าม้าเหยียบย่ำลงบนผืนดินต้วนเริ่น ก่อให้เกิดเสียงขึ้น
ทั้งสองด้านของประตูเมือง ทหารม้าโลหิตได้รวมตัวกันแล้วพวกเขาก็ยิงลูกศรไปที่กองทัพโม่เยว่ เปลวเพลิงยังคงลุกโชนและความร้อนจากไฟก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุก่เวลาที่ผ่านไป ทำให้กองทัพโม่เยว่ไม่รู้จะตอบโต้อย่างไร ในเวลาเดียวกันในกองทหารม้าโลหิตได้มีคนคนหนึ่งถือดาบที่มีแสงส่องประกายออกมา ร่ายกายของเขาปลดปล่อยลมปราณทำลายล้างออกมา ทำให้อากาศโดยรอบกลายเป็สุญญากาศและมีทหารนับหลายร้อยนายต้องตายไป
หลังจากที่โจมตีด้วยดาบ ทหารม้าโลหิตที่แทรกซึมเข้าไปในกองทัพโม่เยว่ก็เริ่มการโจมตีศัตรู ทำให้เกิดความปั่นป่วนในกองทัพโม่เยว่
การต่อสู้คราวนี้โม่เยว่ยังคงมีทหารสองแสนกว่านาย แต่ทางเสวี่ยเยว่มีทหารน้อยกว่าหนึ่งแสนนาย แน่นอนว่าโม่เยว่ก็ต้องแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด
อย่างไรก็ตามทางเสวี่ยเยว่ได้จัดตำแหน่งไว้ก่อนแล้ว ซุ่มรอทหารโม่เยว่นับแสนนายที่กำลังเข้าใกล้ จากนั้นก็ระดมยิงลูกศรเปลวไฟออกไป ซึ่งไม่รู้ว่ามันได้ฆ่าคนไปมากเท่าไรแล้ว แต่ก็ทำให้ภายในกองทัพโม่เยว่เกิดความโกลาหลได้ ประกอบกับการโจมตีของทหารม้าโลหิตทั้งสองข้างรวมไปถึงหลินเฟิงที่กำลังต่อสู้ในวงล้อมศัตรู กล่าวได้ว่าทางเสวี่ยเยว่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างสมบูรณ์
ทว่าทหารทั้งสองฝั่งที่เข้าโรมรันกันชุลมุน สำหรับมุมมองของเขา คงยากที่จะมองออกว่าใครคือทหารกล้า? แล้วใครจะเป็ฝ่ายได้เปรียบ?
หลินเฟิงอยู่ท่ามกลางความโกลาหลในกองทัพโม่เยว่ ขณะถือดาบอยู่ในมือ หนึ่งก้าวก็เท่ากับการสังหารหนึ่งคน
หลินเฟิงกำลังเดินผ่านกองทัพศัตรูไปเรื่อยๆ ใครก็ตามที่พยายามขวางทางหลินเฟิงย่อมกลายเป็ซากศพอยู่บนพื้นดิน
ไม่เพียงแค่หลินเฟิงเท่านั้น แต่ข้างๆ เขายังมีคนที่ติดตามเขามาด้วย และพวกเขาต่างก็พุ่งโจมตีอีกฝ่าย
ศึกระหว่างเสวี่ยเยว่และโม่เยว่ หากเขาสามารถย้อนเวลากลับไปได้และหลินเฟิงสามารถแสดงฝีมือได้เช่นนี้ เขาคงช่วยองค์หญิงต้วนซินเยี่ยเอาไว้ได้ ต้วนซินเยี่ยถูกจับตัวไปต่อหน้าต่อตาเขา ในขณะเดียวกันหากเกิดอะไรขึ้นกับต้วนซินเยี่ย ไม่เพียงแต่เขาจะหนีไม่พ้นจากความผิดเท่านั้น แต่ยังต้องหาข้ออ้างให้กับพวกขุนนางในเมืองหลวงที่อยู่ข้างเดียวกับหลิ่วชั่งหลันอีกด้วย เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรหลินเฟิงก็ต้องช่วยต้วนซินเยี่ยให้ได้
ดาบของหลินเฟิงที่ถือไว้ในมือซ้ายยังคงเรืองแสงอยู่เรื่อยๆ และทุกครั้งที่เขาฟาดฟันมันเพื่อสังหารผู้คน มันย่อมดูคล้ายกับเคียวยมทูต
