ชายหนุ่มฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก ในเมื่อสวมหน้ากากแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นใบหน้า แล้วเขาจะปล่อยให้มีช่องโหว่ใหญ่ขนาดนี้ได้อย่างไร
แม้ซ่งอวี้จะคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจต้านทานความรู้สึกเสียดายในใจได้
ในนิยายมักจะบรรยายไว้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากล้วนหล่อเหลา คิดว่าวันนี้จะได้ประสบพบเจอด้วยตนเองสักครั้งเสียอีก ดูเหมือนว่านางจะคิดมากเกินไปแล้ว
ซ่งอวี้เดินกลับมาหาเสี่ยวหมาน ในมือเหลือเพียงน่องไก่หนึ่งน่อง เสี่ยวหมานมองไปที่นางแล้วยื่นกระต่ายในมือที่เหลือเพียงครึ่งหนึ่งให้ "คุณหนูทานสิเ้าคะ วันนี้ตอนออกจากเรือนข้ากินเยอะมาก ตอนนี้ยังไม่หิว"
เจตนาของเสี่ยวหมานคือให้ซ่งอวี้ทาน เพื่อเจตนานี้นางถึงขั้นพูดโกหกเล็กน้อยว่ายังไม่หิว ทั้งที่สายตาที่จับจ้องกระต่ายของนางเปี่ยมไปด้วยความอดกลั้น กลืนน้ำลายเป็ครั้งคราว ทำสีหน้าคล้ายอยากกินเป็อย่างมาก
ซ่งอวี้ดันกระต่ายกลับคืนให้เสี่ยวหมาน พร้อมกับบอกนางว่า "ข้าไม่หิว เ้ากินเองเถอะ"
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ได้ยินทั้งคู่จึงนำสัตว์ที่เขายังไม่ได้ย่างมาให้ "ย่างเ้านี่" เสียงทุ้มต่ำราวกับเสียงเครื่องดนตรีโบราณที่ถูกบรรเลงอย่างไพเราะใต้แสงจันทร์ในฤดูคิมหันต์
ซ่งอวี้กับเขาควรจะเป็แค่คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน ทว่าชั่วขณะหนึ่งนางกลับรู้สึกว่าตนเคยเจอเขามาก่อน
ชายหนุ่มวางเหยื่อของเขาลงแล้วเดินกลับไปนั่งที่เดิมแกล้งทำเป็มองไม่เห็นแววตาสับสนของซ่งอวี้ เขาเม้มริมฝีปาก มีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้ก่อตัวขึ้นในใจ
เสี่ยวหมานไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าระหว่างทั้งสองคนมีบรรยากาศแปลกๆ นางรู้เพียงว่ามีสัตว์ให้ย่างและกินต่อเท่านั้น นางขยันขันแข็งยิ่งกว่าทุกคน ยิ้มจนตาหยีแล้วพูดขึ้น "คุณหนูเ้าคะ คุณหนูทานกระต่ายรองท้องก่อน ข้าย่างเนื้อนี่เสร็จเมื่อไร คืนนี้พวกเราก็จะได้ทานจนอิ่มท้องแล้วเ้าค่ะ"
นางพูดราวกับว่าปกติกินไม่อิ่มท้องอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งอวี้ถอนสายตาที่มองตามชายหนุ่มกลับมา แล้วพยักหน้าให้เสี่ยวหมาน
เพราะเหตุใดกัน? นางรู้สึกว่าเสียงนั้น แววตานั้น ตนเคยพบเจอและเคยเห็นมาก่อน แต่ไม่ว่าจะนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
เสี่ยวหมานตัดเนื้อเป็ชิ้นๆ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ทำเสร็จ นางเอาเนื้อไปย่างบนกองไฟ ราดน้ำผึ้งเป็ครั้งคราว ทั้งยังโรยผงยี่หร่าลงไปเล็กน้อย ไม่นานอาหารก็ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
กลิ่นหอมนั้นทำให้ซ่งอวี้ถูกความหิวครอบงำในทันที จนนางไม่มีเวลาไปคิดเื่อื่น นางหิวมานานแล้วจึงไม่สนใจว่านี่คือเนื้ออะไร กินเข้าไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ถึงกับตะลึงงันกับรสชาติที่แสนอร่อย
อร่อยเกินไปแล้ว!
