มู่หลิงจูตัสินใจเช่นนั้น แววตาลุกวาว น้ำเสียงดังขึ้นไปทั่วห้อง ทำให้ทุกคนที่อยู่ต่างตกตะลึงกันทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัครเสนาบดีมู่ถึงกับถลึงตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง ราวกับไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินกับหูตัวเอง
ทันใดนั้นใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความเสียใจ ตอนนี้ท่านอ๋องหรงประกาศแล้วจะแต่งกับมู่หลิงจู แม้อัครเสนาบดีมู่จะมีฐานะเป็ถึงอัครเสนาบดี แต่ก็มิกล้าล่วงเกินท่านอ๋องหรง
หลังจากซูปี้ชิงเสียชีวิตแล้ว อัครเสนาบดีมู่รู้สึกผิดหวังในตัวจูเอ๋อร์ไม่น้อย เพราะก่อนหน้านี้นางเป็บุตรสาวที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด บัดนี้นางจะแต่งงานกับบุรุษรุ่นราวคราวพ่อ เขาจึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
คำตอบของจูเอ๋อร์แสดงให้เห็นถึงการเข้าใจโลก ทว่าเขายังรู้สึกเสียดายแทนบุตรสาว
มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วเม้มปากแน่นที่ได้ยินมู่หลิงจูรับปากแต่งงานกับท่านอ๋องหรง แต่ด้วยการรู้จักนิสัยของมู่หลิงจูเป็อย่างดี เกรงว่าหากมู่หลิงจูแต่งเข้าไปในจวนท่านอ๋องหรงแล้ว พระชายาท่านอ๋องหรงคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว…
“ฮ่าๆๆๆ คุณหนูสี่มู่เป็สตรีที่งดงามและฉลาดเฉลียว หากแต่งเข้าไปอยู่ในจวนแล้ว เปิ่นหวางจะปฏิบัติต่อเ้าเป็อย่างดี” ท่านอ๋องหรงยิ้มน้อยๆ
จากนั้นท่านอ๋องหรงยกมือประสานมาทางอัครเสนาบดีมู่ “ท่านเสนาบดี ไม่นานมานี้หลานสะใภ้แต่งกับฉู่เอ๋อร์ เรียกว่าข้าเสด็จลุง บัดนี้หลิงจูจะแต่งกับเปิ่นหวางแล้ว ความสัมพันธ์ของพวกเรายิ่งแแ่ขึ้นไปอีกขั้น”
อัครเสนาบดีมู่ฟังแล้วได้แต่พยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน ฝืนยิ้มออกมา “กระหม่อมเชื่อว่าท่านอ๋องหรงย่อมเป็สวามีที่ดีของบุตรสาวกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“แน่นอนอยู่แล้ว เื่นั้นมิต้องห่วง ประเดี๋ยวหาฤกษ์งามยามดี เปิ่นหวางจะให้คนเตรียมเกี้ยวแปดคนแบกมารอรับจูเอ๋อร์แต่งเข้าจวน”
อัครเสนาบดีมู่ก้มหน้ารับคำ จากนั้นส่งสายตาไปทางลัวหนิงอวี่
ลัวหนิงอวี่รีบคว้าปฏิทินฤกษ์ยามเปิดดู ก่อนหันมาเอ่ยขึ้นกับอัครเสนาบดีมู่และท่านอ๋องหรงว่า “เดือนหน้าวันที่แปดถือเป็วันฤกษ์มงคลเพคะ”
“ดี เช่นนั้นเป็วันที่แปดเดือนหน้า หลิงจูมีอะไรอยากเสริมไหม?” ท่านอ๋องหรงมองหน้ามู่หลิงจู