ดาบของหลินเฟิงไม่เพียงแค่รวดเร็วเท่านั้น แต่มันยังทรงพลังอย่างยิ่ง กลิ่นอายแห่งความตายถูกปลดปล่อยออกมาอย่างหนักหน่วง เห็นได้ชัดว่าเ้าของดาบเล่มนี้ได้ผ่านการนองเืมามาก
หลินเฟิงหันไปเห็นชายหนุ่มที่มีใบหน้างดงามกว่าผู้หญิง ซึ่งตอนนี้ดูเยือกเย็นและไร้อารมณ์อย่างมาก
เขาสวมชุดสีขาวราวกับเทพแห่งความตาย คนผู้นั้นคือเวิ่นอ้าวเสวี่ย ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้คนในสำนักเทียนอี้ต่างหวาดกลัวเวิ่นอ้าวเสวี่ย เนื่องจากภายใต้ใบหน้าอันงดงามกว่าผู้หญิงนั้น กลับมีฝีมือเชิงดาบที่เฉียบคมอย่างมาก
บนเส้นขอบฟ้า แสงสว่างอันงดงามเริ่มปรากฏขึ้น เป็สัญญาณถึงวันใหม่กำลังมาถึง
ด้านนอกประตูเมืองต้วนเริ่น ทะเลอาวุธที่แตกหักถูกแทนที่ด้วยแอ่งเืและซากศพนับไม่ถ้วน
นอกจากนี้ซากศพยังคงสดและยังมีเืไหลออกจากร่างกายต่อเนื่อง จนกลายทะเลเืสีแดงฉานขึ้นมา
หลินเฟิงฟันดาบไปข้างหน้า เพียงดาบปลิดิญญาก็สังหารคนไปนับสิบ แต่หลินเฟิงนั้นกลับดูไม่ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย เขามองซากศพนับไม่ถ้วนที่ปกคลุมไปทั่วสนามรบ หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเศร้าโศก นี่แหละคือา… แม้จะสูงส่งมาจากที่ไหน เมื่ออยู่ที่นี่มันก็แค่ผักปลาเท่านั้น
“ตูม!!!”
เกิดเสียงดังสะท้านไปทั้งบรรยากาศ มาจากท้องฟ้าที่กว้างไกล
เพียงชั่วพริบตาทุกคนก็สั่นเทาั้แ่หัวจรดเท้า แล้วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นช้าๆ เพื่อมองไปที่ท้องฟ้าได้ถนัด
สุดสายตาบริเวณที่ดวงอาทิตย์ขึ้นกลับกลายเป็ทะเลเมฆสีดำ เมฆดำนี้ก่อตัวขึ้นจนคล้ายกับรูปร่างมนุษย์แต่แล้วมันก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นความมืดมิดพลันปกคลุมไปทั่วสนามรบอีกครั้ง เมื่อท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยเมฆสีดำเหล่านี้
เรือนผมและเสื้อผ้าของเขาล้วนเป็สีดำ เมื่อประกอบกับเมฆสีดำที่กำลังเคลื่อนมาเรื่อยๆ แล้ว ร่างก็คนผู้นี้เหมือนกับเป็ปีศาจ ซึ่งกำลังทอดสายตามองจากฟากฟ้า
“ช่างแข็งแกร่งอะไรเช่นนี้!”
หัวใจของหลินเฟิงกำลังเต้นระรัวขณะมองร่างเงาสีดำบนท้องฟ้าตาไม่กะพริบ ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แต่หลินเฟิงก็รู้สึกได้ว่าเขายังห่างชั้นกับคนผู้นั้นมากนัก
“กลุ่มคนเถื่อน กล้าดีอย่างไรมาต่อสู้กับโม่เยว่ของข้า!”
สิ้นเสียงของร่างเงาสีดำที่ปรากฏตัวออกมา ทันใดนั้นเขาก็ได้ใช้ฝ่ามือดันอากาศออกไป ทำให้พื้นดินเบื้องล่างพลันยุบลงไปตามแรงดันฝ่ามือนั้น
รอยฝ่ามือขนาดใหญ่บนพื้นมีขนาดพื้นที่พอๆ กับตำหนักขนาดเล็ก มันมีกลิ่นอายแห่งความตายสีดำและมันได้บดขยี้ทุกอย่างในบริเวณนั้นจนราบคาบ
“ตูม ตูม!”
ทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งทำให้หัวใจของเหล่าทหารเสวี่ยเยว่ต่างต้องสั่นระรัว
การโจมตีครั้งนี้ได้สังหารทหารเสวี่ยเยว่ไปพันนาย การโจมตีเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะพรากชีวิตผู้คนนับพัน เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ไม่อาจเห็นการโจมตีนี้ได้ทันเพราะถูกบดขยี้ไปก่อน พวกเขาต่างถูกสังหารโดยไม่มีโอกาสจะกรีดร้องออกมา
บนพื้นดินเกิดหลุมขนาดมหึมาสีดำสนิท ทหารเสวี่ยเยว่นับพันนายที่อยู่ใกล้ๆ กับรัศมีที่พลังโจมตีมาถึงล้วนตายไปอย่างน่าอเนจอนาถ
นอกจากนี้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ การโจมตีไม่ว่าจะคนหรือม้าต่างก็ถูกพัดปลิวออกไป
ใบหน้าของเหล่าทหารเสวี่ยเยว่กลายเป็ซีดขาว ยอดฝีมือผู้นี้เป็ใครกัน? การที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาไม่มีความกล้าที่จะต่อสู้ต่อไป
ผู้คนล้วนชะงักการเคลื่อนไหวของตนลง ทหารเสวี่ยเยว่และกองทัพโม่เยว่ก็หยุดเคลื่อนไหวลงเช่นกัน พวกเขาแค่เงยหน้าขึ้นและจ้องมองด้วยสายตาว่างเปล่าไปที่เ้าของเงาดำที่ปรากฏบนท้องฟ้า
“เย้!”
ผ่านไป่เวลาสั้นๆ เหล่าทหารโม่เยว่ต่างะโร้องออกมา จนผืนดินสั่นะเื
นั่นเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งของโม่เยว่ เพียงคนเดียวก็สามารถทำลายทั้งกองทัพได้
เมื่อหลินเฟิงได้ยินเสียงะโ ดาบของเขาก็สั่นไหวเล็กน้อย
แผนการของเขาได้ถูกทำลายลง เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าหากมีคนที่แข็งแกร่งสักคนก็สามารถส่งผลกระทบต่อาได้แล้ว และเพียงการโจมตีเดียวของเขาก็ได้คร่าชีวิตผู้คนไปนับพัน
หลินเฟิงกำหมัดแน่น เขาเกลียดนัก… เกลียดในความอ่อนแอของตัวเองที่ยังไม่แข็งแกร่งมากพอ และไม่สามารถเหนือกว่าใครในใต้หล้าได้
รอยฝ่ามือสีดำนั่นน่าจะเป็เจินหยวน เป็เจินหยวนของยอดฝีมือที่อยู่ระดับขอบเขตลี้ลับ นอกจากนี้ยังเป็เจินหยวนสีดำที่ทรงพลังอย่างมาก
ผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ขอบเขตลี้ลับสามารถยืมพลังจากหยวนชี่และเจินหยวนได้ เพียงพริบตาเงาดำนี้กลับสามารถทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้แล้ว นอกจากนี้ยังสามารถควบคุมเจินหยวนได้อย่างทรงพลัง คนคนนี้จะต้องอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตลี้ลับอย่างแน่นอน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าคุณชายต้าเผิงหลายเท่า
ผู้ฝึกยุทธ์สามารถอยู่เหนือใครในใต้หล้าและสามารถทำลาย์ได้ ซึ่งนี่ไม่ใช่เื่หลอกลวง แต่มีเพียงยอดฝีมือที่อยู่จุดสูงสุดของขอบเขตลี้ลับที่สามารถทำได้ ข่าวลือกล่าวว่าผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งสามารถบินบนท้องฟ้าได้ และสังหารผู้คนนับล้านได้ตามที่พวกเขา้า เมื่อมาเห็นกับตาตัวเองเช่นนี้แล้ว ข่าวลือพวกนั้นล้วนเป็จริงทั้งสิ้น