ความอร่อยนี้ไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือการย่างของเสี่ยวหมาน ที่มากไปกว่านั้นคือความสดใหม่ของเนื้อ
หมอกในหุบเขาลึก แตกต่างจากหมอกที่เกิดขึ้นทั่วไป เพราะบนหุบเขามีความชื้นมากกว่า ดังนั้นจึงใช้เวลามากกว่า กว่าหมอกจะจางหาย
ซ่งอวี้มองออกไปด้านนอก ไอหมอกไม่มีทีท่าจะลดลงแม้แต่น้อย นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ดูท่าวันนี้คงไม่อาจลงเขาได้แล้ว แม้จะมองไม่เห็นดวงอาทิตย์ ทำให้ไม่อาจคาดเดาเวลาที่แม่นยำได้ แต่คาดว่าน่าจะใกล้พลบค่ำแล้ว
การเดินลงเขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วยาม หากเวลานี้ไม่อาจลงเขาได้ ถึงแม้ว่าอีกประเดี๋ยวหมอกจะจางลง นางก็ไม่อาจกลับไปได้
การเดินทางบนหุบเขาตอนกลางคืนเป็เื่ที่ไม่อาจทำได้ ไม่แน่ว่านางและเสี่ยวหมานที่เป็สตรีเพียงสองคนอาจจะถูกสัตว์ร้ายคาบไปกินก็ได้
คาดว่าชายหนุ่มสวมหน้ากากก็คงจะคิดเช่นเดียวกัน เขานั่งอยู่ตรงนั้น เขี่ยกองไฟตรงหน้าไม่มีทีท่าจะไปจากเรือนหลังนี้แม้แต่น้อย
ซ่งอวี้ดูเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายก็กลืนคำพูดลงคอ นางมองเขาครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ถอดใจด้วยความจนปัญญา
หมอกด้านนอกแผ่ซ่านมองไม่เห็นทาง หากเวลานี้นางบอกให้เขาออกไปจากเรือนคงจะเสียมารยาทจนเกินไป นางและเสี่ยวหมาน้าที่หลบภัย แล้วผู้อื่นไม่้าหรืออย่างไร?
อีกอย่าง ชายหนุ่มสวมหน้ากากคนนี้ก็มาก่อนพวกนาง ตอนพวกนางมาถึงเขาก็ก่อไฟแล้ว นางจะไปมีมีสิทธิ์พูดอะไรได้อย่างไร
ช่างเถอะ แค่คืนเดียวเท่านั้น ในหุบเขามีพวกนางและเขาเพียงสามคน ขอเพียงเสี่ยวหมานไม่หลุดปากพูดออกไปก็ไม่มีใครเอาไปนินทาได้
เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอหมอกยังคงไม่จางหาย พวกเขามองไม่เห็นดวงอาทิตย์ไม่อาจคาดเดาเวลา แต่รู้อย่างชัดเจนว่าบริเวณโดยรอบค่อยๆ มืดลงแล้ว คาดว่าใกล้จะกลางคืนแล้ว
เรือนหลังนี้เหล่านายพรานสร้างไว้สำหรับพัก ดังนั้นจึงมีทุกอย่างครบครัน ถึงขั้นมีเตียงอุ่น ดูจากสภาพแล้วน่าจะเพิ่งสร้างเมื่อไม่นานมานี้
ซ่งอวี้พอใจอย่างมาก
อากาศบนหุบเขาตอนกลางคืนหนาวยิ่งนัก หากอาศัยความอบอุ่นเพียงแค่ผิงไฟ กลับไปต้องล้มป่วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่หากมีเตียงอุ่น ขอเพียงจุดไฟให้เตียงอุ่นร้อน เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัวไอหนาวเข้าสู่ร่างกายแล้ว
แค่ไม่รู้ว่าคนที่ก่อเตียงอุ่นนี้ใช่ชาวบ้านในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวหรือไม่?