มู่หลิงจูส่ายหน้าแล้วย่อตัวทำความเคารพ “ทุกอย่างแล้วแต่ท่านอ๋องหรงตัดสินใจเพคะ”
“ได้ อย่างนั้นก็เอาตามนี้ วันนี้หลานสะใภ้เดินทางมาเยี่ยมครอบครัว เปิ่นหวางไม่รอรบกวนอัครเสนาบดีมู่แล้ว ขอตัวกลับก่อน” สิ้นเสียงท่านอ๋องหรงเดินออกไป โดยเหลือสินสอดทองหมั้นหลายหีบวางเรียงรายอยู่เต็มห้องโถงไปหมด
ภายนอกภายในห้องโถงเวลานี้ กลับเงียบสงัดไร้เสียงใด
มู่อวิ๋นจิ่นปรับอารมณ์ให้กลับสู่ภาวะปกติเป็ที่เรียบร้อย หันมาแสยะยิ้มให้อัครเสนาบดีมู่ “ท่านพ่ออย่าได้ร้องไห้ให้บุตรสาวไปเลย สรรพสิ่งล้วนถูกเบื้องบนกำหนดไว้สิ้น ท่านอ๋องหรงผู้นั้นแม้อายุอานามเยอะไปเสียหน่อย แต่หากจูเอ๋อร์ได้แต่งไปแล้วรักใคร่นางจริง ย่อมถือเป็วาสนาของนางโดยแท้”
“เห้อ ยากเหลือที่น้องสาวของพ่อจะคิดได้เช่นนั้น ท่านอ๋องหรงผู้นี้ยังถือว่าเป็คนจิตใจดีมีเมตตา ทว่ามีอนุภรรยาแล้วห้าหกคน หากน้องสาวของเ้าแต่งไปในฐานะสนมเช่อเฟย อย่างน้อยก็ต้องระวังคนพวกนั้นให้มาก” อัครเสนาบดีมู่ระบายความในใจ
“จูเอ๋อร์จะดูแลระวังตนเองให้ดี” มู่หลิงจูพูดยิ้มๆ ก่อนกวาดสายตาไปที่มู่อวิ๋นจิ่น “ท่านพี่ หากจูเอ๋อร์แต่งเข้าไปที่จวนท่านอ๋องหรงแล้ว พี่ก็เรียกข้าเป็น้องสาวดังเดิมแล้วกัน ไม่ต้องเรียกว่าน้าสะใภ้ก็ได้ มิอย่างนั้นพวกเราสองคงดูเหินห่างกันมากเกินไป”
มู่อวิ๋นจิ่นมองกลับด้วยหางตา เดิมทีนางคิดสงสารมู่หลิงจูที่ต้องแต่งกับบุรุษอายุรุ่นราวคราวพ่อ มาตอนนี้ได้ฟังน้ำเสียงที่ยกตนข่มท่าน ความสงสารอาทรพลันมลายหายไปจนสิ้น
สันดอนขุนง่าย สันดานขุดยากเสียจริง
“น้องสี่มิต้องกังวลไป เ้าเป็ถึงสนมเช่อเฟยท่านอ๋องหรง มิต้องรอให้พี่เรียกน้าสะใภ้หรอก” มู่อวิ๋นจิ่นเสียดสีประชดประชัน
อัครเสนาบดีมู่เห็นบุตรสาวทั้งสองเริ่มบรรเลงฝีปากใส่กัน ก็รีบกลับหลังเดินไปเรือนด้านหลัง จากนั้นบรรยากาศภายในห้องโถงกลับผ่อนคลายลงในไม่ช้า
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอยู่ในสายตาของมู่เซี่ยโหรวผู้เป็คุณหนูห้า นางเดินเข้ามาประชิดมู่หลิงจูพร้อมเผยรอยยิ้ม “พี่สี่ ท่านอ๋องหรงผู้นั้นดูแลตัวเองดูหนุ่มแน่นกว่าท่านพ่อของพวกเราเสียอีก”
“เ้า……” มู่หลิงจูถลึงตาใส่มู่เซี่ยโหรวที่ตั้งใจแขวะเสียดสี
“โหรวเอ๋อร์กลับเรือนกันเดี๋ยวนี้ เ้านี่พูดจาเลอะเทอะไปเรื่อยแล้ว” ลัวหนิงอวี่เห็นสถานการณ์ไม่ดี รีบตำหนิมู่เซี่ยโหรวด้วยตัวนางเองก่อน
มู่เซี่ยโหรวเบะปากเบือนหน้า หันเดินไปที่มู่อวิ๋นจิ่นจับไม้จับมือ “พี่สามเห็นด้วยกับที่น้องพูดหรือไม่? ท่านอ๋องหรงดูแลตัวเองดูหนุ่มแน่น กว่าท่านพ่อของพวกเราเสียอีกว่าไหม?”
