วันถัดมา หลังจากหลินเยว่ได้ฝากฝังบางเื่กับฉินเหยาเหยาแล้วเขาจึงขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังจิ่งเต๋อเจิ้นกับท่านเฮ่อฉางเหอ
จิ่งเต๋อเจิ้นเป็เมืองแห่งเครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียงระดับโลกการที่สถานที่แห่งนี้สามารถพัฒนาจนกลายเป็ดินแดนอันดับหนึ่งในการผลิตเครื่องเคลือบนั้นมีสาเหตุที่สำคัญคือสถานที่แห่งนี้มีปริมาณน้ำค่อนข้างเพียงพอ ตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบผอหยางอีกทั้งมีแม่น้ำชางไหลผ่านตลอดทั้งเมืองจิ่งเต๋อเจิ้น และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือที่นี่เป็แหล่งหินพอร์ซเลนและดินเกาลินที่มีคุณภาพสูงและดินเกาลินก็เป็วัตถุดิบที่สำคัญในการผลิตเครื่องเคลือบ ดังนั้น ในเมื่อมีทั้งน้ำและดินพร้อมเช่นนี้จึงทำให้จิ่งเต๋อเจิ้นกลายเป็เมืองแห่งเครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียง
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ใน่ศตวรรษที่ 20มีาเกิดขึ้นอย่างยาวนานทำให้การผลิตเครื่องเคลือบอันรุ่งเรืองของจิ่งเต๋อเจิ้นต้องถดถอยลงความยิ่งใหญ่จึงกลายเป็เพียงอดีต ความรุ่งโรจน์ที่เคยมีจึงไม่หลงเหลืออีกต่อไป แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้ก็ยังเป็ดินแดนแห่งการผลิตเครื่องเคลือบที่สุดยอดที่สุดในประเทศ
หลินเยว่และท่านเฮ่อฉางเหอใช้เวลาเดินทางจากมณฑลยูนนานถึงมณฑลเจียงซีจนถึงจิ่งเต๋อเจิ้นโดยเครื่องบินทั้งหมด3 ชั่วโมง
เมื่อลงจากเครื่องบินแล้วหลินเยว่ก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะนี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่นี่ดูเหมือนว่าเขาจะได้กลิ่นอายของเครื่องเคลือบที่กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศรอบๆ ตัว
นี่เป็สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของคนที่ศึกษาการผลิตเครื่องเคลือบเลยนะ!
ท่านเฮ่อฉางเหอเหลือบมองหลินเยว่ชั่วครู่ท่านรู้สึกพอใจกับปฏิกิริยาของหลินเยว่มากทีเดียว เพราะมีเพียงคนที่ชื่นชอบในเครื่องเคลือบเท่านั้นจึงจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ท่านมองเห็นตัวเองตอนยังวัยรุ่นจากท่าทางของหลินเยว่เขาหลงใหลในเครื่องเคลือบเป็ที่สุด อีกทั้งยังพกพาความฝันอันเต็มเปี่ยมเพื่อเดินทางมาถึงสถานที่แห่งนี้
ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปถึง 60 ปีแล้วจิ่งเต๋อเจิ้นก็มีการพัฒนาในรูปแบบของตนเอง แต่ทว่าฝีมือการผลิตเครื่องเคลือบกลับแย่ลงทุกปี
ได้แต่หวังว่าจะมีคนที่มีความสามารถในการผลิตเครื่องเคลือบปรากฏขึ้นสักสองสามคน
ท่านเฮ่อฉางเหอได้แต่แอบรำพึงในใจแล้วพาหลินเยว่เดินตรงไปยังประตูทางออก