นี่คือโลกของทักษะยุทธ์ ยอดฝีมือในใต้หล้าจะอยู่เหนือกว่าผู้ใดทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็กองทัพ จักรพรรดิ หรือกฎเกณฑ์ หากแข็งแกร่งพอก็จงเหวี่ยงหมัดไป แค่นั้นก็สามารถทำลายพวกมันลงได้อย่างง่ายดาย
หลินเฟิง เขา้าไล่ตามในเส้นทางแห่งนักรบ เขาปรารถนาที่จะเหนือกว่าใครในใต้หล้า เขาจึงพยายามและไล่ตามทุกวิถีทางไม่หยุดหย่อน สักวันหนึ่งเขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นราวกับูเาที่ไม่อาจโค่นล้มลงมาได้
บนเส้นทางแห่งนักรบที่มีหนทางอันยาวไกล จำเป็ต้องมีความทะเยอทะยานและความมุ่งมั่น ไม่ว่าชีวิตของคนผู้นั้นจะประสบกับความยากลำบากมามากเท่าไรก็ไม่มีใครรู้ได้
ก็เหมือนกับในตอนนี้ที่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งกำลังมองพวกเขาลงมาจากก้อนเมฆด้วยสายตาเหยียดหยาม เขาสามารถทำลายกองทัพเสวี่ยเยว่ได้อย่างง่ายดาย
หรือว่าวันนี้กองทัพเสวี่ยเยว่จะถูกกวาดล้าง?
“หลิ่วชั่งหลัน เ้าต้านทานกองทัพของข้าได้ถึงขนาดนี้ ข้ารู้สึกนับถือเ้ายิ่งนัก เ้าเป็บุคคลที่โดดเด่น ดังนั้นข้าจะทำให้เ้าได้ตายอย่างสมเกียรติ ข้าอนุญาตให้เ้าปลิดชีวิตตัวเองได้ตามสะดวกเลย”
ร่างเงาสีดำบนท้องฟ้ากำลังจ้องหลิ่วชั่งหลันเขม็ง น้ำเสียงของเขาราวกับเทวทูต เมื่ออยู่เบื้องหน้าเขาแล้ว แม้แต่แม่ทัพสูงสุดก็ไม่มีความหมายสำหรับเขา
หลิ่วชั่งหลันเงยหน้าจ้องมองเงาดำบนท้องฟ้าอย่างไม่แยแส แล้วมองกลับไปที่เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“ศึกระหว่างสองอาณาจักร ยอดฝีมือของทั้งสองฝ่ายไม่อนุญาตให้เข้าร่วมศึกด้วย นี่เป็กฎของทั้งเก้าอาณาจักร และในวันนี้เ้ามาที่นี่ด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่งเพื่อกำราบทหารเสวี่ยเยว่ แล้วข้าจะยอมรับเื่นี้ได้อย่างไร?”
แววตาของหลิ่วชั่งหลันเต็มไปด้วยความโศกเศร้า อาณาจักรโม่เยว่ไม่อาจทำลายกฎข้อนี้ได้ เว้นเสียแต่ว่าเขาอยากทำลายอาณาจักรเสวี่ยเยว่และโม่เยว่จริงๆ ในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็โม่เยว่หรือเสวี่ยเยว่ก็ล้วนไม่ได้ยึดของอีกฝ่ายแต่อย่างใด ดังนั้นกฎนี้จึงไม่อาจทำลายได้ แน่นอนว่ามีข้อยกเว้นหนึ่งซึ่งฝ่ายเสวี่ยเยว่จะต้องยอมรับการกระทำของอีกฝ่าย
“ตกลง!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เปล่าเปลี่ยวของหลิ่วชั่งหลัน เหล่าทหารเสวี่ยเยว่ต่างเผยแววตาเศร้าสร้อยออกมา หลินเฟิงเองก็เช่นกัน
องค์หญิงถูกจับตัวไป ต้วนเทียนหลางปลุกเร้าก่อให้เกิดาภายใน ทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวาย ตอนนี้หลิ่วชั่งหลันได้ยอมรับความตายเงียบๆ เื้ัของาครั้งนี้มีอะไรปกปิดอยู่กันแน่ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้