เมื่อเห็นมู่เซี่ยโหรวเอ่ยถามถึงสองครั้งสองครา จ้วงอวี้เหยียนได้แต่ถอดใจ เดินเข้าไปข้างมู่หลิงจู “น้องสี่อย่าเอาคำพูดนี้มาใส่ใจไปเลย น้องห้าอายุยังน้อย พูดจาเลอะเทอะไปเรื่อย”
“พี่สะใภ้คิดมากไปแล้ว ข้าไม่ถือสาน้องห้าหรอก อีกสองปีก็ถึงพิธีวัยปักปิ่นของน้องห้าแล้ว ถึงตอนนั้นในฐานะพี่สาว ข้าจะช่วยหาบุรุษที่เหมาะสมแต่งกับนาง” มู่หลิงจูยื่นมือลูบหัวมู่เซี่ยโหรวอย่างอ่อนโยน ทว่าสายตากับแฝงความแค้น
พอมู่เซี่ยโหรวเห็นสายตาพิฆาตนั้นถึงกับผงะถอยหลังไปก้าวหนึ่ง รีบวิ่งไปหลบด้านหลังลัวหนิงอวี่ “ท่านแม่ พวกเรากลับเรือนกันเถอะ”
“ได้สิ แม่จะพาเ้ากลับเรือน ให้พี่สาวทั้งสองของเ้าที่ไม่ได้พบหน้ากันมานาน ได้มีเวลาสนทนากัน” ลัวหนิงอวี่เห็นสถานการณ์ครุกรุ่นจึงรีบเอ่ยขึ้น
ก่อนลัวหนิงอวี่เดินออกห้องโถง ได้กำชับให้บ่าวไพร่เก็บสินสอดทองหมั้นตามออกไป ไม่นานนัก ภายในห้องโถงว่างเปล่า เหลือเพียงมู่อวิ๋นจิ่น มู่หลิงจูและจ้วงอวี้เหยียนเพียงสามคน
จ้วงอวี้เหยียนที่ยืนคั้นอยู่ระหว่างกลาง ััได้ถึงความไม่ถูกกันของพี่น้องคู่นี้ จึงถอยมานั่งอยู่ด้านข้าง คอยจับตามู่อวิ๋นจิ่นและมู่หลิงจูแทน
“พี่สามกลับจวนสักครั้งหนึ่งไม่ใช่เื่ง่าย เอาเป็ว่าอยู่ทานอาหารกลางวันกันก่อน อย่างไรเสียคุณหนูฉินกลับมาแล้ว ย่อม้าให้องค์ชายหกใช้เวลาร่วมกัน” มู่หลิงจูเหน็บแนบ
มู่อวิ๋นจิ่นนั่งนิ่งขมวดคิ้วขึ้น คิดในใจว่ามู่หลิงจูเริ่มสันดานวางอำนาจบาตรใหญ่อีกแล้ว
เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งสูญเสียอำนาจไป พอเห็นมู่อวิ๋นจิ่นได้แต่ก้มหัวหดกระดอง มาตอนนี้ท่านอ๋องหรงเพิ่งวางสินสอดทองหมั้นยังไม่ทันข้ามวัน สันดานเดิมกลับปรากฏกายขึ้นทันที
“น้องสี่ไม่ต้องห่วงพี่ไปหรอก เมื่อครู่ท่านพ่อเพิ่งบอกไปหยกๆ จวนท่านอ๋องหรงมีอนุภรรยาถึงห้าหกคนมิใช่หรือ? น้องเอาเวลาไปห่วงตัวเอเสียดีกว่า ไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนจะได้ปรนนิบัติสักกี่ครั้งเชียว” มู่อวิ๋นจิ่นยกน้ำชาขึ้นจิบพลางแสยะยิ้ม
มู่หลิงจูสีหน้าถอดสี สะงึกจนพูดไม่ออก ขบฟันด้วยความโมโห “มู่อวิ๋นจิ่น ข้าจะดูว่าเ้าจะจองหองไปได้อีกเสียกี่น้ำ!”