เนื่องจากฐานะของท่านเฮ่อฉางเหออีกทั้งการเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้เป็เพราะทางจิ่งเต๋อเจิ้นเป็ฝ่ายที่เชิญมาดังนั้น จึงมีรถมาเตรียมรอรับพวกเขาอยู่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว
เมื่อนั่งอยู่บนรถที่ถูกจัดเตรียมมาโดยเฉพาะท่านเฮ่อฉางเหอมองหลินเยว่ที่นั่งอยู่ด้านข้างแล้วพูดกับคนขับรถ “อย่าเพิ่งตรงไปที่โรงแรมผมขอชมเมืองก่อน ผมไม่ได้มาที่นี่มาหลายปีแล้ว”
เมื่อหลินเยว่ได้ยินประโยคนี้เขาก็รู้สึกซึ้งใจยิ่งนัก เขารู้ดีว่าอาจารย์ของตน้าให้เขาได้ผ่อนคลายก่อนเพราะหากเดินทางตรงไปโรงแรมทันที พวกเขาก็ต้องเผชิญกับกำหนดการต่างๆ ที่ถูกจัดไว้อย่างแน่นเอียดถึงแม้ว่าจะเป็การเข้าชมสถานที่ต่างๆ แต่ก็ต้องมีคนคอยติดตามอยู่ถึงตอนนั้นก็อาจจะรู้สึกไม่เป็ส่วนตัว
พวกเขามาถึง “เตาเผาแห่งสหัสวรรษ” ประติมากรรมของเมืองจิ่งเต๋อเจิ้นอย่างรวดเร็ว
หลินเยว่มองงานศิลปะที่มีลักษณะภายนอกเป็เปลวเพลิงสีแดงมีปลายแหลมราวกับการถือดาบชี้ขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ก็ดูคล้ายกับช่อดอกไม้แห่งเปลวเพลิงอยู่เหมือนกันยิ่งไปกว่านั้นมันก็เสมือนกับเปลวเพลิงขนาดั์ที่ซึมซับหยาดเหงื่อแห่งความหวังของช่างผลิตเครื่องเคลือบมาเป็เวลานับพันปี
เมื่อคิดถึงความยากลำบากของช่างผลิตเครื่องเคลือบหลินเยว่จึงได้แต่ถอนหายใจไม่รู้ว่าเครื่องเคลือบที่สวยงามชิ้นหนึ่งจะต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อของผู้คนมาตั้งเท่าไร
และเวลานี้เอง หลินเยว่พลันคิดถึงบทกลอน“จิ่งเต๋อเจิ้น” บทหนึ่งขึ้นมา บทกลอนได้พรรณนาไว้ดังนี้
สองมือหยาบขุดดินไร้รอยยิ้ม
เพราะเครื่องเคลือบดินจึงกลายเป็เมืองโปรดของฮ่องเต้
โด่งดังข้ามมหาสมุทรมาหลายยุคสมัย
จากเส้นทางขรุขระเพื่อเสาะหาดินเกาลินกลายเป็เส้นทางอันราบรื่นสดใส
เื้ัของความงดงามมักจะเต็มไปด้วยความยากลำบากเสมอ
เมื่อชมภาพรวมของจิ่งเต๋อเจิ้นจนครบแล้วคนขับรถจึงพาหลินเยว่และท่านเฮ่อฉางเหอเดินทางเข้าที่พัก
ทางจิ่งเต๋อเจิ้นจัดที่พักเป็โรงแรมระดับห้าดาวให้กับท่านเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่และนี่เป็ครั้งแรกที่หลินเยว่ได้เข้าพักโรงแรมหรูขนาดนี้ตอนที่หลินเยว่ไปเถิงชงกับเฮ่อโย่วจ้าง พวกเขาเข้าพักในโรงแรมเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งไม่สามารถนำมาเทียบกับโรงแรมระดับห้าดาวนี้ได้เลย
เมื่อพนักงานต้อนรับพาท่านเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่มายังห้องพักสองห้องที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งตรงกันข้ามกันพวกเขาจึงได้ยินเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ” ดังสนั่นขึ้นมาจากทางด้านข้าง