ั้แ่ซ่งอวี้ก่อเตียงอุ่นในเรือน บางคนหัวเราะเยาะนางบอกว่านางโง่เขลาที่ก่อเตียงหินในเรือน นอนไม่สบายแม้แต่น้อย แต่ในตอนหลังพวกเขาก็หัวเราะไม่ออกแล้ว
เพราะป้าหวังที่เคยเห็นเตียงอุ่นมาก่อนเที่ยวป่าวประกาศว่าซ่งอวี้เป็คนฉลาด ก่อเตาเผาไฟไว้ใต้เตียง ตอนกลางคืนเวลานอนหลับแค่ใส่ถ่านเล็กน้อย ไฟก็ติดตลอดทั้งคืนแล้ว ไม่ต้องห่มผ้านอนก็ยังได้ อุ่นยิ่งนัก
ยุคสมัยนี้ครัวเรือนใดบ้างที่ไม่ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม ผ้าห่มก็ใช้กันนานหลายสิบปี แม้จะขาดแล้วขาดอีกก็ไม่อาจทำใจทิ้งได้ หากเตียงอุ่นของซ่งอวี้ใช้ดีเช่นนี้จริงๆ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขายังหัวเราะเยาะนางบอกว่านางโง่เขลา? เกรงว่าซ่งอวี้ที่อยู่ในเรือนคงจะเป็ฝ่ายหัวเราะเยาะความโง่เขลาของพวกเขามากกว่ากระมัง
แต่ชาวบ้านในชนบทตรงไปตรงมายิ่งนัก เมื่อตระหนักได้ว่าตนผิดต่างก็นำของขวัญมาให้ซ่งอวี้บอกนางว่ามาขอโทษ แต่ความเป็จริงพวกเขาล้วนมาดูความมหัศจรรย์ของเตียงอุ่น หลังจากนั้นก็กลับไปก่อที่เรือนด้วยความอิ่มเอมใจ
เมื่อเป็เช่นนี้ฤดูเหมันต์ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหนาวตายตอนกลางคืนแล้ว
เวลานี้ แทบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านเสี่ยวหนิวล้วนมีเตียงอุ่น ฤดูเหมันต์นี้ฝากความหวังไว้ที่เตียงอุ่นแล้ว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ใดช่างฉลาดหลักแหลมก่อเตียงอุ่นกลางหุบเขาเช่นนี้ ทำให้ซ่งอวี้รู้สึกโชคดียิ่งนัก
เื่ทั้งหมดนี้ล้วนนอกเื่ ตอนที่ซ่งอวี้เห็นเตียงอุ่นดวงตาของนางทอประกายรีบบอกให้เสี่ยวหมานเก็บกวาด ขอเพียงผ่านคืนนี้ไปได้ก็พอแล้ว
แต่เสี่ยวหมานกลับพูดด้วยความฉงน "คุณหนูเ้าคะ ในเรือนมีเตียงเพียงหนึ่งเตียงเท่านั้น แล้วชายสวมหน้ากากจอมประหลาดจะนอนที่ใดเ้าคะ?"
รอยยิ้มบนดวงหน้าของซ่งอวี้นิ่งค้างไปทันที
จริงด้วย นางลืมชายสวมหน้ากากไปเสียสนิท แต่หากจะให้นางยกเตียงให้เขา นางก็ไม่อยากทำเช่นนั้น จึงรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าชายสวมหน้ากากได้ยินสิ่งที่พวกนางลอบสนทนากันหรือไม่ ไม่รอให้พวกนางเอ่ยถาม เขาก็พูดขึ้นเสียงเรียบ "พวกแม่นางไม่ต้องสนใจข้า พักผ่อนกันเถอะ"
กลับเป็เช่นนี้ เขาเป็ฝ่ายยอมแพ้กับการแย่งชิงเตียงที่มีเพียงหนึ่งเดียวเสียเอง
เป็คนดีจริงๆ!
ซ่งอวี้ตีตราคนดีให้ชายสวมหน้ากากในใจทันที เป็ตราความดีที่ไม่อาจดึงออกมาได้ ทว่าก็ไม่อาจประมาทได้ นางบอกให้เสี่ยวหมานดึงม่านมากั้น ถึงแม้ม่านจะสานจากต้นหญ้า หากเขาคิดจะทำอะไรพวกนางขึ้นมาจริงๆ ม่านนี้ก็ไม่อาจป้องกันได้แม้แต่น้อย แต่อย่างน้อยก็สบายใจ พอถูไถได้
เมื่อจัดทุกอย่างเสร็จแล้ว อย่างน้อยก็เป็ที่พักผ่อนส่วนตัว
ท้องฟ้ามืดลงอย่างรวดเร็ว พวกนางเพิ่งจัดทุกอย่างเสร็จ ด้านนอกก็มืดจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้