สิ้นเสียง มู่อวิ๋นจิ่นสะบัดหน้าเดินตึงตังออกห้องโถงไป
เมื่อเห็นมู่หลิงจูมิอาจระงับความเกรี้ยวกราดมิอยู่ มู่อวิ๋นจิ่นแอบต่อว่าในใจ “สมน้ำหน้า”
“เห้อ พวกเ้าเป็ครอบครัวเดียวกัน ทำไมช่างน่าแปลกขนาดนี้” จ้วงอวี้เหยียนส่ายหน้าให้กับมู่อวิ๋นจิ่น
“พี่อวี้เหยียน พี่ชายของน้องน่าแปลกเหมือนกันไหมเล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นกะพริบตาปริบๆ มองไปทางจ้วงอวี้เหยียน
จ้วงอวี้เหยียนยิ้มมุมปาก “่นี้อวิ๋หานถูกฝ่าาเรียกเข้าเฝ้าและแต่งตั้งให้เป็หัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ ดูแลจัดการองครักษ์ทั้งหมดในพระราชวัง เขายุ่งเสียจนกระทั่งมิได้เห้นหน้าคาดตาเลย”
“มีเื่นี้เกิดขึ้นด้วยหรือ?” มู่อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วด้วยความใ
“ใช่น่ะสิ นับถึงวันนี้เป็เวลาสามวันเต็มๆ แล้ว…”
……
มู่อวิ๋นจิ่นมิได้อยู่ทานข้าวกลางวันที่จวนอัครเสนาบดีมู่ แต่เลือกพูดคุยกับจ้วงอวี้เหยียนอย่างเดียว จากนั้นเดินทางกลับจวนองค์ชายหก
ระหว่างที่เดินทางกลับ จื่อเซียงพูดในสิ่งที่อัดอั้นใจอยู่นานออกมา “คุณหนูคิดว่าคุณหนูสี่ได้รับผลกรรมแล้วหรือยังเอ่ย เมื่อก่อนนางจองหองพองขน บัดนี้ต้องแต่งงานกับบุรุษอายุสูงคนหนึ่ง”
“ทำไมเ้าไม่คิดว่านางใช้โอกาสแต่งงานกับท่านอ๋องหรงในครั้งนี้ พลิกชีวิตขึ้นมาใหม่เล่า?” มู่อวิ๋นจิ่นหันมองพร้อมกับยิ้มจางๆ
“บ่าวไม่คิดเช่นนั้นเ้าค่ะ เมื่อก่อนบ่าวได้คุยกับแม่นมเสิ่น แม่นมเสิ่นเล่าให้บ่าวฟังว่า พระชายาท่านอ๋องหรงเป็บุตรสาวของอดีตท่านแม่ทัพฉิน นับแล้วมีศักดิ์เป็ท่านป้าของคุณหนูฉิน ในตอนนี้อำนาจและชื่อเสียงของคุณหนูฉินระบือในอาณาจักรซีหยวน ทั้งยังมีตระกูลฉินคอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง คุณหนูสี่ย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของพระชายาท่านอ๋องหรงอย่างแน่นอนเ้าค่ะ”
เมื่อได้ฟังที่จื่อเซียงเล่า สายตามู่อวิ๋นจิ่นกลับเบิกโพลงอาจจะเชื่อว่าเป็เช่นนี้ “ที่เล่ามาเป็ความจริงหรือ?”