“ตาแก่เฮ่อ ฮ่าๆ ...... ตอนมองคุณจากทางด้านหลัง ผมก็ถึงกับจำคุณไม่ได้เลย”
หลินเยว่หมุนตัวหันกลับไปมองจึงพบว่าเป็ชายชราอายุ 60 กว่าปีที่มีสีหน้าสดใสแข็งแรงอิ่มเอิบ แต่มีรูปร่างค่อนข้างอ้วนและไม่ค่อยสูงนักคนหนึ่งเขาอยู่ในชุดเสื้อคอจีนแบบดั้งเดิม มองท่านเฮ่อฉางเหอด้วยสายตาตื่นเต้นดีใจ
เมื่อท่านเฮ่อฉางเหอมองเห็นอีกฝ่ายเขาก็มีสีหน้าตื่นเต้น และก็หัวเราะ “ฮ่าๆ” ออกมาเสียงดังเช่นกัน “ตาแก่เจี่ยฮ่าๆ...... พวกเราสองคนไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้วล่ะ”
ท่านเฮ่อฉางเหอรีบสาวเท้าเข้าไปหาชายชราท่านนั้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับกอดกันแน่นมิตรภาพระหว่างชายชราทั้งสองก็ทำให้คนที่มองเห็นเหตุการณ์นี้รู้สึกซาบซึ้งตามไปด้วย
“น่าจะสัก 7 ปีได้”ท่านเฮ่อฉางเหอทุบหน้าอกท่านเจี่ยอย่างแรงทันที
“7 ปี3 เดือนกับอีก 5 วัน” ท่านเจี่ยหัวเราะฮ่าๆ
“คุณก็ยังช่างจดช่างจำเหมือนเดิม แก่จนถึงขนาดนี้แล้วก็ยังแก้โรคนี้ไม่ได้เลย”
“คุณก็ยังแก้โรคใจร้อนอารมณ์เสียง่ายไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรอ?”
เมื่อพูดจบ ชายชราทั้งสองท่านก็สบตากันแล้วหัวเราะฮ่าๆออกมาเสียงดังลั่น
“เด็กหนุ่มจางฮุยิลูกศิษย์ของคุณอยู่ไหนล่ะ?”เมื่อเสียงหัวเราะผ่านไป ท่านเฮ่อฉางเหอจึงถามขึ้น
“เขาอยู่ในห้องพักของเขาน่ะสิพวกเรามาถึงั้แ่เมื่อวานแล้ว แล้วลูกศิษย์ของคุณล่ะ?ได้ยินมาว่าลูกศิษย์ของคุณก็ไม่เลวเลย”
ขณะที่พูด ท่านเจี่ยก็มองไปยังรอบๆและสุดท้ายก็หยุดสายตาลงบนตัวของหลินเยว่
“ก็หาลูกศิษย์ที่ถือว่าไม่เลวได้คนหนึ่ง หลินเยว่มานี่สิ มาคารวะท่านเจี่ย”
ท่านเฮ่อฉางเหอหันศีรษะมาเรียกหลินเยว่ที่อยู่ทางด้านหลังของตน
หลินเยว่เดินก้าวขึ้นมาด้านหน้า แล้วโค้งคำนับอย่างนอบน้อมให้กับท่านเจี่ยแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับท่านเจี่ย”
ท่านเจี่ยกวาดตามองหลินเยว่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ยชมขึ้น“ไม่เลว ไม่เลว ตาแก่เฮ่อ คุณก็สายตาไม่เลวทีเดียว”
“ก็พอไหว ไอ้หนุ่มคนนี้ยังด้อยกว่าจางฮุยิอีกเยอะ”ท่านเฮ่อฉางเหอพูดตอบ
“จางฮุยิอายุเท่าไรแล้ว แล้วเด็กคนนี้เพิ่งอายุเท่าไรกันคุณคงไม่ได้กลัวว่าจะแพ้จึงต้องจงใจพูดแบบนี้เพื่อหาทางออกให้กับตัวเองหรอกนะ?”
ท่านเจี่ยมองท่านเฮ่อฉางเหออย่างสงสัย
“จะเป็ไปได้อย่างไรล่ะ! ผมเป็คนนิสัยแบบนั้นหรอ? ผมก็แค่พูดตามความเป็จริงเท่านั้นเอง”
“ฮ่าๆ...... ไปกันวันนี้พวกเราสองสหายไปดื่มกันสักหน่อย ไม่เมาไม่กลับนะ”
“คุณสิบคนรวมกันยังคอแข็งสู้ผมคนเดียวไม่ได้เลยแล้วผมยังต้องกลัวคุณอีกหรือ?”
……
ท่านเฮ่อฉางเหอและหลินเยว่เพิ่งลงมาจากเครื่องบินยังไม่ทันได้พักผ่อนเลยสักนิดก็ถูกท่านเจี่ยดึงตัวออกไปทานข้าวด้วยกันระหว่างรับประทานอาหาร หลินเยว่จึงได้พบกับจางฮุยิลูกศิษย์ของท่านเจี่ยเขาเป็หนุ่มวัยกลางคนอายุประมาณ 30 กว่าปีหน้าตาดูฉลาดหลักแหลม เป็คนลักษณะเดียวกันกับท่านเจี่ยที่ดูฉลาดเ้าเล่ห์โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาคู่นั้นของเขาที่เป็ประกายสะดุดตาได้ยินมาว่าตอนที่เขาอายุเกือบสิบขวบก็ถูกท่านเจี่ยเห็นแววแล้ว
ระหว่างนี้ท่านเฮ่อฉางเหอและท่านเจี่ยก็พูดถึงมิตรภาพที่มีต่อกันในสมัยก่อนทำให้หลินเยว่รู้ว่าชื่อของท่านเจี่ยคือเจี่ยเหวยเกิ่ง รู้จักกับท่านเฮ่อฉางเหอั้แ่เมื่อ60 ปีก่อน พวกเขาทั้งสองอยู่ที่จิ่งเต๋อเจิ้นด้วยกันมา3 ปีและศึกษาการผลิตเครื่องเคลือบมาด้วยกัน ระหว่าง 3 ปีนี้ที่พวกเขาต้องเผชิญกับปัญหาและความทุกข์ยากด้วยกันจึงทำให้พวกเขาก่อเป็มิตรภาพที่แสนยาวนาน
ในสมัยก่อน การเรียนรู้การพิสูจน์เครื่องเคลือบจะต้องเรียนรู้กรรมวิธีการผลิตเครื่องเคลือบให้ได้ก่อนซึ่งจุดนี้หลินเยว่ก็รู้สึกเห็นด้วยเช่นกันเพราะหากไม่รู้แม้กระทั่งว่าการเผาเครื่องเคลือบต้องทำอย่างไรแล้วจะมาพิสูจน์เครื่องเคลือบได้อย่างไรล่ะ ที่ท่านเฮ่อฉางเหอพาหลินเยว่มาจิ่งเต๋อเจิ้นในครั้งนี้ก็เพื่อการนี้โดยเฉพาะท่านไม่ได้้าให้หลินเยว่สามารถผลิตเครื่องเคลือบเป็แต่หลินเยว่จะต้องรู้ขั้นตอนในการผลิตเครื่องเคลือบรวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องบางส่วนในขณะเดียวกันก็จะต้องเรียนรู้กระบวนการผลิตเครื่องเคลือบปลอม และจุดที่จะปลอมแปลงได้ง่ายอีกด้วย
ชายชราทั้งสองท่านสนทนากันอย่างมีความสุขอยู่ด้านข้างส่วนหลินเยว่และจางฮุยิก็เริ่มคุยกันขึ้นมาบ้างหลินเยว่พบว่าจางฮุยิก็เป็คนที่คุยสนุกคนหนึ่ง ดูเหมือนว่าคนในวงการวัตถุโบราณหากไม่ใช่พวกนักวิชาการแล้วก็ล้วนจะเป็คนคุยเก่งกันทั้งสิ้นเพราะมันเป็ผลจากการฝึกต่อรองราคาจากผู้ขายวัตถุโบราณนั่นเอง
อาหารมื้อนี้ก็ทานกันไปถึง 3 ชั่วโมงถึงได้รู้สึกเต็มอิ่ม
ท่านเฮ่อฉางเหอและท่านเจี่ยเหวยเกิ่งก็เมาพับไปเรียบร้อยแล้วหลินเยว่และจางฮุยิจึงได้แต่พาชายชราทั้งสองท่านกลับเข้าห้องพักของแต่ละคน
เมื่อประคองอาจารย์ของตนวางไว้บนเตียงเรียบร้อยแล้วหลินเยว่จึงตัดสินใจที่จะออกไปเดินเล่นด้านนอก เพราะหลังจากนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้