“จริงแท้แน่นอน บ่าวมิกล้าปั้นน้ำเป็ตัวเ้าค่ะ” จื่อเซียงพยักหน้าแสดงความมั่นใจ
มู่อวิ๋นจิ่นขบฟันเม้มริมฝีปาก ย้อนคิดเหตุการณ์ที่ท่านอ๋องหรง เอ่ยถึงพระชายาด้วยน้ำเสียงไม่แยแส นึกไม่ถึงเลยว่าพระชายาท่านอ๋องหรงผู้นี้กลับมีอำนาจบารมีไม่น้อยเลย
ตระกูลฉินย่อมช่วยเหลือคนในตระกูลอยู่แล้ว
ระหว่างที่ครุ่นคิดเรียบเรียงเื่ราว จื่อเซียงที่ยืนอยู่ด้านข้างหยุดฝีเท้าลง ยืนมือสะกิดมู่อวิ๋นจิ่น “คุณหนู รีบดูเร็วเข้าเ้าค่ะ”
เสียงเรียกของจื่อเซียงระคนความโมโหโกรธาเข้าไปด้วย
มู่อวิ๋นจิ่นจึงได้สติเงยหน้าขึ้นมองเห็นคน เดินเข้าไปในโรงน้ำชาิเซียง ทำให้นางมองดูด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
ภาพที่มู่อวิ๋นจิ่นเห็นคือฉู่ลี่กับฉินมู่เยว่เดินมาด้วยกัน และสองคนนั้นก็เห็นมู่อวิ๋นจิ่นจากระยะไกลเช่นกัน
ฉู่ลี่มองมู่อวิ๋นจิ่นอยู่หน้าประตูโรงน้ำชาิเซียง แม้นางสวมอาภรณ์เรียบง่ายยืนนิ่งๆ ทว่ากลับเผยความงามให้แผ่ซ่านรอบกาย ดึงดูดสายตาจากทุกทิศทุกทางให้หันมาจับจ้อง
ฉินมู่เยว่สังเกตเห็นสายตาของฉู่ลี่ กลับแสยะยิ้ม โบกมือให้มู่อวิ๋นจิ่น “พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่น ช่างบังเอิญเสียจริงที่ได้พบที่นี่”
มู่อวิ๋นจิ่นฝืนยิ้มมุมปากเป็มารยาท เดินเข้าไปใกล้ฉินมู่เยว่ “ใช่ บังเอิญจริงเชียว”
“น้องกับพี่ลี่เพิ่งทานอาหารกลางวันด้วยกันมา เวลานี้น้องเตรียมไปวัดสุ่ยอวิ๋นพบท่านอาจารย์ไฮว๋หยวนกับพี่ลี่ ท่านอาจารย์ได้ยินว่าน้องกลับมาแล้ว จึงอยากเล่นหมากกระดานด้วยกัน” ฉินมู่เยว่เอ่ยข่มอย่างสาแก่ใจ
“ใช่แล้ ในเมื่อพบกันโดยบังเอิญ พี่สะใภ้อวิ๋นจิ่นจะเดินทางไปด้วยกันไหม?” ฉินมู่เยว่แสร้งถามขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนมองไปที่ฉู่ลี่ที่ยืนด้านข้าง ด้วยแววตาเ็า “ไม่ล่ะ หากต้องไปด้วย ไม่สู้กลับไปนอนที่จวนยังดีกว่า”
“น่าเสียดายเหลือเกิน อย่างนั้นน้องกับพี่ลี่ขอตัวไปก่อน พรุ่งนี้น้องค่อยไปเยี่ยมพี่สะใภ้ที่จวนแล้วกัน” ฉินมู่เยว่พูดจบก็ะโขึ้นหลังม้าไป
พอเห็นฉู่ลี่ยืนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม มู่อวิ๋นจิ่นมองด้วยหางตา ยิ้มเย้ยขึ้นมา “องค์ชายหกทำไมยังไม่ไปอีกเพคะ?”
“เปิ่นหวงจื่อกับนางไม่ได้มีอะไรกันเสียหน่อย” ฉู่ลี่รู้สึกไม่สงบใจที่เห็นใบหน้ายิ้มเย้ยของมู่อวิ๋นจิ่น
สิ้นเสียงแล้ว ฉู่ลี่ยังแปลกใจกับตัวเองยิ่งนัก เหตุใดต้องอธิบายความรู้สึกให้มู่อวิ๋นจิ่นรู้ด้วย เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน กลับรู้สึกไม่สบายใจถึงเพียงนี้
“มีหรือไม่มี ไม่สำคัญแม้แต่น้อย อย่างไรเสียความสัมพันธ์ของเราสอง มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้อยู่แก่ใจ ขอเพียงไม่ก้าวก่ายชีวิตของกันและกันก็เพียงพอแล้ว”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้